89.ญี่ปุ่น(2) : หนาวกับฝน และ ฉันทนได้

แต่โชกุนได้เสียชีวิตลงในขณะที่เริ่มสร้าง Yoriie Minamoto บุตรชายได้ขึ้นเป็นโชกุนแต่ถูกครอบงำอำนาจจากตระกูล Hojo จากฝ่ายมารดาซึ่งศรัทธานิกาย Zen ทำให้การสร้างพระไดบุทสึในนิกาย Jodo ต้องล้มเลิก

​

 

ต่อมา Inada Notsubone สตรีที่เคยรับใช้โชกุน โยริโมโตะ มินาโมโตะ ต้องการที่จะสานต่อการสร้างพระไดบุทสึ ได้รับความช่วยเหลือจากหลวงพ่อโจโคะ(Joko) ได้ร่วมเดินทางไปทั่วญี่ปุ่นเพื่อรับบริจาคเงินจากพุทธศาสนิกชนในการสร้างองค์พระ ในปี ค.ศ.1243 ก็สร้างพระไดบุทสึแห่งคามาคุระจากไม้ มีความสูง 24 เมตร และอาคารวิหารตามแบบอย่างนาราได้สำเร็จ และใหญ่กว่าพระไดบุทสึแห่งเมืองนารา ที่สร้างจากสำริดความสูง 14.73 เมตร

​

 

อีก 4 ปีต่อมาเกิดพายุไต้ฝุ่นพัดผ่านคามาคุระ ทำให้พระไดบุทสึและวิหารเสียหายเกินกว่าจะซ่อมแซม Inada Notsubone และหลวงพ่อโจโคะ ต้องออกเดินทางอีกครั้งเพื่อบอกบุญสำหรับการสร้างพระไดบุทสึองค์ใหม่ เมื่อรวบรวมปัจจัยได้แล้วครั้งนี้จึงเปลี่ยนมาใช้สำริดเหมือนกับพระไดบุทสึแห่งนารา

​

 

แต่การหล่อพระองค์ใหม่ไม่สำเร็จ จนกระทั่งได้ช่างฝีมือดี 2 คนชื่อ ทันจิ ฮิซาโตโมะ (Tanji Hisatomo) และ โกโรอิมง โอโนะ (Goroe-mon Ono) มาช่วยหล่อองค์พระได้สำเร็จในปี ค.ศ.1252 โดยหล่อเป็นชิ้นแล้วมาประกอบกันหากสังเกตจะเห็นรอยเชื่อมต่อโลหะเชื่อมพระพุทธรูปองค์นี้ให้เป็นรูปร่างซ้อนกันขึ้นไปรวมทั้งหมด 8 ชิ้น องค์พระมีความสูง 11.4 เมตร(รวมฐานสูง 13.35 เมตร) หนัก 122 ตัน ประดิษฐานในวิหาร

​

 

อีกสาเหตุที่ทำให้พระไดบุทสึแห่งเมืองคามาคุระแตกต่างจากที่เมืองนารา คือพระพุทธรูปองค์นี้เกิดจากจิตศรัทธาของประชาชนญี่ปุ่นทั่วประเทศที่มีส่วนร่วมในการสร้างถึง 2 ครั้งด้วยกันโดยรัฐไม่ได้ช่วยเหลือ ระยะเวลา 153 ปีของสมัยคามาคุระ ต้องมีอันสิ้นสุดลงเนื่องจากความอ่อนแอของโชกุน และการแทรกแซงจากตระกูล

​

 

ในปี ค.ศ. 1335 เกิดพายุไต้ฝุ่นพัดกระหน่ำคามาคุระอีกครั้ง ขณะนั้นกองทัพซามูไรกว่า 500 คนของตระกูล Joho ที่กำลังรบอยู่ในสงครามได้หนีเข้าไปหลบพายุในวิหารของวัดโคโตกุอิน แต่วิหารก็ไม่สามารถต้านความแรงของพายุได้และพังลงมาทับกองทัพซามูไรของตระกูล Joho เสียชีวิต เหลือไว้เพียงพระไดบุทสึองค์เดียว จากนั้นก็เกิดพายุไต้ฝุ่นบ้าง แผ่นดินไหวบ้าง ทำให้วิหารที่สร้างครอบองค์พระได้รับความเสียหายไปหมด แม้จะสร้างขึ้นมาใหม่อีกหลายครั้งก็ถูกภัยธรรมชาติทำลาย จนกระทั่งครั้งสุดท้ายเมื่อปี ค.ศ.1498 เกิดคลื่นยักษ์สึนามิเข้าถล่มชายฝั่งเมืองคามาคุระกวาดเอาวิหารและบ้านเรือนราษฎรลงทะเลไป แต่องค์พระใหญ่นั้นไม่ได้เคลื่อนย้ายไปไหน จึงประดิษฐานอยู่กลางแจ้งตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ยังมีกองทัพมองโกลเคยเข้ามารุกรานเมืองคามาคุระถึง 2 ครั้ง ก็ต้องถอยทัพกลับไป เพราะเกิดเหตุการณ์ภัยธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ของพระองค์ใหญ่ทั้ง 2 เช่นกัน จึงเป็นที่เคารพเลื่อมใสศรัทธาอย่างมาก การชมองค์พระให้ยืนห่างจากองค์พระประมาณ 4-5 เมตร จะทำให้เห็นองค์พระสมส่วน

​

 

​

 

ภายในองค์พระ สามารถเข้าไปได้​

 

