คลังเรื่องเด่น
-
"จิตเป็นสมบัติสำคัญมาก" (หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต)
.
"จิตเป็นสมบัติสำคัญมาก"
" .. "จิตเป็นสมบัติสำคัญมากในตัวเราที่ควรได้รับการเหลียวแล" ด้วยวิธีเก็บรักษาให้ดี ควรสนใจรับผิดชอบต่อจิต อันเป็นสมบัติที่มีค่ายิ่งของตน "วิธีที่ควรกับจิตโดยเฉพาะก็คือภาวนา" ฝึกหัดภาวนาในโอกาสอันควร "ตรวจดูจิตว่า มีอะไรบกพร่องและเสียไป จะได้ซ่อมสุขภาพจิต"
นั่งพินิจพิจารณาดู "สังขารภายใน" คือ ความคิดปรุงแต่งของจิตว่า คิดอะไรบ้าง มีสาระประโยชน์ไหม "คิดแส่หาเรื่อง หาโทษ ขนทุกข์มาเผาตนอยู่นั้น" พอรู้ผิด-ถูกของตัวบ้างไหม
พิจารณา "สังขารภายนอก" ว่ามีความเจริญขึ้นหรือเจริญลง สังขารมีอะไรใหม่หรือมีความเก่าแก่ชราหลุดไป พยายามเตรียมตัวเตรียมใจเสียแต่เวลาที่พอจะทำได้ ตายแล้วจะเสียการให้ท่องในใจอยู่เสมอว่า "เรามีความแก่ เจ็บ ตาย อยู่ประจำตัวทั่วหน้ากัน" .. "
"ขันธะวิมุติสะมังคีธรรมะ"
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=14820 -
แหวนแขนเรดาห์ (แหวนแขนเตือนภัย) หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร
หลวงพ่อกวย เป็นเกจิที่คงแก่เรียน วิชาของท่านมากมาย สังเกตจากการสร้างของของท่าน วิชาแหวนแขน เป็นอีกวิชาหนึ่ง ที่สร้างชื่อเสียงให้ท่านมาก แหวนแขนหลวงพ่อกวย นอกจากจะมีอานุภาพทางป้องกันตัว เช่น คงกระพัน มหาอุดแล้ว ยังเป็นแหวนเตือนภัยอีกด้วย คือเมื่อจะเกิดเหตุร้ายเกิดขึ้น แหวนแขนจะรัดจนรู้สึก แต่ถ้าร้ายแรงถึงขั้นชีวิต จะรัดจนขาดเลยก็มี
วิชาแหวนแขนของท่าน ยังไม่สามารถสืบได้ ว่าท่านใช้วิชาของครูบาอาจารย์ท่านใด เพราะครูบาอาจารย์ท่าน ทั้งสามองค์ ล้วนมีชื่อเรื่องแหวนพิรอดทั้งสิ้น คือ หลวงปู่ศรี วัดพระปรางค์ หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ หลวงพ่ออิ่ม วัดหัวเขา แต่เข้าใจว่า ท่านน่าจะใช้วิชาของทั้งสามองค์ มาปลุกเสก แหวนแขนของท่าน
เรื่องที่แสดงว่าแหวนแขนท่านเตือนภัยได้ จนถูกขนานนามว่า แหวนเรดาห์ นายเชน คนหัวเด่น ได้อาสาสมัครเป็นทหารพราน ไปรบที่ลาว ได้มากราบหลวงพ่อกวย ท่านจึงมอบแหวนแขนไปให้หนึ่งวง พร้อมกับผ้ายันต์กันภัยแปดทิศอีกหนึ่งผืน
ตอนที่นายเชนไปอยูในสมรภูมิทีลาว ก็แคล้วคลาดอันตรายตลอด จนมีวันหนึ่งเป็นเวลากลางวัน ฝ่ายศัตรูจะไม่ค่อยโจมตี แหวนแขนนายเชนเกิดรัดแขนจนรู้สึก นายเชนจึงได้เข้าไปบอกผู้พัน... -
น้อมกราบถวายความอาลัย หลวงปู่สังข์ สังกิจฺโจ วัดป่าอาจารย์ตื้อ สู่พระนิพพาน
หลวงปู่สังข์ สังกิจฺโจ วัดป่าอาจารย์ตื้อ ต.สันมหาพน อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ได้ละสังขารด้วยอาการสงบแล้ว เมื่อเวลา ๑๕.๐๐ น ตรงกับวันจันทร์ที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๕ สิริอายุ ๙๑ ปี ๑๐ เดือน ๑๗ วัน ๗๒ พรรษา
น้อมกราบถวายความอาลัยหลวงปู่สังข์ สังกิจฺโจ
น้อมกราบขอขมาพ่อแม่ครูอาจารย์
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสะ
มหาเถเร ปะมาเทนะ ทะวารัตตะเยนะ กะตัง, สัพพัง อะปะราธัง ขะมะตุ โน ภันเต.
