เรื่องเด่น รวมหลวงพ่อตอบปัญหา/จากคำบอกเล่า

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย Wannachai001, 21 กรกฎาคม 2012.

  1. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    มีประจำเดือนห้ามใส่บาตร

    ลูกศิษย์ : คนที่มีประจำเดือน คนจีนเขามาบอกว่าคนที่มีประจำเดือนใส่บาตรไม่ได้ ไหว้พระไม่ได้ สวดมนต์ไม่ได้ นั่งกรรมฐานไม่ได้ ผมถามว่าเป็นเพราะอะไร เขาบอกว่าเพราะกายไม่สะอาด เขาบอกว่าถ้าไม่เชื่อให้มาถามหลวงพ่อดูว่าจะจริงหรือเปล่า

    หลวงพ่อ : เอ้ ถ้าพระจีนเขารับไม่ได้ พระไทยรับดะ (หัวเราะ)

    ยกทรง : แหม เมตตา

    หลวงพ่อ : ประจำเดือนน่ะเมือกเลือดนะ มีอยู่ในร่างกายอยู่แล้ว ถ้ามันไม่ไหลออกมาก็อยู่ในร่างกาย ถ้ารังเกียจก็ต้องรังเกียจตลอดชาติ ไม่มีความหมายอะไรเลย บอกแล้วถ้าพระจีนไม่รับ พระไทยไม่เลือก

    ยกทรง : แหม สงเคราห์เต็มที่เลยนะครับ

    หลวงพ่อ : ใช่ พระพุทธเจ้าไม่เคยห้ามเลย ต้องดูพระพุทธเจ้าท่านนะ แล้วมีอะไรอีก


    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 15 หน้า 433)

    ใส่เสื้อผ้าก่อนตาย

    ยกทรง : ชาวจีนนี่ ตอนใกล้ตายเขาต้องรีบเอาผ้าผ่อนมาถอด แก้ผ้าออกเอาตัวใหม่มาใส่ อยากจะแจ๋ว อยากจะแต่งตัวอย่างดี

    หลวงพ่อ : อยากจะโก้ไปเที่ยวงาน ต้องแต่งตัวเต็มที่

    ยกทรง : เขาว่าตายไปจะได้มีเสื้อผ้าอย่างดี ไม่ยากไม่จน ส่วนคนไทยที่บวชพระพอใกล้ตาย เขาก็เอาจีวรออกเสีย ดีไม่ดีเดี๊ยวตายแล้วเป็นงูเหลือมเฝ้าวัด โบราณเขาว่ากันมาอย่างนี้ พอมาถึงหลวงพ่อ เลยต้องแก้ให้ชี้แจงว่าเป็นเพราะอะไร จริงหรือไม่ ขอรับ

    หลวงพ่อ : ไม่เคยเห็นนะ

    ยกทรง : ไม่เคยเห็นเลยเหรอ คนจีนนี่เคยเห็นหรือเปล่า จะให้ประโยชน์อะไรแก่คนที่จะตายบ้างหรือเปล่า

    หลวงพ่อ : ไอ้คนที่จะตายนี่มีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์ฉันไม่ทราบ แต่มีประโยชน์แก่บุคคล 2 ฝ่าย คือ ผู้ที่ทำด้วยความกตัญญูรู้คุณ พระพุทธเจ้าท่านว่า นิมิตตัง สาธุรูปานัง กตัญญูกตเวทิตา

    บุคคลใดมีความกตัญญูอุปการะรู้คุณของท่านที่ทำ แล้วสนองคุณท่าน ท่านกล่าวว่าเป็นคนดี ในด้านกตัญญูรู้คุณเขาดีมาก เราต้องชม ถึงแม้ว่าจะตาย มีจิตใจสงเคราะห์เกื้อกูล แล้วคนอีกประเภทหนึ่งจะมีส่วนได้ก็คือคนขายผ้า (หัวเราะ)

    ยกทรง : โอ้โฮ แหม 100 % เลยจริงๆ

    หลวงพ่อ : ใช่ไหม

    ยกทรง : ครับๆ

    หลวงพ่อ : ถ้าเขาถามว่าถ้าตายแล้วจะนุ่งผ้าชุดนั้นไปจริงหรือไม่ ก็ต้องตอบว่าไม่ ผ้าชุดนั้นเอาไปฝังไม่ช้าก็เปื่อย เอาไปเผาก็หมด

    ถ้าตายแล้วไปเป็นเปรต อสูรกาย สัตว์นรก ก็ต้องแต่งตัวแบบชีเปลือย ถ้าไปเป็นเทวดาหรือพรหม เขาก็มีเครื่องทิพย์เป็นเครื่องประดับ มันก็ไม่ใช่ชุดนั้น

    ถ้าถามว่าควรทำให้หรือเปล่า บอกควร ถ้าเนื่องในความกตัญญู หรือสงเคราะห์

    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 15 หน้า 447)

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กรกฎาคม 2020
  2. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    [​IMG]
     
