คลังเรื่องเด่น
-
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ -
เคล็ดลับการทำพระคาถาเงินล้านให้ได้ผล
ในเรื่องของพระคาถาเงินล้านนั้น ต้องบอกว่า ขึ้นอยู่กับศรัทธาเลื่อมใสยังไม่พอ ยังต้องขึ้นอยู่กับความขยันและสม่ำเสมอของเราอีกด้วย ถ้าหากว่าเราไม่ขยันภาวนาเอาไว้อย่างสม่ำเสมอแล้ว จะไปหวังให้เกิดผล ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้
โดยเฉพาะพระคาถาเงินล้านนั้น เป็นพระคาถาที่ต้องการความเชื่อมั่นและเลื่อมใสอย่างสูงสุด ไม่เช่นนั้นแล้ว โอกาสที่เราจะทุ่มเท กาย วาจา ใจ ในการภาวนาอย่างจริงจังสม่ำเสมอนั้น ย่อมเป็นไปได้ยาก ในเมื่อไม่มีความจริงจังสม่ำเสมอ แล้วจะให้พระคาถาเกิดผล จึงมีโอกาสที่เป็นไปได้น้อยมาก
แต่ก็ยังดีใจที่ญาติโยมทั้งหลายมาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง โดยเฉพาะสถานที่จอดรถเกือบจะไม่เหลือเลย เพียงแต่ว่าท่านทั้งหลายอย่าได้รอจนกระทั่งทางวัดท่าขนุนหรือว่าทางวัดอุทยานจัดงานภาวนาพระคาถาเงินล้าน แล้วค่อยไปนั่งภาวนากันครั้งหนึ่งเกือบ ๒ ชั่วโมง แต่ว่าวันอื่น ๆ ก็ทำบ้างไม่ทำบ้าง ขาดความสม่ำเสมอ ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว โอกาสที่พระคาถาจะเกิดผลย่อมเป็นไปไม่ได้
นอกจากนั้นแล้วพระคาถาเงินล้านยังต้องการการทำทานอย่างสม่ำเสมอด้วย ก็คือต้องมีการสละออก ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเปรียบเอาไว้ว่า... -
โตแล้วเรียนลัด
โตแล้วเรียนลัด
นี่เป็นอันว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทที่มานั่งอยู่ที่นี่ทั้งหมด ถ้าคิดว่าท่านจะไปดาวดึงส์ได้หรือไม่ได้ อาตมารับรองว่าทุกคนไปได้แน่ แต่ทว่าเวลาจะตายอย่าลืมนะ ก่อนจะตายอย่าไปนึกแช่งใครเข้านะ ไปนรกก่อนนะ ก่อนจะตาย พอป่วยขึ้นมาครั้งไร ก็ต้องคิดว่า การป่วยคราวนี้มันอาจจะตาย นึกถึงความดีที่เราทำไว้ ภาวนาไว้ พุทโธ ธัมโม สังโฆ ก็ตาม ภาวนาหรือพิจารณาแบบไหนคล่องตัวทำเข้าไว้ ไม่ต้องทำทุกลมหายใจเข้าออก เวลาหมอมาถามอาการก็บอก ใครเข้ามาก็คุย ยามว่างเราก็นึกถึงความดีที่เราทรงไว้ มันก็ทำบ้างไม่ทำบ้าง นั่นแหละ พอแล้วก็นึกว่าในชีวิตครั้งหนึ่งหรือหลายครั้ง เราเคยถวายสังฆทานในพระพุทธศาสนา แล้วก็นึกไว้บ้าง
พอท่านไปเกิดชั้นดาวดึงส์ ถ้าเป็นเทวดาชั้นดาวดึงส์ เทวดาชั้นดาวดึงส์นี่เขามีอายุถึงสามโกฏิ เดี๋ยว..รู้สึกจะเป็นสามโกฏิ หรือว่าสามล้านหกแสนปีของมนุษย์ แต่ทว่าหลังจากว่างจากศาสนานี้แล้ว มีเวลาหนึ่งล้านปีเศษ พระศรีอาริย์ก็ตรัส เวลานั้นเราก็ยังเป็นเทวดาอยู่ นี่การเป็นเทวดานี่ ฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าบรรลุง่ายกว่าความเป็นคน ถ้าจิตใจของบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนพอใจในธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง... -