มหาเถเร ปะมาเทนะ ทะวารัตตะเยนะ กะตัง, สัพพัง อะปะราธัง ขะมะตุ โน ภันเต.
มหาเถเร ปะมาเทนะ ทะวารัตตะเยนะ กะตัง, สัพพัง อะปะราธัง ขะมะตุ โน ภันเต.
ลูกหลาน ศิษยานุศิษย์ ขอกราบขอขมาหลวงปู่สังข์ สังกิจฺโจ ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ หากเคยทำผิดพลาดล่วงเกินต่อองค์พ่อแม่ครูอาจารย์ ทั้งต่อหน้าก็ดี ลับหลังก็ดี ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี หรือด้วยความขาดสติรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนี้ ขอหลวงปู่สังข์ สังกิจฺโจ ท่านโปรดเมตตางดโทษล่วงเกินนั้นด้วยเทอญ
กราบ กราบ กราบ
หลวงปู่สังข์ สังกิจฺโจ เมื่อครั้งบวชเป็นสามเณร... -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๕ -
"อัธยาศัย-นิสัย-อุปนิสัย-วาสนา" (สมเด็จพระสังฆราชเจ้า)
.
"อัธยาศัย-นิสัย-อุปนิสัย-วาสนา"
"อัธยาศัย"
"คือภาวะที่อาศัยอยู่กับจิตใจ ดึงจิตใจให้เกิดความมุ่ง" หรือน้อมจิตใจไปให้เกิดเจตนากรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น "ถ้ามีอัธยาศัยประกอบด้วยโทสะ พยาบาท" ย่อมดึงจิตใจให้เกิดความมุ่ง หรือน้อมจิตใจให้เกิดเจตนากรรม "คือมุ่งก่อทุกข์โทษแก่ผู้อื่น"
"ถ้ามีอัธยาศัยประกอบด้วยเมตตากรุณา" ย่อมดึงจิตใจให้มุ่งก่อเกื้อสุขประโยชน์แก่ผู้อื่น อัธยาศัยโดยย่อจึงมี ๒ คือ "อัธยาศัยเลวกับอัธยาศัยดี เหตุที่อุดหนุนให้เกิดอัธยาศัย คือนิสัย อุปนิสัย"
"นิสัย"
คือ "ที่เข้าอาศัยของจิตใจ ในฐานเป็นพื้นเพและเป็นเหตุอุปการะ มีทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่วเหมือนอัธยาศัย" เพราะจิตต้องเป็นนิสิต คือผู้อาศัยอยู่ในนิสัย คือที่อาศัยอย่างใดอย่างหนึ่ง "ถ้าอาศัยอยู่กับกิเลส" เช่น อาศัยตัณหา อาศัยมานะ อาศัยทิฏฐิ "เรียกว่า ตัณหานิสัย มานนิสัย ทิฏฐินิสัย"
"ถ้าอาศัยคุณธรรม" คือ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ ปัญญา "เรียกว่า ศรัทธานิสัย หิรินิสัย โอตตัปปนิสัย วิริยนิสัย ปัญญานิสัย"
ฉะนั้น "คนจะทำอะไรจึงสุดแต่นิสัย ถ้านิสัยเป็นส่วนชั่วก็ทำชั่ว" นิสัยเป็นส่วนดีก็ทำดี แต่นิสัยแสดงออกเป็นอัธยาศัย... -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๖๕ -
พระดีผู้มุ่งทำประโยชน์แก่พระพุทธศาสนา
“พระดีผู้มุ่งทำประโยชน์แก่พระพุทธศาสนา”
พระอาจารย์สิริปัญโญ อดีตบุตรชายคนเดียวของมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของมาเลเซีย ภายหลังจากที่ท่านมีศรัทธามาอุปสมบทอยู่ ณ วัดป่านานาชาติ ท่านได้พระอาจารย์ชยสาโรซึ่งขณะนั้นรักษาการณ์เจ้าอาวาส เป็นดุจบิดาทางธรรมให้การอบรมชี้แนะแก่ท่าน กระทั่งเกิดศรัทธาในพระพุทธศาสนา ( ในแนวทางของพระป่า หลวงปู่มั่น ซึ่งเป็นแนวทางของแก่นแท้ ของพุทธศาสนา)