  3. โมกขทรัพย์

    โมกขทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    474
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,851
    โอ้โห..!! นี่เป็นการรวมคำสอนเกร็ดเล็กๆน้อยๆของหลวงพ่อไว้เยอะมากมายเลยนะครับนี่ เป็น ประโยชน์มากๆเลยครับ ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณพี่วรรณมากๆนะครับ ที่เมตตานำธรรมะดีๆแบบนี้มาให้ได้อ่านกัน รู้สึกปิติยินดีมากครับ เพราะเรื่องบางเรื่องก็หาอ่านจากที่ไหนไม่ได้เลย


    โมทนากับธรรมทานของพี่ด้วยครับ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  4. Thai Amulet

    Thai Amulet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    213
    ค่าพลัง:
    +203
    ขอร่วมอนุโมนาครับ
     
  5. สมิตา

    สมิตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    162
    ค่าพลัง:
    +189
    ขออโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ ค่ะ ยิ่งอ่านก็ยิ่งคิดถึงหลวงพ่อ ทั้งที่มีหนังสืออยู่ที่บ้าน 30 กว่าเล่มอ่านหมดทุกเล่มค่ะ
     
  6. Senseless guy

    Senseless guy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    287
    ค่าพลัง:
    +991
    กราบอนุโมทนาในธรรมทานค่ะ สาธุ สาธุ
    และขออนุญาตินำไปแบ่งปันนะคะ
     
  7. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    ห้อยพระ

    ยกทรง : ข้อสีลัพพตปรามาส หลวงพ่อแปลว่า ไม่ลูบคลำศีล แต่ไอ้สมาทานศีล ให้รักษาศีล เห็นได้ชัด ที่อื่นเขาแปลว่าไม่ให้ห้อยพระเครื่องรางของขลัง

    หลวงพ่อ : โอ้ย ก็คนละเรื่อง ก็คนละองค์นี่

    ยกทรง : อ้อ คนละองค์ ไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้นเลยหรือครับ

    หลวงพ่อ : ไม่เกี่ยว การห้อยพระไปตำหนิเขาไม่ได้ คุณจะลืมไหมล่ะ คุณยังห้อยพระอยู่ที่คอ ถ้าจิตคุณยังนึกว่านั่นเป็นพระอยู่น่ะ ถ้าคุณตายเวลานั้นจริงๆ สุดท้ายคุณไปสวรรค์ทันที คือว่ากำลังของคนไม่เท่ากันนะ ใช่ไหม

    ยกทรง : ครับ

    หลวงพ่อ : ไอ้การไม่ห้อย ไม่ห้อยอะไรนี่ จะถือนี่เหรอ ถ้าจิตเขามั่นคงจริงๆ อย่าลืมบารมีคือกำลังใจ นี่มันมี 3 ขั้น บารมีต้น อุปบารมี ปรมัตถบารมี เข้าใจไหม บารมีคือกำลังใจ ความเข้มข้นของกำลังใจไม่เสมอกัน เหมือนกับเด็กตัวเล็กๆนี่ ถ้าคุณนั่งอยู่บนบันไดขั้นสูง ตอนนี้ ขึ้นมาไอ้เด็กมันก็เดินเตาะแตะ มันขึ้นได้ไหม ไม่่ไหวใช่ไหม

    ยกทรง : ไม่ไหว

    หลวงพ่อ : ถ้าเด็กโตขึ้นมาหน่อย ยังเดินไม่แข็งนัก ยังต้องเกาะราว ใช่ไหม ถ้าเด็กที่แข็งแล้วก็เดินขึ้นไปได้ ยืนได้ นี่ก็เหมือนกัน บารมีนี่ก็เหมือนกัน คือ คนที่เขาห้อยพระอยู่เราควรภูมิใจว่าเขายังมีสรณคมน์เขาอยู่ ว่านี่คือพระ ใช่ไหม ก็ยังถือเป็นบุญได้ ถ้าเขาถือว่าในคอเขาเป็นพระ ถ้าจิตก่อนจะตาย จิตเขานึกถึงพระนี้เมื่อไร เขาจะไปสวรรค์ทันที นี่อย่างน้อย แล้วก็หากว่าเป็นปรมัตถบารมี ถ้าเป็นปรมัตถบารมีต้องห้อยพระหรือเปล่า ฉันไม่เห็นท่านห้อยเลย พระอรหันต์นี่เคยเห็นห้อย

    ยกทรง : พระอรหันต์นี่นะ

    หลวงพ่อ : ห้อย แต่ฉันว่าท่านเป็นอรหันต์ ท่านเป็นหรือเปล่าก็ไม่รู้ อย่างหลวงพ่อเนียม ท่านมีพระ หลวงพ่อโหน่ง ก็มีพระ ใช่ไหม มีอีกหลายหลวงพ่อที่เราเข้าใจ มีพระผู้ใหญ่สมัยนั้น พระชุดนี้มีจริยาคล้ายพระอรหันต์ หลวงพ่อปาน ท่านพูด ท่านจะไม่พูดตรงๆนะ แต่ว่าถ้าเราพิสูจน์กันตามแบบแล้ว ก็เป็นแท้ เป็นปฏิสัมภิทาญาณด้วย ท่านเป็นพระ เวลาจะทำน้ำมนต์ควักในกระเป๋าอังสะ ใส่ขันน้ำปั๊บ ถามอะไร พระพุทธเจ้าโว้ย ยกมือ ถามทำไม กูไหว้พระพุทธเจ้าในขันเมื่อกี้ (หัวเราะ) เห็นไหม