อย่าเมาในสมาธิเกินไป
• อย่าเมาในสมาธิเกินไป •
แต่เราทำสมาธิกันมา ว่ากันทั้งวันทั้งคืน ทั้งคืนทั้งวันก็มามุ่งอยู่แค่สมาธิ ถ้าแค่
สมาธิทำเป็นฌานสมาบัติมันไปถึงไหนล่ะ อย่างดีไปแค่พรหม ดีไม่ดีเผลอลงนรกไปเลย ถ้าเมาฌานนี่ไปนรกแน่ ถ้าเมาฌานจริงๆ ถ้าเห็นคนเขามีฌานไม่เสมอเรา เราก็ดูถูกเขา คิดทะนงตนว่าเป็นคนที่มีฌานสมาบัติดี ตัวนี้มันเป็นมานะที่หยาบที่สุด เป็นกิเลสที่หยาบที่สุด มานะคือการถือตัวถือตน
ฉะนั้นขอบรรดาญาติโยมพุทธศาสนิกชนทุกคนที่ปฏิบัติ สมาธิมันจะได้สักครั้งละ ๒-๓ นาทีก็ช่าง เราจะทำสมาธิทรงตัวได้เวลาครั้งละเท่าไหร่ไม่สำคัญ
จงอย่าเมาสมาธิ ทำสมาธิแค่พอดี อย่าให้ถึงกับเมา เป็นอันว่าการฝึกสมาธิถืออารมณ์สบาย อย่าทำใจให้มันเกินพอดี อย่าตั้งเวลาไว้เกินพอเหมาะ การตั้งเวลาไว้เกินพอเหมาะเช่นตั้งเวลาไว้ ๑ ชั่วโมง ถ้ายังไม่ถึง ๑ ชั่วโมงมันทั้งปวดทั้งเมื่อยทั้งกระสับกระส่าย จะเลิกก็เลิกไม่ได้ เดี๋ยวจะเสียสัจจะ สัจจะตัวนี้ไปปากคลองสานกันนับไม่ถ้วนแล้วเขาเรียกสัจจะปากคลองสาน เพราะจัดว่าเป็น "อัตตกิลมถานุโยค" เป็นการทรมานตัวพระพุทธเจ้าทรงห้าม
⚜️#หลวงพ่อพระราชพรหมยาน⚜️
{วัดจันทาราม(ท่าซุง)... -
ตำราหลวงพ่อปาน
ตำราหลวงพ่อปาน
ก็เป็นอันว่าเป็นพระที่พระพุทธเจ้าทำ ความจริงฉันไม่ได้ทำ ทุกครั้งน่ะไม่ได้ทำ เพราะว่าเรียนมาตามแบบฉบับเดิม แบบฉบับเดิมเมื่อเป็นเจ้าอาวาสวัดบางนมโค เจ้าอาวาส ใช่ไหม และคุมตำราหลวงพ่อปาน (นี่สอนกรรมฐานหรือคุยกันนี่ เอ้า ! เดี๋ยวลงกรรมฐานจนได้ละ) และตำราหลวงพ่อปานนี่ก็ไปค้างอยู่ที่บ้าน อาจารย์แจง อาจารย์แจงนี่เป็นอาจารย์หลวงพ่อปาน อยู่สวรรคโลก สุโขทัย ฉันนึกถึงตำราหลวงพ่อปานว่าควรจะอยู่ที่วัดบางนมโค ก็ไปขอคืน พอไปถึงก็ปรากฏว่าอาจารย์แจงตายไป ๒ ปีแล้ว แล้วเขียนหนังสือไว้บอกถ้าใครจะมาเอาตำราเล่มนี้ไป ให้เอาดาบ ๒ เล่มนี้ไปยืนที่กลางแจ้งแล้วก็รำดาบ ถ้าได้ยินเสียงฟ้าผ่าลงมาให้มอบตำราเล่มนี้ไปได้ สั่งเมียไว้ แล้วก็ถามภรรยาของท่าน ถามว่ามีใครมาเอาไหม บอกทั้งพระทั้งฆราวาสมารำกันป้อ รำแหงแก๋ไม่ได้ ฉันก็เลยบอกว่าฉันเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปาน อยากจะได้ บอกไม่ได้ ต้องทำตามคำสั่ง
ฉันก็เลยนึกในใจว่าเราเป็นพระ ตอนนั้นเราก็ธุดงค์มาตั้งเยอะแยะแล้วนะ ได้ฌานสมาบัติพอสมควร ถ้าจะไปรำดาบนี่มันจะไม่ใช่พระ ไอ้พระรำดาบนี่มันคนละเรื่องนะ ก็นึกในใจ เอาตกลง ก็บอกว่าตกลงนะ... -
เมตตาจิต
เมตตาจิต
ทีนี้มาชาตินี้เมื่อเรามีความเข้าใจว่า ไอ้กิเลสเป็นความเศร้าหมองเป็นความชั่วของจิตว่ามันไม่ดี ก็ควรจะทำจิตให้ผ่องใสจิตผ่องใสตัวแรกที่มีความสำคัญ ถ้าตัวนี้ทรงกำลังใจมันจะได้ทั้งศีล สมาธิ ปัญญา นั่นก็คือมีพรหมวิหาร ๔