ไม่คิดหวนกลับไปสู่เพศฆราวาส ไม่ว่าทางครอบครัวจะมาขอให้ท่านลาสิกขาหลายครั้งหลายหนก็ตาม
ในระหว่างที่ท่านบำเพ็ญสมณกิจ ณ วัดป่านานาชาติ ด้วยความที่ท่านสามารถสื่อสารได้ถึงเจ็ดแปดภาษา ทำให้ท่านได้ทำหน้าที่พี่เลี้ยงให้กับคนหลากหลายชาติที่เข้ามาอุปสมบท นอกจากนี้ ไม่ว่าการทำกลดธุดงค์ การเย็บสบงจีวร หรือการทำบริขารทั้งหลาย รวมไปถึงการทำไม้กวาดตามแบบวัดป่า ท่านก็ทำได้ประณีตชนิดที่ไม่เป็นรองใคร เป็นที่ชื่นชมของครูบาอาจารย์
แม้ท่านยังอยู่ในวัยหนุ่ม แต่ท่านก็มากด้วยประสบการณ์การธุดงค์ในป่าเขามาหลายพรรษา ปัจจุบันท่านตั้งใจที่จะอุทิศตนเพื่อฝึกอบรมพระรุ่นใหม่ๆ ให้รู้จักการรักษาธุดงควัตร โดยอาศัยสำนักสงฆ์เต่าดำ กาญจนบุรี... -
"ศึกษาให้รอบ" (หลวงปู่ชา สุภทฺโท)
.
"ศึกษาให้รอบ"
" .. "มีดเล่มนี้วางอยู่นี่ มันมีทั้งคมมัน มันมีทั้งสันมัน นั่นนะ มันมีทั้งด้ามมันทุกอย่าง" เราจึงยกมีดมันขึ้นมา จะเอาแต่คมมันขึ้นมาได้ไหม จะจับมีดเล่มมนี้ขึ้นมาแต่สันได้ไหม เอาแต่ด้ามมันได้ไหม
ด้ามมันก็ด้ามมีด สันก็สันมีด คมก็คมของมีด "เมื่อเราจับมีดเล่มนี้ขึ้นมา มันก็เอาด้ามขึ้นมาด้วย เอาสันขึ้นมาด้วย เอาคมมันขึ้นมาด้วย" มันจะแบ่งแต่คมมันได้ไหม อย่างนี้ เป็นตัวอย่างอย่างนี้
"เราจะไปยกแต่สิ่งที่มันดี ชั่วมันก็ติดขึ้นไปด้วย" เพราะเราหาสิ่งที่ในดี สิ่งที่มันชั่วเราจะทิ้งมัน เราไม่ได้ศึกษาว่ามีสิ่งที่ไม่ดี ๆ ไม่ชั่ว ไม่ศึกษา มันอยู่ตรงนั้น อย่างนั้นมันก็ไม่จบ "เอาดีไป ชั่วก็ตาม มันก็ตามอยู่อย่างนี้ ถ้าเราเอาสุข ทุกข์ก็ตาม" มันติดต่อกันอยู่ .. "
"ความผิดในความถูก"
พระโพธิญาณเถร (หลวงปู่ชา สุภทฺโท)
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=16557 -
สวดคนเดียว⚡สวดหมู่พลังต่างกันไหม❓
สวดคนเดียว⚡สวดหมู่ พลังต่างกันไหม❓
-------------------
#รวมคำสอนหลวงตาม้า #หลวงตาม้า #ฝึกสมาธิ #คาถามหาจักรพรรดิ #สมถกรรมฐาน #กรรม #วิปัสสนากรรมฐาน #ครอบวิมาน #อภิญญา -
ทุกคนต้องการความสุข (ท่านพ่อลี ธมฺมธโร)
ทุกคนต้องการความสุข
ไม่ต้องการความทุกข์
แต่อะไรเล่า
เป็นความสุขที่แท้จริงของตัวเรา
คิดว่ากินนี่แหละก็พยายามหามาให้มันกิน
พอกินมากก็อึดอัด
คิดว่านอน ก็นอนจนหลังแข็งไม่สบายอีก
คิดว่าเงินทองทรัพย์สมบัติก็ไปหามาใช้
จนเต็มที่ ก็ยังไม่สุขอีก
แล้วอะไรเล่าที่เป็นความสุขที่แท้จริง
ความสุขที่แท้จริงนั้นย่อมเกิดจากบุญกุศล
คือ ความสงบที่เกิดขึ้นในจิตใจ พ้นทุกข์โทษ
ความดิ้นรน ไม่มีกระสับกระส่ายเดือดร้อน
กระวนกระวาย
เพราะฉะนั้น
จงพากันตั้งใจประกอบบุญกุศล
เพื่อจะเป็นทางที่พ้นไปจากโลกนี้
นั่นแหละจะเป็นหนทางที่ถูกต้อง...