    ยกทรง : ครับ

    หลวงพ่อ : จิตก็ตั้งไว้จุดหนึ่ง คือรูปพระนี่จะเป็นนิมิตอันหนึ่ง เป็นการนึกถึงพระพุทธเจ้า เป็นเครื่องจูงใจ เลยคิดว่าการห้อยพระของเขาไม่ดี ความจริงก็ไม่น่าจะมี หรือคุณว่าอย่างไร

    ยกทรง : ครับ ความจริงธรรมดาก็ชอบห้อยไว้หลายๆ องค์ จะว่าเขานี่เสียงอ่อน แล้วครับ


    (จาก หนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 15 หน้า 403)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มีนาคม 2016
  8. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    ปรามาสไม่เจตนา

    ยกทรง : กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง กระผม.. ขอกราบเรียนเรื่องจริงปรากฏย่อๆดังต่อไปนี้ เมื่อกลางเดือนกุมภาปี 32 นี้ ขณะที่ผมกำลังนั่งสวดมนต์อยู่ ปรากฏว่าขาแข้งมันปวดเมื่อย ก็เลยเหยียดออกไปทาง พระพุทธรูป ปากก็สวดไป มือก็นวดไป (หัวเราะ) ขอบารมีพระพุทธเจ้าช่วยนวดไปด้วย

    หลวงพ่อ : ใช้ได้ เอ้า ขอบารมีไม่เป็นไร

    ยกทรง : ครับ นี่บารมี ผลปรากฏว่าพอเลิกสวดแล้ว ก็จะลงจากบันไดเหลืออีก 5 ขั้น ปรากฏว่ามีเท้าอันเบ้อเร่อเท่อ (หัวเราะ) ถีบโครม !

    หลวงพ่อ : (หัวเราะ) อ๋อ ! ช่วยนวดให้

    ยกทรง : จาก 5 ขั้นลงพื้นดังพลั๊ก ! แล้วเสียงนั้นยังบอกว่า กูนวดให้มึงเรียบร้อยแล้ว (หัวเราะ)

    หลวงพ่อ : (หัวเราะ) คนนี้เขาดี บารมีสูงนะ

    ยกทรง : สูงเหรอครับ หลวงพ่อ !

    หลวงพ่อ : สูงสิ ขนาดเทวดาเอาเท้ายันได้

    ยกทรง : อ้อ.....

    หลวงพ่อ : น้อยคนที่จะพึงได้อย่างนี้ หายาก

    ยกทรง : โอ...หายาก (หัวเราะ)

    หลวงพ่อ : ใช่ อาจารย์ยกทรงอายุเท่าไหร่ละ ?

    ยกทรง : ผม 49 ครับ

    หลวงพ่อ : แล้วเคยพบบ้างไหมล่ะ

    ยกทรง : ไม่เคย

    หลวงพ่อ : ไม่เคย ฉัน 70 กว่ายังไม่เคยเลย

    ยกทรง : (หัวเราะ) อ๋อ ! อย่างนี้ดีกว่านะ

    หลวงพ่อ : ดีกว่า (หัวเราะ)

    ยกทรง : ถ้าอย่างนั้นใครเจ็บไข้ได้ป่วยไม่สบายก็.......

    หลวงพ่อ : (หัวเราะ)

    ยกทรง : 5 ขั้นอย่างนี้ก็

    หลวงพ่อ : ระวังจะล่อ 9 ขั้นเข้าสิ (หัวเราะ)

    ยกทรง : (หัวเราะ) แล้วเขาบอกว่าอาการปวดเมื่อยน่ะหายไปแต่ว่า...(หัวเราะ) เขาบอกว่านิ้วโป้งซ้นหมด (หัวเราะ)

    หลวงพ่อ : (หัวเราะ)

    ยกทรง : ไอ้ขาหายแต่มันปวดตรงนี้

    หลวงพ่อ : (หัวเราะ) ใช่ๆ

    ยกทรง : มันหล่นลงมานิ้วทิ่มน่ะ (หัวเราะ)

    หลวงพ่อ : ใช่ๆ ท่านให้เพียงเท่านั้น

    ยกทรง : แก....แกก็เลยบอกว่า ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ไอ้เรื่องไหว้พระแล้วหันเท้าไปทางพระให้พระช่วยนวด ไม่เอาอีกแล้ว (หัวเราะ)

    หลวงพ่อ : (หัวเราะ) เอาล่ะ...