พรหมวิหาร ๔ นี่ถ้ายืนลงในจิตของใครคนนั้นลงนรกไม่เป็น ลงไม่ได้แน่นอน เขาไม่ให้ลง ถ้าลงไปเขาขับขึ้นมา ลงไม่ได้ไม่มีสิทธิ์ คือว่าอารมณ์ของเราให้ทราบอยู่ ให้มีเมตตาจิต เราจะไม่เป็นศัตรูกับใครเลยในโลกทั้งคนและสัตว์ เราจะเป็นมิตรที่ดีของเขา แต่ว่าเขาจะเป็นศัตรูกับเราน่ะเป็นเรื่องของเขา เราหวังดีแต่เขาหวังร้าย อย่างนี้เราต้องใช้ อุเบกขา วางเฉยเข้าไว้ ถ้าเราพูดกับเขา เขาโกรธเรา ก็หยุดพูด เราใช้อุเบกขาตัวท้าย แต่ว่าเราไม่ได้โกรธ
กรุณา ความสงสาร จิตคิดไว้เสมอว่า ใครเขาทุกข์ยากลำบาก ถ้าไม่เกินวิสัยของเราที่จะช่วยได้เราพร้อมที่จะช่วย ถ้าเราช่วยได้ด้วยทรัพย์สิน เราจะให้ทรัพย์สิน ทรัพย์สินไม่มีเราจะให้กำลังกาย กำลังกายให้ไม่ได้เราให้ด้วยปัญญา แต่ทั้งนี้ถ้าเขารับความช่วยเหลือเรา เขาโกรธเรา เราต้องวางเฉย เราไม่โกรธตอบ เราไม่ช่วย เพราะช่วยไม่ได้
ต่อมา มุทิตา ตัวสุดท้าย... -
ศีลสมบูรณ์บริสุทธิ์ - ระงับนิวรณ์ ๕ (แบบครึ่งกำลัง)
ศีลสมบูรณ์บริสุทธิ์ - ระงับนิวรณ์ ๕ (แบบครึ่งกำลัง)
ทุกคนเมื่อตัดกังวล ไม่ห่วงแม้แต่ร่างกายได้แล้ว ก็ตั้งใจสมาทานศีล เรื่องศีลนี่ ความจริงไม่ใช่จะมีเฉพาะเวลาปฏิบัติ ศีลนี่เป็นเครื่องค้ำจุนฌานสมาบัติ สมาธิหรือฌานจะมีขึ้นมาได้ก็เพราะศีล ถ้าศีลบกพร่อง ฌานก็บกพร่องด้วย ถ้าศีลสมบูรณ์แบบสมาธิหรือฌานจึงจะสมบูรณ์แบบ ฉะนั้นเรื่องศีล ต้องปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำว่า
๑. เราจะไม่ทำลายศีลด้วยตนเอง
๒. จะไม่ยุยงส่งเสริมให้บุคคลอื่นทำลายศีล
๓. ไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว
เรื่องนิวรณ์ ๕ ประการ อย่านึกถึงมันเลย ซึ่งได้แก่
๑. ความรักระหว่างเพศ ที่เรียกว่ากามฉันทะ รักรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ เวลาที่นั่งปฏิบัติอยู่อย่าให้มี จะที่วัดหรือที่บ้านก็ตาม
๒. ความไม่พอใจ อย่าให้เกิดขึ้น
๓. ความง่วง
๔. อารมณ์ฟุ้งซ่านนอกรีตนอกรอย คิดโน่นคิดนี่
๕. ความสงสัยในผลของการปฏิบัติ อันนี้สำคัญ
โดยเฉพาะข้อ ๔ กับข้อ ๕ อย่าให้มี ถ้ามีแล้วเจ๊ง รวมความว่านิวรณ์ ๕ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้ามีในกำลังใจของบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทที่กำลังปฏิบัติ ก็ขอยืนยันได้เลยว่า วันนั้นไม่มีผลเลย... -
"การสร้างบารมีทางจิต" (หลวงปู่ชา สุภัทโท)
.
"การสร้างบารมีทางจิต"
" .. การสร้างบารมีทางด้านจิตใจของเรา ทำอะไรก็รู้อยู่เห็นอยู่ว่า มันถูกมันผิด "มันเปลี่ยนจากมิจฉาทิฎฐิมาเป็นสัมมาทิฎฐิ" ไม่นานหรอกโยมนี่เรียกว่า "การสร้างบารมีทางจิต" เห็นไป .. เห็นไป .. ความเห็นมันก็แก่กล้าขึ้น "บาร มีมันกล้าขึ้นเพิ่มขึ้น"
อันนี้มันก็เลยมากขึ้น "กิเลสมันก็น้อยลง เพราะบารมีมันมากขึ้น" เปรียบ ประหนึ่งว่า เราทุกคนที่นั่งกันอยู่นี้ "สมัยก่อนเราเป็นเด็กเล็ก ๆ ตอนนี้เราเป็นผู้ใหญ่" ถามว่าเด็กเล็กมันหายไปไหน?