โอวาทธรรม ท่านพ่อลี ธมฺมธโร
Credit: ขอขอบพระคุณที่มาจาก Facebook =AZXWN9M_p3_lOgYLyqWK0lQ5NsiTESGum4VAmkhQxzTmwWF_Y72wJiWo-KG_MN8kU9jpAGZs7K-WAFM7gftw9YkC9VzTAWctLi13YmH_FhzYrQ&__tn__=%2CO%2CP-R']โลกร้อน เย็นธรรม -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๖๕ -
"ภาวนานี่สำคัญ" (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)
.
"ภาวนานี่สำคัญ"
" .. ถ้าหากว่าขาดการภาวนาแล้ว "ไม่แน่ว่าบุญกุศลที่เกิดจากการให้ทาน การรักษาศีลพวกน้้น อาจเสื่อมไปเมื่อใดก็ได้" .. เพราะเหตุว่า "ไม่ได้รักษาจิตใจของตนเอง ไม่ได้ควบคุมจิตใจให้ตั้งมั่นอยู่ในบุญในคุณ" เช่นนั้นแหละ .. "
"จิตที่สงบย่อมเกิดปัญญา"
หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๖๕ -
บุคคล ๔ จำพวก
บุคคลในปัจจุบันนี้ มักจะตำหนิอยู่เสมอว่า พระภิกษุสามเณรของเราทำให้ญาติโยมทั้งหลายยึดติดในไสยเวทย์อาคม ในเรื่องของวัตถุมงคล เรื่องของน้ำมนต์น้ำหมาก เหล่านี้เป็นต้น
ทั้ง ๆ ที่คนพูดเองก็ไม่ได้เข้าวัด แล้วแถมยังต้องการแก่นธรรมที่แท้จริงด้วย โดยที่ลืมนึกถึงความเป็นจริงว่า ต้นไม้นั้นมีแต่แก่นอย่างเดียว ก็ไม่สามารถจะเป็นต้นไม้ได้ หากแต่เป็นท่อนฟืนต่างหาก..! การที่จะเป็นต้นไม้นั้น ต้องประกอบไปด้วยแก่น กระพี้ เปลือก ลำต้น กิ่ง ก้าน ใบ ดอก ผล โดยเฉพาะราก
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านที่ปรารถนาหลักธรรมบริสุทธิ์อย่างเดียว เพื่อที่จะเชิดชูพระพุทธศาสนา โดยที่ไม่ได้ดูว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้อย่างไร ก็จะกลับกลายเป็นบุคคลที่ทำลายพระพุทธศาสนาเสียเอง
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแบ่งบุคคลออกเป็น ๔ จำพวก ก็คือ
อุคฆฏิตัญญูบุคคล เพียงฟังหัวข้อคำสอนก็บรรลุมรรคผลได้เลย ท่านทั้งหลายเหล่านี้ สามารถนำเอาแก่นธรรมไปให้ได้
ท่านที่เป็นวิปจิตัญญูบุคคลนั้น ถ้าหากว่าอธิบายขยายความ จึงสามารถที่จะเข้าถึงได้ ก็แปลว่าต้องมีอย่างน้อยก็กระพี้ จึงจะเข้าถึงแก่นได้
ส่วนผู้ที่เป็นเนยยะนั้น... -
"โลกุตรจิต โลกุตรธรรม" (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
.
"โลกุตรจิต โลกุตรธรรม"
" .. "โลกุตรธรรม แปลว่าธรรมเหนือโลก" นี่ท่านแยกออกมาพูด "สิ่งที่เป็นเครื่องยืนยันธรรมเหนือโลกนั้นคือใจ" ถ้าเราอยากจะทราบว่าโลกุตรธรรมคือธรรมเหนือโลกเป็นอย่างไร "ก็ต้องหมายถึงใจผู้ปฏิบัติตนได้สัมผัสสัมพันธ์กับธรรมขั้นนั้น ๆ ขึ้นไป" จนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้นภายในจิตใจ ทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมหมดภายในใจ
"ธรรมทุกขั้น นั่นละท่านว่าโลกุตรจิต โลกุตรธรรม เต็มภูมิของจิตของธรรม" เป็นเครื่องยืนยันกันได้ที่ใจ หากใจยังไม่สัมผัสเมื่อไร แม้คำว่าโลกุตรธรรม แปลว่าธรรมเหนือโลก ๆ ก็สักแต่ความจำ ความคาดความหมาย หาความแน่ใจยังไม่ได้เลย "ด้วยเหตุนี้สิ่งที่จะยืนยันกัน จึงเป็นเรื่องของการปฏิบัติด้วยจิตตภาวนาเป็นสำคัญ" .. "
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
https://luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=1016&CatID=3 -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๖๕ -
"เสียงธรรมชนะเสียงทั้งปวง" (หลวงปู่จันทา ถาวโร)
.