    ยกทรง : เอ๊ะ...เป็นไปได้เหรือหลวงพ่อ

    หลวงพ่อ : เป็นไปแล้ว

    ยกทรง : ไม่ใช่ หมายความว่า...ผิดนิดผิดหน่อยอย่างนี้ท่าน...

    หลวงพ่อ : นั่นเข้าใจว่าเทวดาองค์นั้นน่ะเป็นญาติกัน

    ยกทรง : อ๋อ....

    หลวงพ่อ : ถ้าพ่อตายแล้วก็คือพ่อ ถ้าพ่อยังอยู่คือปู่

    ยกทรง : อ๋อ...

    หลวงพ่อ : เขาเตือนๆ

    ยกทรง : ครับๆๆ

    หลวงพ่อ : ว่าไม่ควรทำอย่างนั้นเป็นการปรามาส

    ยกทรง : อ๋อ...

    หลวงพ่อ : ถึงไม่มีเจตนาปรามาส แต่กริยามันปรามาส


    (จากสนทนาหลังกรรมฐาน หนังสือธรรมปฏิบัติเล่ม 16 หน้า 247)





    3-10.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กรกฎาคม 2020
  9. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    อยากเป็นพระโสดาบัน

    ผู้ถาม : หลวงพ่อเจ้าขา ลูกยังแน่ใจว่าการปฏิบัติของลูกบรรลุพระโสดาบันหรือยัง เพราะว่าใจหนึ่งก็อยากซื้อล๊อตเตอรี่ อีกใจหนึ่งก็เป็นห่วงว่าจะไม่ได้เป็นพระโสดาบัน จึงอยากเรียนถามหลวงพ่อว่าพระโสดาบันเต็มขั้นเขาซื้อล๊อตเตอรี่ได้หรือเปล่า เจ้าคะ ?

    หลวงพ่อ : แต่ความจริงล๊อตเตอรี่เขาไม่ได้ห้ามนะ พระโสดาบัน ถ้าซื้อล๊อตเตอรี่จริงๆ มันไม่ขาดศีล เอาเบาะๆ นะ อย่าไปซื้อเป็นปึกๆ ถ้าเป็นปึกๆ มากเกินไปจะเป็นอบายมุขไป ถ้าเล็กน้อยก็เป็นกีฬาไม่แปลกอะไร ไปปรับโทษเขาไม่ได้ จะเป็นพระโสดาบันหรือไม่ได้เป็นสังเกตุตามนี้

    1. มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้ต้องตาย

    2. มีความเคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ด้วยความจริงใจ

    3. มีกรรมบท 10 ครบถ้วน

    4. จิตหวังนิพพาน

    ถ้าเป็นอย่างนี้ได้จริงๆ ก็เป็นพระโสดาบัน ถ้าเป็นบ้างไม่เป็นบ้างก็เป็นโสล๊อต...


    ผู้ถาม : กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง อยากจะบรรลุสำเร็จเป็นพระโสดาบัน แต่ทีนี้ที่ไม่ได้อยู่ก็คือว่าศีลข้อสุรานี่เอาไม่อยู่ อย่างอื่นดีหมด แต่เวลากินเหล้าแล้ว ผมทำสมาธิดี ใจบุญใจกุศล

    หลวงพ่อ : เอ...อย่างนี้เขาเรียกว่า โสดาบัน..โลหะกุมภี

    ผู้ถาม : อ๋อ..ลงล่างเลยแบบนี้

    หลวงพ่อ : ใช่ซิ

    ผู้ถาม : ไม่มีทางเลยซิครับ

    หลวงพ่อ : ละเสียก่อน

    ผู้ถาม : ถ้าตัดโสดาบันจริงๆ นี่ศีล 5 ต้องครบเลยหรือครับ ?

    หลวงพ่อ : ครบถ้วน ศีล 5 ครบถ้วนเป็นพระโสดาบันขั้นต่ำ สัตตักขัตตุง

    ผู้ถาม : ยังต่ำอีกหรือนี่

    หลวงพ่อ : ยังต่ำมาก แค่ สัตตักขัตตุง ต้องกรรมบท 10 เป็น โกลังโกละ หรือ เอกพิชี

    ผู้ถาม : ครับๆๆ อย่างนั้นก็ไปไล่ศีล 5 เสียให้ครบก่อน

    หลวงพ่อ : อย่าไปไล่ซิ ไปเอามา

    ผู้ถาม : อ๋อ...ต้องรักษา ไม่ใช่ไล่ ปกติก็จะไปอยู่แล้วซิ ไม่ต้องไล่ก็จะไปอยู่แล้ว


    (จากหลวงพ่อตอบปัญหา ธัมมวิโมกข์ ตุลาคม 2544)


    [​IMG]


    http://palungjit.org/threads/นานาเรื่องราวต่อองค์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน.310631/page-15
     
  10. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735




    หลวงพ่อเล่าเรื่องพระพุทธเจ้าเป็นคนไทย

    ยกทรง : เอ๊ะ ที่ในหนังสือ ไทยไม่มีวันสิ้นชาติ ที่บอกว่าสมเด็จพระสัมมสัมพุทธเจ้าเสด็จมาที่ทางเหนือ ที่พระธาตุจอมกิตติ ทรงพยากรณ์ว่าเมืองแห่งนี้จะเจริญรุ่งเรือง จะรับพระพุทธศาสนาได้ 5,000 ปี