มันไม่หายไปไหนหรอก คือเด็กน้อยเป็นเหตุให้เราใหญ่ เวลาเราโตเด็ก มันก็เลยหายไป "เด็กไม่มีไม่รู้ไปไหน กลายมาเป็นผู้ใหญ่เลย" ไม่มีเด็กน้อย "จิตใจของเราก็เช่นกัน ถ้าความรู้เกิดขึ้น ความไม่รู้มันก็หายไป ทิ้งไป" .. "
"เหนือสิ่งอื่นใด"
หลวงปู่ชา สุภัทโท -
รีบบันทึกบุญให้มากที่สุดเท่าที่จะระลึกได้
รีบบันทึกบุญให้มากที่สุดเท่าที่จะระลึกได้ -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ -
จะสร้างวัตถุมงคลก็ต่อเมื่อมีคำสั่งจากครูบาอาจารย์เท่านั้น
วัตถุมงคลของวัดท่าขนุนนั้น จะสร้างเฉพาะตามที่ครูบาอาจารย์ท่านสั่ง ถ้าไม่ใช่ส่วนที่ท่านสั่งแล้ว กระผม/อาตมภาพไม่เสียเวลาไปทำ เนื่องเพราะว่าทำเมื่อไรก็ได้เงินมา ได้เงินมาเมื่อไร ก็ต้องทำงานโน่นทำงานนี่ ต้องบอกว่า "เหนื่อยจนหมดอารมณ์ที่จะทำแล้ว" ปล่อยให้เป็นไปตามคำสั่งครูบาอาจารย์อย่างเดียว จะไม่แส่หาไปทำเองอย่างเด็ดขาด..! เพราะว่าเท่ากับหาเรื่องเหนื่อยนั่นเอง
ญาติโยมหลายท่านที่ไม่เข้าใจตรงจุดนี้ ก็พยายามที่จะส่งข้อความส่วนตัว ที่เรียกว่า PM บ้าง ติดต่อผ่านทางอีเมล์บ้าง บอกว่า "ต้องทำจำนวนเท่านั้นหมื่น เท่านี้แสน เพื่อที่ทุกคนจะได้วัตถุมงคลที่มีคุณค่า เสกโดยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยทั่วถึงกัน" กระผม/อาตมภาพอยากจะถามว่า "ท่านทั้งหลายรู้จักวงการสร้างวัตถุมงคลดีแค่ไหน ?"
เพราะว่าวงการนี้ โดยปกติแล้วจะมีผู้รับอาสาสร้างวัตถุมงคลให้กับหลวงปู่หลวงพ่อวัดต่าง ๆ ที่มีชื่อเสียง แม้แต่ในสมัยของพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงก็เป็นแบบนี้ แต่ว่าก็มีการบวกตัวเลขกันอย่างชนิดที่เรียกว่า "ไม่คำนึงถึงหิริโอตัปปะเลย" อย่างเช่นว่าการสร้างพระสมเด็จคำข้าว วัดท่าซุงนั้น ทางโรงงานขอที่ราคาองค์ละ ๘๐... -
"อัครฐาน ฐานะอันเลิศ" (หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต)
.
"อัครฐาน ฐานะอันเลิศ"
" .. "ฐานะอันเลิศนั้นมีอยู่ในมนุษย์" ฐานะอันเลิศนั้นเป็นทางดำเนินไปเพื่อความบริสุทธิ๋ของสัตว์ โดยอธิบายว่า เราได้รับมรดก มาแล้วจากนโม คือบิดามารดา "กล่าวคือตัวของเรานี้แล อันได้กำเนิดเกิดมาเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นชาติสูงสุด เป็นผู้เลิศตั้งอยู่ในฐานะ อันเลิศด้วยดี" คือมีกายสมบัติ วจีสมบัติ และมโนสมบัติบริบูรณ์
จะสร้างสมเอาสมบัติภายนอกคือทรัพย์สินเงินทองอย่างไรก็ได้ "จะสร้างสมเอาเป็นสมบัติภายในคือ มรรค ผล นิพพาน ธรรมวิเศษ ก็ได้" พระพุทธองค์ทรงบัญญัติพระธรรมวินัย "ก็ทรงบัญญัติแก่มนุษย์เรานี่เอง" มิได้ทรงบัญญัติแก่ ช้าง ม้า โค กระบือ ฯลฯ ที่ไหนเลย "มนุษย์นี้เองจะเป็นผู้ปฏิบัติถึงซึ่งความบริสุทธิ๋ได้"
ฉะนั้นจึง ไม่ควรน้อยเนื้อตํ่าใจว่า "ตนมีบุญวาสนาน้อย เพราะมนุษย์ทำได้ เมื่อไม่มีทำให้มีได้ เมื่อมีแล้วทำให้ยิ่งได้" .. "
"มุตโตทัย"
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ -
"ภาวนา ให้ระลึกถึงลมหายใจ" (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)
.