"เสียงธรรมชนะเสียงทั้งปวง"
" .. เมื่อเข้าที่นั่งภาวนาต่อไป "จิตกับสติ กับปัญญา กับกายสัมพันธมิตรกันอยู่" ไม่นานจิตก็รวมสงบเฉียด ๆ แล้วพูดขึ้นว่า ..
"การเจริญธรรม คำสอนของพระพุทธเจ้านั้น เป็นเครื่องชำระเหล่ากิเลสออกจากดวงจิตได้" เคราะห์เข็ญเวรร้าย กรรมชั่วช้าลามกนั้นก็ตกไปหมด ไม่เหลือเศษอยู่ได้ "นั่นแหละเสียงต่าง ๆ นานานั้น สู้เสียงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไม่ได้"
อันนี้เป็นเสียงที่คมกล้า ฝ่าฟันซึ่งอุปสรรคได้ และเป็นเสียงสะอาด อ่อนโยน "สัตว์ทั้งหลายได้ยินแล้วก็ใจอ่อน ใจเบิกบาน ร่าเริงบันเทิง เขาก็สาธุการเท่านั้น" นี่แหละเป็นเสียงที่ดีเลิศประเสริฐอย่างนั้น จิตพูดขึ้นมา .. "
"ภาวนาสู้เสือ"
(หลวงปู่จันทา ถาวโร)
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk-main-page.htm -
'ยาพ่อหลวงนี้ดีแท้'
พลตำรวจตรีเจริญฤทธิ์ จำรัสโรมรัน ผู้ทำหน้าที่ถวายงานอารักขา ได้เล่าไว้ในบทสัมภาษณ์ ผู้เขียนขอนำมาสรุปใจความสำคัญ ความว่า...
"เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จฯ ไปเยี่ยมราษฎรชาวเขาเผ่าแม้วและเย้าในคราวหนึ่ง หัวหน้าชาวเขาเผ่าเย้าได้กราบทูลว่าหมูที่ได้พระราชทานไปนั้น เวลานี้เป็นโรค สัตวแพทย์ที่ไปให้การรักษาอย่างไรก็ไม่หาย ในหลวงจึงเสด็จฯ ไปทอดพระเนตรว่าหมูเป็นอะไร ก็ปรากฏว่าหมูเป็นโรคเรื้อน ผอมมาก
ในหลวงรับสั่งต่อหัวหน้าชาวเขาว่า ..มีน้ำมันเครื่องรถจักรยานยนต์ที่ไม่ใช้แล้วบ้างไหม ก็ตอบว่ามี รับสั่งให้เขาหาผ้าขี้ริ้วมา ในหลวงทรงสาธิตให้ดูด้วยพระองค์ท่านเอง โดยทรงเอาผ้าขี้ริ้วจุ่มในน้ำมันเครื่อง แล้วก็อธิบายให้ชาวเขาฟังว่า ให้เอาผ้าชุบน้ำมันเครื่องแบบนี้ถูที่ที่เป็นโรคเรื้อนนะ วันเว้นวัน ๑๐ ครั้ง แล้วหมูจะหายจากโรค
หลังจากนั้นปีหนึ่ง ในหลวงก็เสด็จฯ ไปที่นั่นอีกครั้ง คราวนี้หัวหน้าชาวเขาเผ่าเย้าผู้นี้ จูงพระหัตถ์ท่านไปดูหมูตัวนั้น ซึ่งออกลูกมาหลายครอกแล้ว บอกว่า..ยาพ่อหลวงนี้ดีแท้ เวลานี้ได้ลูกหลานเยอะแยะ...
สิ่งที่ผมประทับใจมาก คือ พระองค์ทรงแก้ปัญหาตามภูมิสังคมโดยใช้สิ่งรอบตัว... -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๖๕ -
"ศีลเป็นฐานของสมาธิ" (หลวงปู่ขาว อนาลโย)
.