    หลวงพ่อ : ใช่

    ยกทรง : อ่านหนังสือแล้วมีคนเขาถามว่า ใครไปฟังพระพุทธเจ้ามา

    หลวงพ่อ : ฉันฟังเอง

    ยกทรง : หลวงพ่อฟังหรือครับ

    หลวงพ่อ : ใช่ ไม่เชื่อไปถามพระพุทธเจ้าดู (หัวเราะ) ไม่เชื่อไปถามพระพุทธเจ้าดู ถ้าหาพระพุทธเจ้าไม่พบ ถามพระพุทธรูปก็ได้ ถ้าพระพุทธรูปไม่ปฏิเสธ แสดงว่าฉันพูดไม่ตรง ตำนานท่านเขียนไว้อย่างนั้น ในเวลานั้นเป็นป่า ยังไม่มีบ้านเมือง แล้วต่อมาต้องมีนามว่า โยนกนคร ใช่ ไหม แล้วต่อมามีเมืองชื่อ โยนกนครจริง สมัยก่อนเขารุ่งเรืองมากนะ ดูทองคำเขาเหลือใช้จนกระทั่งเอาไปทำพระพุทธรูปบ้าง ปิดเจดีย์บ้าง ตั้งแต่คอระฆังเจดีย์ขึ้น คอระฆังเจดีย์นี่เป็นทองคำ 80 เปอร์เซ็นต์ พอยอดละ 100 เปอร์เซ็นต์ เห็นไหม เขารุ่งเรืองไหม

    ยกทรง : เสียดายเกิดไม่ทันน่ะครับ

    หลวงพ่อ : เดี๊ยวนี้ก็ยังทันอยู่ อย่าง พระธาตุหริภุญชัย น่ะ

    ยกทรง : มีทองหรือครับ

    หลวงพ่อ : คอระฆังน่ะทองแท้ 80 เปอร์เซ็นต์ ยอดกลมๆ 100 เปอร์เซ็นต์ ว่างๆไปซี

    ยกทรง : พระยายมราช ท่านเขียนจดบัญชี

    หลวงพ่อ : พระยายมราช อย่ากลัวท่านเลย กลัวลูกปืนคนเฝ้าดีกว่า(หัวเราะ) ความจริงไม่ต้องใชปืนก็ได้ ไต่แบบนั้น ก้อนอิฐก็พอ ขว้างเฉียดๆ หล่นลงมาตายเอง

    ยกทรง : เอ๊ะ พระเกศาที่ทรงอธิษฐานไว้ ยังอยู่หรือกลับไปอินเดียแล้ว

    หลวงพ่อ : ยังอยู่ ว่างๆไปขุดซิ จะกลับไปทำไมอินเดีย อินเดียน่ะ เขาไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นในอินเดียใช่ไหม แล้วเวลานี้พระศาสนามั่นคงที่ไหน

    ยกทรง : ประเทศไทยครับ

    หลวงพ่อ : ใช่ เพราะฉะนั้น จึงทรงพยากรณ์ไว้ที่นี่ เพราะทรงรู้เป็นสัพพัญญูวิสัย รู้ว่าต่อไปจะอย่างไรใช่ไหม แล้วก็พระพุทธเจ้า ถ้าเราสันนิษฐานกันจริงๆ ก็ไม่ใช่ลูกแขก

    ยกทรง : หลวงพ่อพูดอย่างนี้ เดี๊ยวต้องไปเถียงกับหนังสือพุทธประวัติบ้าง ไอ้โน่น ไอ้นี่บ้าง

    หลวงพ่อ : เถียงกับหนังสือคุณก็แพ้ หนังสือนอนเฉยๆ คุณพูดไปๆ คุณก็แพ้ เพราะคุณเหนื่อย อันนั้นเราจะไปโทษท่านไม่ได้ ท่านก็เขียนมาตามสภาวะ เมื่อเกิดขึ้นในอินเดียก็นึกว่าต้องเป็นแขกเสมอไป อย่างประเทศไทย ที่คนอินเดียเข้ามามากๆ มีไทยเผ่าเดียวหรือมีเผ่าอื่นบ้างใช่ไหม แล้วประเทศแขกนี่ เขาโตกว่าเราเท่าไหร่ ของเราเท่ากับรัฐๆหนึ่งของเขาเท่านั้นแหละ อาจจะเล็กกว่าบางรัฐก็ได้ ใช่ไหม พื้นที่เขากว้างกว่าเราตั้งเท่าไหร่ มีตั้งหลายสิบเผ่า เผ่าที่มีความสำคัญที่คิดว่าจะเกี่ยวข้องกันได้คือ ชาวไทยอาหม กับ ชาวไทยมะลิวัลย์ รู้จักไทยมะลิวัลย์ไหม