"ภาวนา ให้ระลึกถึงลมหายใจ"
" .. เราไม่ต้องระลึกอะไรทั้งสิ้น "ให้ระลึกเอาสิ่งเดียวที่ลมหายใจ" ซึ่งเป้นของกลางมีอยู่ทุกคนไม่เอนเยงไปทางไหนทั้งหมด ทุกคนมีลมหายใจด้วยกันทั้งนั้น "คนเรากลัวตายถ้าไม่มีลมหายใจก็ต้องตาย" เหตุนั้นมากำหนดที่ลมหายใจ
"สติควบคุมจิตให้รู้สึกเฉพาะที่ปลายจมูก" จิตไปอยู่ตรงนั้น รู้สึกตรงนั้น สติก็คุมอยู่ตรงนั้น ไม่ให้ส่งไปนอกจากนั้น ถ้ามันส่งออกไปแล้วก็ดึงมาอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา
ถ้าหากเราฝึกฝนไปนาน ๆ หนักเข้า "ที่มันฟุ้งซ่านจะค่อยซาลงอ่อนลงค่อยเบาลงน้อยลง ๆ จนกระทั่งหายวับไป" ไม่มีอะไรเลย ยังเหลือแต่ผู้รู้ "สติกับผู้รู้มาอยู่รวมกันในที่เดียวกัน" .. "
"ปุจฉาวิสัชนาต่างประเทศ"
(หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี) -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ -
พ่อ...ผู้มีแต่ให้
พ่อ...ผู้มีแต่ให้
คำร้อง : พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
ดนตรี : อ.ธนิศร์ ศรีกลิ่นดี และ อ.พงศ์พิธาน ธวัชชัย
ขับร้อง : ขวัญข้าว ธิดารินทร์
ธรรมใดคำสั่งสอน..............พุทธองค์
พ่อแจ้งจิตจำนงค์..............ทั่วถ้วน
ยอมชีวิตปลิดปลง..............ไป่ฝืน...คำนอ
พ่อสอนสั่งลูกด้วย..............ช่วยชี้...ทางธรรม
น้อมนำธรรมะ..............ทุกวจี
พ่อสอนแต่สิ่งดี..............เลิศหล้า
หวังลูกพิสุทธิ์ศรี..............ตามบาท....พ่อเฮย
เหนื่อยยิ่งใครในหล้า..............ทั่วฟ้า...แดนไตร
สามโลกจักหาใคร..............ไป่มี
พ่อดั่งพระสุริยศรี..............คู่ฟ้า
สว่างหล้าธาตรี............ใครเปรียบ...เทียบฤๅ
นามพ่ออยู่คู่หล้า..........ตราบฟ้า...ดินสลาย
ร่มโพธิ์แก้วเพริศแพร้ว..............แดนไตร
พ่อลาลับดับไป..............แต่ชื่อ
ดวงจิตสว่างใส..............บริสุทธิ์...ยิ่งเฮย
นำพ่อสู่เมืองแก้ว..............สุขล้ำ...นฤพาน
สามโลกจักหาใคร..............ไป่มี
พ่อดั่งพระสุริยศรี..............คู่ฟ้า
สว่างหล้าธาตรี............ใครเปรียบ...เทียบฤๅ
นามพ่ออยู่คู่หล้า..........ตราบฟ้า...ดินสลาย... -
เรานึกถึงแต่ในเรื่องที่ดี พอถึงเวลาสิ่งที่ตอบสนองมาก็เป็นแต่เรื่องที่ดี ๆ
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยเป็นฆราวาส ถึงเวลาไปทำบุญวัดไหน หรือว่าไปเช่าวัตถุมงคลวัดไหน ถือว่าวันนั้นเป็นวันดีที่เราได้อัญเชิญพระเข้าบ้าน เอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นมงคลเข้าบ้าน พอมาเป็นพระ ถึงเวลาจัดงาน พระสงฆ์ที่ท่านมาเองโดยที่อาตมาไม่ได้นิมนต์ ปกติแล้วท่านจะเป็นส่วนเกิน แต่อาตมาถือว่าท่านมาเป็นเนื้อนาบุญให้ ก็ให้การต้อนรับขับสู้ ถึงเวลาก็ถวายปัจจัยไทยธรรมเท่ากับพระที่เรานิมนต์มานั่นแหละ ฉะนั้น...อาจจะเป็นเพราะว่าทำลักษณะอย่างนี้มา ทั้งตอนที่เป็นฆราวาสแล้วก็เป็นพระ ด้วยความรู้สึกว่าสิ่งดี ๆ ทั้งหลายจะได้เกิดขึ้นกับเรา
ตรงนี้เป็นกำลังใจที่เขาเรียกว่ามโนมยา คือ สำเร็จด้วยใจ เพราะว่าเรานึกถึงแต่ในเรื่องที่ดี พอถึงเวลาสิ่งที่ตอบสนองมาก็เป็นแต่เรื่องที่ดี ๆ ทั้งนั้น อย่างเช่นว่าถ้าวันนี้อาตมาบูชายันต์เกราะเพชรไป ก็กลับบ้านด้วยความปลื้มใจว่า เราได้อัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีบารมีพระเข้าบ้าน ให้ท่านช่วยปกปักรักษาคุ้มครองตัวเราและคนที่เรารัก เป็นต้น วางกำลังใจให้เป็น วางกำลังใจให้ถูก เรื่องดี ๆ จะได้เกิดกับเราทุกวัน"
.....................................