"ศีลเป็นฐานของสมาธิ"
" .. "ถ้ารักษาศีลดีแล้ว เมื่ออบรมสมาธิเข้า มันจะมีความสงบ มันลงเร็ว" ถ้ามันขัดข้อง ก็หมายว่าศีลของเราข้อใดข้อหนึ่งผิดพลาดไป มันจึงขัดข้อง ไม่ลง ถ้าศีลบริสุทธิ์บริบูรณ์ดีแล้ว เหมือนกับเขาจะปลูกบ้านปลูกช่อง เขาจะปราบพื้นที่เสียก่อน
ฉันใดก็ดี "ศีล พวกเรารักษาดีแล้ว ก็เหมือนปราบพื้นที่จนไม่มีหลักมีตออะไรแล้ว ปลูกบ้านมันก็ได้ดี" ไม่มีความเดือดร้อน "จิตมันก็ไม่มีความเดือดร้อน มันก็สงบอยู่ จะลงอยู่" เพราะมันเย็น มันราบรื่น ไม่มีสิ่งลุ่มดอน พากันทำไป อุตส่าห์ทำไป .. "
"ศีล" (หลวงปู่ขาว อนาลโย)
วัดถ้ำกองเพล ต.โนนทัน อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู
เทศน์โปรด น.พ.อวย เกตุสิงห์ และคณะ พ.ศ. ๒๕๐๙
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=7433 -
อย่าลืมวันเกิดของตน... (หลวงตามหาบัว ญาณสมปันโน)
“ทูลกระหม่อมเจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณเสด็จมาบำเพ็ญกุศลในวันนี้ ซึ่งเป็นวันคล้ายกับวันประสูติของท่าน มีบุญกุศลเป็นสิริมงคลสำหรับวันเกิดทุกท่านทุกคน อย่าลืมวันเกิดของตน เกิดมาเพราะอะไร เกิดมาเพราะบุญเพราะกรรมของเรา เราจะตกแต่ง ให้เกิดเอาตามความต้องการไม่ได้ ต้องการด้วยอำนาจแห่งบุญแห่งกรรมทั้งนั้น วันนี้ท่านมาบำเพ็ญกุศล ซึ่งเป็นวันคล้ายวันประสูติของท่าน ที่มาบำเพ็ญกองการกุศลนับว่าเป็นมงคลอย่างมากทีเดียว ให้พี่น้องทั้งหลายระลึกจำเอาไว้เป็นคติตัวอย่างอันดีงามต่อไป
ท่านอุตส่าห์มา มาก็มาฟังอรรถฟังธรรมจากครูจากอาจารย์ แล้วไปส่งเสริมบารมีของตนให้สูงส่งยิ่งขึ้น นั่น เพราะความไม่ลืมตัว ถ้าลืมตัวว่าเป็นใหญ่เท่าไรก็ลืมตัวเรื่อยๆ แล้ว นี่เรียกว่าเป็นน้อยลงมาโดยลำดับ เป็นใหญ่ไม่ลืมตัว มีศีลมีธรรมเข้าประดับแล้วก็ยิ่งสวยงามสง่าผ่าเผยทั้งชาตินี้และชาติหน้า นั่นเรียกว่าคนไม่ลืมตัว
วันนี้ท่านเสด็จมาพักที่นี่คืนหนึ่ง มาโปรดพวกพี่น้องชาวอุดรเรา นานๆ ท่านจะได้เสด็จมาทีหนึ่ง เมื่อวานท่านก็เสด็จมา วันนี้ท่านก็จะได้เสด็จกลับไปทำธุระหน้าที่อะไรของท่าน พวกเราก็ได้อนุโมทนาสาธุการ ชมบารมีของท่านในวันที่ท่านเสด็จมา... -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๖๕ -
ใช้ความป่วย พิจารณาเพือพระนิพพาน
ในเรื่องของการเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าเรารู้จักพิจารณา จะได้อะไรดี ๆ เยอะมากเลย เพราะจะเห็นความไม่ดีของร่างกายนี้จริง ๆ ถ้าใครที่เจ็บป่วย ขอให้รู้ว่าเป็นลาภอันประเสริฐอย่างยิ่งแล้ว โอกาสแบบนี้หาซื้อไม่ได้ จ่ายแพงเท่าไรเขาก็ไม่ขายให้
เราลองนึกดูว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑ พระองค์ กว่าจะตรัสรู้ เอาแค่ระดับที่เรียนเก่งที่สุด จบสั้นที่สุด ก็คือพระพุทธเจ้าแบบปัญญาธิกะ บาลีท่านบอกว่า จิตติตัง สัตตะสังเขยยัง แต่คิดในใจใช้เวลา ๗ อสงไขย นวสังเขยยะ วาจะกัง พูดว่าเราจะเป็นพระพุทธเจ้าอีก ๙ อสงไขย ไป ๑๖ อสงไขยแล้ว หลังจากนั้นก็เป็นการปฏิบัติเพื่อให้เป็นพระพุทธเจ้าอีก ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป ระยะเวลาเนิ่นนานขนาดนั้น คิดเป็นทรัพยากรที่ใช้สิ้นเปลืองไปแต่ละชาติเท่าไร ประมาณเป็นตัวเลขได้ไหม ? จะเป็นตัวเลขมหึมาชนิดที่สามารถซื้อจักรวาลได้เลย
ท่านใช้ทรัพยากรไปสิ้นเปลืองขนาดนั้นเพื่อศึกษาให้เห็นทุกข์ แล้วตอนนี้ถ้าเราเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ ความทุกข์มาอยู่ตรงหน้า เปรียบราคาขนาดนั้นแล้ว ทุกข์จึงมีคุณค่ามหาศาล ถึงได้บอกว่า ต้องใช้ทรัพยากรขนาดไหนก็ซื้อทุกข์แบบนั้นให้เราเห็นชัด ๆ ไม่ได้ แต่ตอนนี้ไม่ต้องซื้อ... -
"ความอยากมันไม่เคยพอ" (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)
.