    ยกทรง : ไม่รู้จักครับ

    หลวงพ่อ : ฉันนี่

    ยกทรง : เอ๊ะ อย่างไรครับ

    หลวงพ่อ : ไทยมะลิวัลย์ ไทยอาหมกับไทยมะลิวัลย์ มีเผ่าพันธุ์อยู่ในอินเดีย ปัจจุบันยังมีอยู่ แล้วเรื่องที่น่าพิสูจน์จริงๆ พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้วในโลก ชาวอินเดียไม่นิยมไม่ค่อยนับถือ ทั้งที่พระพุทธศาสนายืนยันความจริงมากกว่า แต่ชาวอินเดียชอบเชนมากกว่า ศาสนาเชนอเจลก เห็นไหม อเจลกเขามีอำนาจมาตั้งแต่ก่อนมีพระพุทธเจ้า สมัยพระพุทธเจ้าเขายังมีอำนาจอยู่ เวลานี้เขายังมีอิทธิพลอยู่

    ทีนี้เราต้องไปฟังเรื่องตำนานที่ท่านเขียนไว้ที่อื่น นอกจาก พระไตรปิฏก เรื่อง ท่านโกมารภัจ เป็นหมอประจำพระองค์ ความจริงหนังสือนั่นเขียนยาวไปนิด ว่าลาพระพุทธเจ้ามาทวาราวดี 12 ปี ความจริงไมใช่ ต้อง 2 ปี ถ้าถึง 12 ปีมันก็มากเกินไปแล้ว นานๆเข้า ออกกิ่ง ออกก้านนะ ลามาประมาณ 2 ปี หรืออาจจะไม่ถึง 2 ปี ก็ได้ เพราะท่านห่วงมาก ใช่ไหม

    กลับไปก็ไปคุยกับพระพุทธเจ้าว่า ชาวทวาราวดีใช้ภาษาโดด ออกเสียงเป็นคำๆ อย่างแทนที่กินของเราก็ "กิน" เขา "ภุญชติ" ใช่ไหม อย่างไปของเรา "ไป" ของเขา "คันตวา" ต่างกัน ทางทวาราวดีเขาใช้ภาษาโดดแล้วพูดไพเราะมาก

    พระพุทธเจ้าทรงถามว่าทางทวาราวดีเขาพูดอย่างไร ลองพูดให้ฟังซิ ท่านก็พูดภาษาทวาราวดี พระพุทธเจ้าก็คุยด้วยภาษาทวาราวดี คุยไปคุยมาพักใหญ่ สนุกสนาน ท่านโกมารภัจ นึกขึ้นได้ เอ๊ะ พระพุทธเจ้ารู้ภาษาทวาราวดีได้อย่างไร หรือรู้ด้วยปฏิสัมภิทาญาณ เพราะปฏิสัมภิทาญาณ รู้ทุกภาษาใช่ไหม ก็เลยถามพระพุทธเจ้าว่าพระองค์ทรงรู้ภาษาทวาราวดีเพราะอะไร พระพุทธเจ้าบอกว่าชาวกรุงกบิลพัสดุ์ทั้งหมดใช้ภาษานี้เป็นภาษาพื้นเมือง

    ยกทรง : โอ้

    หลวงพ่อ : ทำตาโต

    ยกทรง : ไม่เคยนึกเคยฝัน

    หลวงพ่อ : จะไปนึกได้อย่างไร ถ้าไปนึกก็ไม่ได้ฝัน ถ้าไปฝันก็ลืมนึก นี้เป็นอันว่าพระพุทธเจ้าต้องเป็นลูกชาวไทยอาหม ทีนี้เราไปดูในพุทธประวัติชาวกรุงกบิลพัสดุ์ นี่ถือศักดิ์ศรีมาก ไม่ยอมแต่งงานกับคนเผ่าอื่น ใช่ไหม

    ยกทรง : ครับ

    หลวงพ่อ : แล้วนี่บังน่ะจะเจี๊ยะไม่ไหวนะ ไอ้ไทยน่ะผสมยากจริงๆ

    ยกทรง : กลิ่นตัวแรง

    หลวงพ่อ : แกแข็งแรงทั้งร่างกายและกลิ่นด้วย (หัวเราะ)

    ยกทรง : เดินเข้าใกล้อุดจมูกเลย

    หลวงพ่อ : สันนิษฐานดูว่าจะเป็นอย่างนั้นได้ ใช่ไหม เป็นอันว่าประวัติที่เขียนมาใกล้ความจริงมาก คือหนึ่งเราอ่านหนังสือมา เรารู้สึกรังเกียจชาวกรุงกบิลพัสดุ์ว่าทำไมถือตัวมากเกินไป ไม่ยอมแต่งงานกับคนเผ่าอื่นก็เกินพอดี คิดว่าถ้าเป็นลูกชาวไทยอาหมต้องเป็นไปได้แน่เพราะว่าความเจริญต่างกัน วัฒนธรรมต่างกัน กลิ่นก็ต่างกัน อันนี้เป็นเรื่องจริงๆนะ เป็นไปได้เลย