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน... -
"นิมิตพระอาจารย์มั่น" (หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท)
.
"นิมิตพระอาจารย์มั่น"
" .. หลังจากได้อยู่ร่วมกับท่านพระอาจารย์มั่นเป็นเวลา ๓ ปี ๔ แล้ง แล้วผ่านฤดูแล้งปี .. ๘๖ ท่านพระอาจารย์มั่น "ท่านปรารภจะไปจำพรรษาที่เสนาสนะป่าบ้านนามน" เราเห็นว่าท่านมีลูกศิษย์ลูกหามาก ขึ้นแล้ว "ท่านอาจารย์มหาบัวก็เป็นที่ตายใจ" ท่านเก่งฉลาด เป็นที่ตายใจ
ในเรื่องเกี่ยวกับท่านพระอาจารย์มั่นได้เป็นอย่างดีเยี่ยม "เรื่องข้อวัตรปฏิบัติที่เราเคยทำมาเป็นเวลานานสมควรกับท่านอาจารย์มหา" เพราะ "ท่านมีวิชาความรู้กล้าสู้หน้าไม่อายใคร" และจะเป็นประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่หมู่คณะต่อไปในอนาคต "เหมือนดั่งนิมิตที่ท่านพระอาจารย์มั่นทำนายไว้ที่ดอยคำ" บ้านแม่ปัง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ว่า ..
"ท่านองค์นี้ ลักษณะเหมือนท่านเจี๊ยะ แต่มีใช่ท่านเจี๊ยะ จะทำประโยชน์ให้หมู่คณะ ท่านนิมิตเห็นพระหนุ่ม ๒ รูป นั่งช้าง ๒ เชือก ติดตามท่านซึ่ง นั่งสง่างามบนช้างตัวขาวปลอดจ่าโขลงเป็นช้างใหญ่ พระหนุ่มสองรูปนี้จะสำเร็จ ก่อนและหลังท่านนิพพานไม่นานนักและจะทำประโยชน์ใหญ่ให้พระศาสนา"
เมื่อเราเห็นท่านอาจารย์มหาบัวเข้ามา "ก็ตรงตามลักษณะที่ท่านท่านายไว้ ก็เบาใจเป็นที่ยิ่ง" ถึงได้กับอุทานภายในใจว่า ..... -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๕
เเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ -
ความสุขของพระอริยเจ้า
เมื่อทรงสมาธิในระดับนี้ได้แล้ว ถ้าเราเพิ่มปัญญาเข้าไปเพียงเล็กน้อยว่า ตัวเราเป็นโลกิยบุคคล ทรงแค่ระดับปฐมฌาน ยังมีความสุขความเยือกเย็นใจได้ขนาดนี้ แล้วบุคคลที่ทรงฌานที่ ๒ จะมีความสุขขนาดไหน ? เพราะว่าหนักแน่นมั่นคงกว่ามาก บุคคลที่ทรงฌานที่ ๓ จะมีความสุขขนาดไหน ? บุคคลที่ทรงฌานที่ ๔ จะมีความสุขขนาดไหน ?
แล้วบุคคลที่สามารถทรงฌานที่ ๕ ที่ ๖ ที่ ๗ ที่ ๘ ซึ่งเป็นอรูปฌานได้ จะมีความสุขขนาดไหน ? เพราว่าความมั่นคงยิ่งมีมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามระดับ อำนาจแค่โลกิยสมาธิขั้นต้นยังยิ่งใหญ่ขนาดสามารถประหัตประหารกิเลสให้สงบนิ่งลงได้ชั่วคราว เรายังมีความสุขขนาดนี้ แล้วพระโสดาบันจะมีความสุขขนาดไหน ?
อรรถกถาจารย์กล่าวว่า พระโสดาบันนั้นมีความสุขยิ่งกว่าพระเจ้าจักรพรรดิที่เกิดมาแล้วไม่ต้องหวาดระแวงอะไร เพราะว่าในโลกไม่มีใครเป็นศัตรูกับพระองค์ท่าน ความสุขระดับนั้นของพระเจ้าจักรพรรดิ ไม่ได้เศษ ๑ ส่วน ๑๖ ของพระโสดาบัน แล้วพระสกทาคามีที่แค่เวียนว่ายตายเกิดชาติเดียวจะมีความสุขขนาดไหน ? เห็นทางหลุดพ้นอยู่ตรงหน้าแล้ว
พระอนาคามีที่ไม่ต้องลงมาเกิดให้ทุกข์... -
"ความสำคัญของสติและกรรม" (สมด็จพระสังฆราชเจ้าฯ)
.