"ความอยากมันไม่เคยพอ"
" .. "ความโลภมันมิใช่อยู่ที่วัตถุ แต่อยู่ที่ใจ คือความอยาก" วัตถุมันจะมีมากสักเท่าไร "ก็แต่ความอยากมันไม่พอ มันก็ไม่พออยู่ดีนั่นเอง" ท่านให้พิจารณาเมื่อกายกับใจอยู่ด้วยกันคือไม่ตาย "ต้องหาไปกินไปใช้ไป"
เมื่อตายแล้วกายมันไม่รู้อะไรเลย สลายเป็น ดิน น้ำ ลม ไฟ ไปหมด "แต่ใจเป็นผู้รับภาระกรรมนั้นผู้เดียว" เมื่อดีก็รับภาระเป็นสุข ทำชั่วก็รับภาระไปเป็นทุกข์ "ยังไม่สิ้นภพสิ้นชาติอยู่ตราบใด ต้องเสวยอย่างนี้ร่ำไป" พิจารณาอย่างนี้แล้ว "ถึงไม่พ้นทุกข์ก็ค่อยเบาบางลงบ้าง" .. "
"สนธนาธรรมต่างประเทศ" (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)
เพิร์ธ ออสเตรเลีย วันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๑๙ -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๖๕ -
พลังใจใหญ่ของข้าพเจ้า...
"จริงๆ แล้วพลังใจใหญ่ของข้าพเจ้าที่จะทำงานให้ลุล่วงได้ด้วยดีทุกประการนี่ พลังใจใหญ่มีอยู่ 3 พระองค์ด้วยกัน
องค์แรกคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว องค์ที่สอง คือ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เพราะว่าตั้งแต่เด็กมาเห็นตัวอย่างจากพ่อจากแม่ ที่ทำงานทุกอย่างเพื่อประชาชนอันนี้เป็นแรง ตอนเด็กๆ ไม่เข้าใจหรอก พอโตขึ้นมาเข้าใจเข้าทุกทีว่าคนเรานี่ แก่นสารของชีวิตอยู่ที่ว่าเราทำตัวให้เป็นประโยชน์กับเพื่อนมนุษย์ได้แค่ไหน อันนี้เป็นแก่นสารของชีวิตและยิ่งเราทำให้เพื่อนมนุษย์ได้แค่ไหน เป็นความปลาบปลื้มที่ย้อนเข้ามาหาเราทำให้มีพลังใจยิ่งขึ้นที่จะทำ
องค์ที่ 3 ที่เป็นแรงบันดาลใจของข้าพเจ้าคือหลวงตามหาบัว ท่านเป็นพ่อบุญธรรม ทั้ง 3 องค์นี้ข้าพเจ้าดูมาท่านทำเพื่อส่วนรวมตลอด หลวงตามหาบัวมีคนเอาเงินมาบริจาคมากมาย ท่านไม่เคยเก็บไว้กับตัวเองเลย หลวงตาเอาไปให้สร้างโรงพยาบาลสำหรับพระบ้าง เอาไปสร้างโรงพยาบาลสำหรับประชาชนบ้าง เอาข้าวของเช่นอาหารแห้ง ข้าว ไปให้กับวัดที่ยากจนบ้าง เอาไปให้กับหมู่บ้านที่ยากจนบ้าง คือ หลวงตาทำอะไรไม่เคยเพื่อตัวเองเลย เพื่อโลก เพื่อประชาชนเท่านั้น... -
"ภัยในวัฏสงสารเป็นสิ่งที่น่ากลัว" (หลวงปู่ลี กุศลธโร)
.