    มาดูคนไทยกับแขก คนไทยเรานี่นับถือพระพุทธศาสนามากกว่าเยอะ พลเมืองแขกนี่ต้องคิดว่าแขกที่มาไหว้พระพุทธศาสนาที่พุทธคยาน่ะ เป็นแขกพุทธหรือแขกฮินดู ฮินดูเขาเขียนตำราขึ้นมาว่า พระพุทธเจ้าเราเป็นองค์หนึ่งของพระนารายณ์

    ยกทรง : โอ้โฮ

    หลวงพ่อ : อวตารลงมา หรืออวส้มลงมาก็ไม่รู้ ถ้าอวตาลมาก็หวานหน่อย อวส้มลงมา ก็เปรี้ยวหน่อย

    ยกทรง : คัมภีร์นี่เข้าท่า ตอนไปอินเดีย ไปที่มหาวิทยาลัยนาลันทา มีคนชาวเนปาลเขามาเรียน ไปถามเขาเขาพูดภาษาไทยได้ ผมยังแปลกใจว่าเขารู้ได้อย่างไร

    หลวงพ่อ : อ๋อ เนปาลเหรอ เนปาลนี่ไม่สงสัยแล้ว ตอนไปอินเดีย ท่านฑูตบอกว่าน่าจะไปเนปาล ร้อนจัดๆ ฉันก็ขี้เกียจใช่ไหม ขอดูแผนที่เนปาลซิ เขาชี้ให้ดู บอกไอ้นี่เมืองไทยเก่าใช่ไหม คนที่นั่งอยู่บอกว่าใช่ เนปาลน่ะไทยเก่า

    ยกทรง : มิน่าเล่า พูดภาษาไทยว่าเป็นต่อยหอยเลย

    หลวงพ่อ : ดีนะไม่ไปนินทาเขา แหมไอ้พวกนี้มันสกปรกจริงๆ เขาหันมาตบเลย บอกไอ้บ้า อายเลย


    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 15 หน้า 470)


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มีนาคม 2020
  11. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    พระขอเกินพอดี

    ผู้ถาม : เมื่อหลายสิบปีมาแล้ว ลูกและสามีได้ไปรู้จักวัดแห่งหนึ่ง ได้ไปทำบุญบ่อย ถวายปัจจัยและกระเบี้องมากพอสมควร เมื่อก่อนก็ไม่ได้คิดอะไร ก็ไปที่วัดร่มเย็นสงบดี แต่ระยะหลังหลวงพ่อที่นั่น มักจะให้สามีของลูกซื้อกระเบื้องปูโบสถ์ว่าต้องการเท่าไร ใจของลูกก็อยากทำบุญ แต่ต้องการทำด้วยความเต็มใจ บางอย่างที่อยากทำมากกว่าที่จะมาบอกให้ออกค่ากระเบื้องจำนวนเท่านั้นเท่านี้ ให้ออกให้ด้วย ซื้อของมาแล้วและให้ไปจ่ายเงินด้วย และบางครั้งเจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาล ก็โทรมาบอกให้ลูกไปเสียเงินให้ทุกครั้ง

    บางทีก็ขอให้เอาเงินตามจำนวนที่บอกให้เอาเข้าบัญชีธนาคารให้ด้วย ตามที่ท่านโทรบอกมาล้วนแล้วแต่ไม่ใช่เรื่องของวัดเลย ท่านจะโทรให้ช่วยทุกครั้งไป ที่ท่านมาบอกสามีของลูก เวลาลูกและสามีได้ถวายปัจจัยทุกครั้งไป จะได้บุญหรือบาปคะ ลับหลังท่านแล้วใจไม่อยากทำเลย แต่เวลาท่านมาบอกใจอ่อนทุกครั้ง หรือว่าพระองค์นี้ท่านมีคาถาเป่าให้เราใจอ่อนเจ้าคะ ?

    หลวงพ่อ : (หัวเราะ) เอาแล้วๆ ว่าไม่ได้ ฉันต้องไปเรียนกับท่านบ้างแล้ว กำลังจะหาครูอยู่เชียว ความจริงก็..เอ๊ะ ! ชักสงสัยเหมือนกันนะ ถ้าพระขอเกินพอดีนี่ ไม่ใช่ลีลาของพระ ฉันก็สงสัยนะ

    เพราะพระจริงๆ พระพุทธเจ้าท่านห้ามขอ การขอต้องขอด้วยอาการดุษณีภาพ ถ้าพูดไปเขาเกิดศรัทธาเอง เขาให้เท่าไรพอใจเท่านั้น ใช่ไหม

    ก็เป็นอันว่า พระพุทธเจ้าบอกว่า พระต้องทำตัวอย่างพระโมคคัลลาน์ พระ โมคคัลลาน์ทำตัวอย่างแมลงภู่ แมลงภู่ต้องการน้ำหวานจากเกสร ไม่ทำเกสรให้ชอกช้ำฉันใด พระโมคคัลลาน์จะไปที่ไหนก็ตาม คนเขาให้ ให้ด้วยศรัทธาแท้ท่านไม่ขอ ถ้าการออกปากขอฉันว่าไม่ใช่จริยาของพระ อันนี้ไม่ควรอย่างยิ่ง