"ความสำคัญของสติและกรรม"
" .. "จงเห็นความสำคัญที่สุดของสติ" พยายามมีสติไว้ให้เสมอ คือพยายามอย่าให้ขาดสติ "อะไรเกิดขึ้นได้จะได้ไม่ยอมเป็นผู้แพ้กรรม" จะรู้ถูกรู้ผิด รู้ดีรู้ชั่ว รู้ผิดรู้ชอบ "อะไรจะพาไปถูกก็รู้ อะไรจะพาไปผิดก็รู้" อะไรจะพาไปดีก็รู้ อะไรจะพาไปชั่วก็รู้
"ความมีสติรู้เช่นนี้สำคัญนัก" ให้มีสติจริง ให้รู้จริง "จะไม่ตกอยู่ใต้บังคับบัญชาที่เลวร้ายรุนแรงของกรรม" กรรมที่ทุกคนได้ทำไว้มากมายด้วยกันทั้งนั้น เพราะเป็นสิ่งที่สั่งสมมานับพบนับชาติไม่ถ้วน
"อกุศลกรรมคือกรรมไม่ดี" ตามทันเมื่อไรก็เมื่อนั้นแหละ "ที่จะบังคับบัญชาผู้ที่ได้ทำกรรมไม่ดีไว้ ให้ทำบาปทำชั่วต่าง ๆ นานา" อันจะฉุดกระชากลากถูไปสู่ห้วงเหวแห่งความชั่วร้าย ที่จะให้โทษทุกข์รุนแรงทั้งสิ้น .. "
"แสงส่องใจ" ส.ค.ส. ๒๕๔๙
สมด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=10712 -
ทำใจให้เหมือนบ่อน้ำลึก ให้ก้นบ่อนิ่งอยู่เสมอ
ทำใจให้เหมือนบ่อน้ำลึก เปลือกนอกของเราเหมือนกับน้ำปากบ่อ กระเพื่อมไปตามแรงลมแรงอะไรต่าง ๆ แต่ว่าก้นบ่อให้นิ่งอยู่เสมอ ถ้าทำได้อย่างนั้นแล้วจะสบาย
สังเกตดูสิท่านที่ทำได้ ไม่ว่าอยู่ในอิริยาบถไหน ท่านจะมีสติอยู่เสมอ ไม่ว่าเรื่องอะไรเข้ามา ท่านจะสามารถแยกแยะออกได้อย่างสะดวกและง่าย ในเมื่อนิ่งก็สามารถสะท้อนได้อย่างแจ่มชัด เหมือนกับน้ำจริง ๆ
...................................
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
www.watthakhanun.com -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ -
ผู้ใหญ่ คือ บุคคลที่ดูแลตัวเองได้ เมื่อพบเจอปัญหาสามารถแก้ไขด้วยตนเองได้
เด็กวัยรุ่น เมื่อไร ๆ ก็คือวัยรุ่น ค่อนข้างจะอิสระและกบฏต่อครอบครัวเป็นเรื่องธรรมดา อันนี้ต้องบอกว่าเป็นสัญชาตญาณที่ฝังอยู่ในสายเลือด พอถึงเวลาแล้วต้องแตกครอบครัวออกไป เพื่อเป็นการกระจายสายพันธุ์ของตนเอง ในเมื่อเป็นสัญชาตญาณ พอถึงเวลา พ่อแม่กับลูกก็จะกัดกันตลอด เพียงแต่ว่าคนเราพอถึงระดับหนึ่งจะมีพัฒนาการ รู้ดีรู้ชั่ว รู้ผิดรู้ถูก ก็ปรับได้ แต่บรรดาสัตว์ต่าง ๆ เขาปรับตรงนี้ไม่ได้ พอวัยรุ่นปุ๊บ แม่ก็ไล่กัดให้ไปหากินเอง
จริง ๆ แล้วเป็นเรื่องที่เราต้องชี้แจงให้เขาทราบ เพราะว่าเด็กวัยรุ่นมักจะคิดว่าตัวเองโตแล้ว แต่พ่อแม่ยังเห็นเขาเป็นเด็กอยู่ เราต้องชี้แจงให้เขาทราบว่าผู้ใหญ่คืออะไร ผู้ใหญ่คือบุคคลที่สามารถยืนหยัดด้วยตนเองได้ ทำงานหาเงินเลี้ยงตัวเองได้ มีปัญหาเกิดขึ้นต้องแก้ไขด้วยตนเองได้
ถ้าอะไรเกิดขึ้นแล้วคิดถึงพ่อถึงแม่ไว้ก่อน รู้ไว้เลยว่ายังไม่โต เพราะฉะนั้น..ตัวใหญ่แค่ไหนก็ยังไม่โต ก็ยังต้องเป็นเด็กต่อไป ยกเว้นว่าเราสามารถทำอะไรด้วยตนเอง ยืนหยัดด้วยตนเอง มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นสามารถแก้ไขด้วยตนเอง ทำมาหากินด้วยตนเองไม่ต้องพึ่งใคร พ่อแม่ตายลงไปเดี๋ยวนั้น เราอยู่ได้... -
"เรียกว่า เป็นภิกษุแท้" (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)
.