"ภัยในวัฏสงสารเป็นสิ่งที่น่ากลัว"
" .. "การเวียนตายเวียนเกิดในวัฏสงสาร ที่จะตั้งเที่ยงแท้แน่นอนยั่งยืนนั้นมิได้มีเลย" ย่อมจะต้องท่องเที่ยวไปเกิดในโลกดีบ้างชั่วบ้าง สุขบ้างทุกข์บ้างปะปนกันไปอยู่เช่นนี้ "ถ้าไปเกิดในโลกที่ดีมีความสุข" เช่น เทวโลก พรหมโลกก็นับว่าเป็นการดี แต่ทีนี้ "ถ้าพลาดพลั้งลงไปเกิดในโลกชั่ว" เช่นอบายภูมิแล้ว "ย่อมเป็นการยากนักหนาที่จะยกตนขึ้นมาจากโลกชั้นตํ่าได้" ต้องเสวยทุกขเวทนาไปแสนนาน
อีกประการหนึ่ง "การท่องเที่ยวในวัฏสงสารนี้ยังเป็นการท่องเที่ยวไปไม่มีวันสิ้นสุดอีกด้วย" ข้อนี้สิร้ายมาก ลองหลับตานึกวาดภาพดูเถิดว่า "ตัวเรานี้ต้องเวียนเกิดเวียนตายอยู่อย่างนี้ตลอดไป ไม่ว่าจะเกิดครั้งใด เป็นต้องตายลงไปครั้งนั้น" ซํ้าซากอยู่อย่างนี้ ไม่มีวันหยุดยั้ง
"ตัวเรานี่แหละเกิดตายมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่รู้ตัวมาหลงลืมเสียเพราะชาติภพปิดบังไว้เท่านั้นเอง" และอีกไม่นานตัวเราก็จะตายแล้วใช่ไหมเล่า ตายแล้วก็เกิดอีก แต่เฝ้าตายเฝ้าเกิดอยู่อย่างนี้ ตลอดไปไม่มีวันสิ้นสุดลงได้ ด้วยเหตุนี้ "วัฏสงสารนั้นจึงเป็นภัยที่น่ากลัวกว่าสิ่งที่น่ากลัวทั้งหลายในโลก" คราวนี้มีปัญหาว่า... -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๕ -
"ความวู่วามโผงผาง" (หลวงปู่หล้า เขมปัตโต)
.
"ความวู่วามโผงผาง"
" .. "อารมณ์วู่วามนั้น หากบุคคลใดรู้ตัวก็ต้องถือว่าเป็นคนมีปัญญาแล้วและหากถ้ามันเห็นว่าไม่มีประโยชน์มันก็จะวางไปเอง" แต่ถ้าหากเห็นว่ามีประโยชน์มันก็วางไม่ได้ "อย่างไรก็ตาม มันจะถึงกับฆ่าหรือตีเขาหรือไม่ ข้อนี้ก็เป็นส่วนที่จะต้องรู้อีก" ถ้ามันหมายจะฆ่าจะตีเขาก็ส่อแสดงให้เห็นว่า "มันยังมีกิเลสมากอยู่ เรื่องนี้เราต้องพิจารณา" ใคร ๆ ในโลกนี้ก็เหมือนกัน "ถ้าหากเห็นว่าโลภ โกรธ หลง มันเป็นของอร่อยอยู่ มันก็ลดละไม่ได้ มันต้องไปสังเวยเป็นอาหารของกิเลสต่อไป"
เรื่อง "ความวู่วามโผงผางนี้" พระบรมศาสดากล่าวว่า "เป็นตามนิสัยก็มี" เพราะบางคนอุปมาเหมือน "น้ำใสกลาง ขุ่นขอบ" คือมารยาทไม่งามพูดจาโผงผาง แต่จิตใจเป็นธรรมอยู่ "บางคนเหมือนน้ำใสทั้งขอบทั้งกลาง" หมายความว่าจิตใจก็เป็นธรรม มารยาทก็เป็นธรรม "ส่วนบางคนที่เหมือนน้ำขุ่นทั้งกลางทั้งขอบ" ก็หมายความว่าจิตใจก็ไม่เป็นธรรม คำพูดก็ไม่เป็นธรรม
เรื่องของธรรมะของพระพุทธศาสนา "ความจริงแล้วเราควรจะต้องปฏิบัติให้ควบคู่กับอารมณ์ของเราไป" ดีกว่าที่จะปล่อยให้อารมณ์ไหวไปทางอื่น ยกอุทาหรณ์ "คนเราจะสะอาดหรือไม่สะอาดขาดตัวก็ตาม... -
วิถีของผู้ตัวเบา
วิถีของผู้ตัวเบา
---------
เดินจิต
หน้า 73 ของ 414