ภายในวัดโคโตกุอิน มีต้นสนที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงปลูกในวโรกาสที่เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี เยือนวัดโคโตกุอิน เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2474 และยังมีต้นสนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาล ที่ 10 ทรงปลูกในวโรกาสที่เสด็จเยือนวัดโคโตะกุอิน เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2530 ด้วย

​

 

ทางด้านซ้ายของพระไดบุทสึ มีอาคารจำหน่ายของที่ระลึก วัตถุมงคล สร้อยฟ้าฯ ได้เช่าพระไดบุทสึมาองค์หนึ่งขนาด 5 นิ้ว ที่นี่มีให้เลือกเช่าทั้งขนาด 3 , 5, 9 นิ้ว ที่แรกจะเช่า 9 นิ้วองค์ใหญ่ พอคำนวณกลับเป็นเงินไทย เลยเช่าองค์ 5 นิ้วมาแทน เชิญขึ้นโต๊ะหมู่ที่บ้านกำลังดี เพื่อนก็เลยเช่ากันบ้าง เช่าเสร็จแล้วกังวลว่าจะนำกลับไทยยังไง กลัวไม่ผ่าน ตม. แต่ก็ผ่านได้เพราะไม่ได้ทำมาจากโลหะ

​

 

​

 

เดินออกมาจากวัดโคโตกุอิน บ่ายสีโมงครึ่งท้องฟ้าเริ่มมืด พวกเราพากันไปเข้าวัด วัดฮาเซเดระ (Hasedera 長谷寺) หรือชื่อ Kaikōzan Jishōin Hase-dera (海光山慈照院長谷寺)

ในอดีต มีพระรูปหนึ่งนามว่า Tokudo Shonin ค้นพบต้นการบูน(Kusunoki 楠) ขนาดใหญ่ ในป่าแถวหมู่บ้านฮาเซะ เมืองนารา ท่านคิดว่าด้วยขนาดของไม้ต้นนี้น่าจะสามารถแกะสลักเป็นองค์พระพุทธรูปได้ถึง 2 องค์ และพระพุทธรูปที่ท่านว่านั้นคือ พระโพธิสัตว์อวโลติเกศวร(เทพคันนง) 11 เศียร Statue of Eleven-Headed Kannon 木造十一面観音菩薩像 โดยองค์หนึ่งได้ประดิษฐานไว้ที่วัดฮะเซเดระ ในจังหวัดยาโมโต ซึ่งปัจจุบันคือเมืองนารา และอีกองค์หนึ่งถูกลอยลงสู่ทะเล ด้วยคำอธิษฐานว่า ท่านเทพคันนงจะคอยปกป้องรักษาชาวบ้านเมื่อท่านลอยไปถึงฝั่งนั้น หลังจากนั้นอีก 16 ปี ในวันที่ 16 มิถุนายน ค.ศ.736 รูปแกะสลักได้ลอยไปถึงชายฝั่ง Nagai แหลม Miura อีกด้านหนึ่งของเมืองคามาคุระ จึงได้อัญเชิญมาที่เมืองคามาคุระและสร้างวัดฮะเซเดระ Hasedera ถวาย และวัดแห่งนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่ 4 จากทั้งหมด 33 แห่งที่เรียกกันว่า Bandō Sanjūsankasho 坂東三十三箇所

​

 

พื้นที่ของวัดตั้งอยู่บนเนินเขา มีสวนญี่ปุ่น บ่อปลาคาร์ฟอยู่ในบริเวณวัด สามารถชมดอกซากุระ ดอกไฮเดรนเยีย เชอร์รี ลิลลี่ ลิลลี่ดาบ ต้นโคลเวอร์ ดอกบอลลูน พลัม ดอกนาซิสซัส หรือช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ซึ่งสามารถมาชมได้ตลอดทั้งปีตามฤดูกาล วัดนี้จึงได้อีกชื่อหนึ่งว่า “วัดดอกไม้”

​

 

​

 

ระหว่างทางขึ้นไปบนวัดจะมีลานตุ๊กตาหินจิโซนับพันตัว ตุ๊กตาหินเหล่านี้คือ พระโพธิสัตว์จิโซ (Jizou) เป็นพระโพธิสัตว์ที่นำดวงวิญญาณของสรรพสัตว์ให้พ้นจากความทุกข์ยากทั้งปวง โดยเฉพาะช่วยนำดวงวิญญาณของเด็กที่เสียชีวิตหรือเสียชีวิตจากการแท้งให้ไปสู่สวรรค์ พลังของพระโพธิสัตว์จิโซนั้นสามารถแผ่ไปได้อย่างกว้างขวาง จึงนิยมสร้างรูปพระโพธิสัตว์จิโซไว้บูชาในวัดต่าง ๆ โดยสร้างเป็นรูปพระที่มีพระพักตร์คล้ายเด็ก ประทับยืนบนดอกบัว พระหัตถ์ขวาถือธารพระกร พระหัตถ์ซ้ายถือแก้วมณี

​

 

พวกเราเดินมาถึงลานนี้ เกือบห้าโมงเย็น แต่มืดแล้ว ตรงด้านนึงมีธูปเทียน และกระถางธูปให้ปัก เพื่อไปไหว้พระโพธิสัตว์จิโซที่ประดิษฐานอยู่ในศาลา (Jizo-do Hall) แต่ตรงที่หยิบธูปเทียนมีป้ายเขียนคำอธิบายไว้เป็นภาษาญี่ปุ่น อ่านกันไม่ออก จึงใช้ appแปลภาษาออกมาได้ความว่า “ที่จุดระเบิด” งง เลยสิ...

​

 

​

 

​

 

​

 

​