"เรียกว่า เป็นภิกษุแท้"
" .. เมื่อบุคคลปลงผม หนวด เคราออกหมด แล้วและได้ครองผ้ากาสาวพัสตร์เรียบร้อยแล้ว "ก็นับว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นภิกษุได้" แต่ยังเป็นได้ เพียงแต่ภายนอกเท่านั้น "ต่อเมื่อเขาสามารถปลงสิ่ง ที่รกรุงรังทางใจ อันได้แก่อารมณ์ตกต่ำทางใจได้แล้ว" ก็ชื่อว่าเป็นภิกษุในภายในได้
ศีรษะที่ปลงผมหมดแล้ว สัตว์เลื้อยคลานเล็กน้อย เช่น เหา ย่อมอาศัยอยู่ไม่ได้ฉันใด "จิตที่พ้นจากอารมณ์ ขาดจากการปรุงแต่งแล้ว ทุกข์ก็อาศัยอยู่ไม่ได้ฉันนั้น" ผู้มีปกติเป็นอยู่อย่างนี้ควร "เรียกเอาว่า เป็นภิกษุแท้" .. "
"หลวงปู่ฝากไว้"
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล -
วิธีอธิษฐานกับหลวงปู่ดู่ให้เกิดประโยชน์
วิธีอธิษฐานกับหลวงปู่ดู่ให้เกิดประโยชน์
#หลวงตาม้า #คาถาพระมหาจักรพรรดิ #หลวงตาม้าบรรยายธรรม #หลวงตาม้า #สวดจักรพรรดิ #จักรพรรดิ #หลวงปู่ดู่ #หลวงปู่ดู่พรหมปัญโญ #ฟังธรรม #สอนสมาธิ #สวดมนต์ #ธรรมหลวงตา #สวดมนต์ #คาถาจักรพรรดิ #สวดคาถาจักรพรรดิ #หลวงตาม้าบรรยายธรรมล่าสุด #หลวงตาม้าล่าสุด #หลวงตาม้าบรรยายธรรม #คาถามหาจักรพรรดิ108จบ #วัดพุทธพรหมปัญโญ -
ธรรมบรรยาย "วิชากรรมฐาน สำหรับนิสิตบัณฑิตศึกษาระดับปริญญาโท"
ธรรมบรรยายวิชากรรมฐาน (ปริญญาโท) สำหรับนิสิตบัณฑิตศึกษาระดับปริญญาโท
วันจันทร์ที่ ๒๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ เวลา ๑๕.๐๐ น.
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน
เจ้าสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดกาญจนบุรีแห่งที่ ๒๓ (วัดท่าขนุน)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิฝ่ายเผยแผ่พระพุทธศาสนาจังหวัดกาญจนบุรี
พระวิปัสสนาจารย์ประจำกองวิปัสสนาธุระแห่งประเทศไทย
คณะกรรมการบริหารกองวิปัสสนาธุระแห่งประเทศไทย
บรรยายวิชากรรมฐานแก่นิสิตบัณฑิตศึกษา (ระดับปริญญาโท) สาขาวิชาการจัดการเชิงพุทธ รุ่นที่ ๑๕ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ณ ศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย วัดท่าขนุน หมู่ที่ ๑ ตำบลท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ -
"ความทุกข์ของดวงจิต" (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)
.
"ความทุกข์ของดวงจิต"
" .. บัดนี้ "อยากเห็นความทุกข์ของดวงจิต" ในเมื่อดวงจิตนี้ ได้รับความกระทบกระทั่งจากเรื่องภายนอกบ้าง กระทบกระทั่งจากร่างกายอันเป็นส่วนภายในนี้บ้าง "เมื่อจิตไม่รู้เท่าทัน มันก็จะหวั่นไหว" เสียใจบ้าง เศร้าบ้างโกรธบ้าง ขุ่นเคืองบ้าง
ถ้าว่าเป็นเช่นนี้ "ก็รู้ตัวได้เลยว่า จิตนี้เป็นทุกข์" ถ้าจิตเป็นอยู่อย่างนี้นะ มีแต่ทุกข์ มีแต่หวั่นไหว "หาความสงบไม่ได้เลย" จิตที่ยึดมั่นถือมั่นในอำนาจของกิเลสมีแต่ทุกข์
พูดง่าย ๆ "ถ้าจิตปล่อยวางกิเลสได้มีแต่สุข" เพราะว่า เมื่อจิตมันปล่อยวางกิเลสลงไปแล้วมันสงบ มันเย็น "ปล่อยวางความโกรธลงได้ ใจมันก็เย็นสบาย เวลามันโกรธอยู่นั่น ร้อนเหมือนไฟ"
ถ้าจิตปล่อยวางความหลงความไม่รู้ ความสงสัย ลังเลต่าง ๆ พวกนี้ "เมื่อจิตปล่อยวางลงไปแล้ว มันรู้ขึ้นมาแล้ว มันก็เย็นสบาย" .. "
"ธรรมโอวาทหลวงปู่เหรียญ"
หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ -
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๕
หน้า 58 ของ 414