    ลีลาพระไม่ควรจะออกปากขอ มันเป็นการทำลายศรัทธา พระที่ออกปากขอถ้ามีในสำนักของฉัน ไม่ช้าฉันอัปเปหิหมด มันไม่ได้ ต้องให้เขาเกิดศรัทธาเอง ถ้าเขามีศรัทธาเองเขาให้ เป็นเรื่องของเขาใช่ไหม เขาอยากจะทราบราคาอันนี้ เราบอกเขาได้ ไมใช่ไปเน้นว่าต้องเอาอย่างนั้นอย่างนี้ ใช่ไหม

    (จากหลวงพ่อตอบปัญหา ธัมมวิโมกข์ กรกฏาคม 2541)


    33333-1.jpg


    http://palungjit.org/threads/นานาเรื่องราวต่อองค์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน.310631/page-15
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มิถุนายน 2019
  12. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    อานิสงส์การบริจาคโลงศพ

    ผู้ถาม : การบริจาคโลงศพ ให้คนตายที่ไม่มีญาตินั้นมีบุญมาก อันนี้จริงไหมครับ ?

    หลวงพ่อ : ตามธรรมดาเราถ้าป่วยญาติต้องรักษาสิ้นเงินสิ้นทองมากอยู่แล้ว ถ้าฐานะไม่ดี ถ้าตายไปแล้วแกเดือดร้อนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งโลงศพนี่หนักมาก ถ้าคนจนๆ สักหน่อยนะ ก้ต้องไปซื้อไม้ยางมาแล้วมาต่อเอง ทีนี้สำคัญคนต่อโลง ถ้าไม่มีเหล้ากิน เขาต่อโลงไม่ได้ ถ้ากินเมาเกินไป ต่อโลงไม่ได้อีก นี่เป็นเรื่องจริงๆนะ เมาเกินไปก็งอแงๆ ทำท่าจะต่อไม่เสร็จ

    ทีนี้คนเขามีทุกข์จากการรักษาพยาบาลเพราะเงินมันหมดแล้ว ใช่ไหม ต่อมาถ้าเกิดตายก็ต้องใช้เงินใหม่ อาจจะต้องขอยืมเขา เป็นหนี้เป็นสินเขา ถ้าเราให้อย่างนี้สร้างความสุขให้แก่เขามาก มันเป็นปัจจัยของความสุข

    แต่ว่าเคยพบมาหลายรายแล้วนะ ถ้าเขาอุทิศโลงศพแล้วรวยทุกราย นี่เรื่องจริงๆ นี่พบมาจริงเลยนะ

    อันดับแรกเขาต่อโลงที่บ้าน 4-5 ลูก ต่อๆมาก็เพิ่มหลายลูกขึ้น แล้วก็มีคนร่วมหุ้นส่วน และฐานะเขาก็ดีขึ้นเรื่อยๆ นี่เคยเห็นมานะ คือเอาผลปัจจุบัน เวลานั้นเขามีความทุกข์ยาก ญาติเขาตาย เจ้าภาพหนักใจมาก ไม่มีเงินก็ต้องกู้เขา สถานที่กู้ก็ยังไม่แน่จะไปกู้ได้ที่ไหน หนักใจไม่น้อยเลย


    (จากคอลัมภ์ "
    หลวงพ่อตอบปัญหา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 203 เดือนกุมภาพันธ์ 2541 หน้า 93-94)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กรกฎาคม 2020
  13. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    ได้ไปอ่านเจอหลวงพ่อตอบปัญหาในธรรมวิโมกข์ ฉบับรวมเล่ม ปีที่ 2 2528 ฉบับที่ 9-18 เรื่องต่างๆ ขอคัดนำมาให้เพื่อนๆอ่านกันดังนี้ครับ


    ห้อยพระหรือไม่ห้อยพระดี


    ผู้ถาม : หลวงพ่อคะ อย่างพระพุทธรูปเป็นเหรียญเล็กๆ เราเก็บรักษาไว้ที่บ้านเราไม่ห้อยคอ แต่เรานับถือในใจอย่างนี้มีผลเท่ากันไหมคะ ?

    หลวงพ่อ : ก็ใช้ได้ แต่ไม่แน่นักว่าใจเราจะมั่นคงไปตามนั้นหรือไม่ ถ้าจิตเรามั่นคงละก็ใช้ได้เลย

    ผู้ถาม : ไม่จำเป็นต้องมาห้อยคอใช่ไหมคะ ?

    หลวงพ่อ : บางคนก็จำเป็น บางคนก็ไม่จำเป็น ถ้าใจเรามั่นคงจริงๆ เราไม่ต้องห้อยก็ได้ ไอ้ที่ห้อยก็เพื่อความมั่นใจ เห็นพระก็สบายใจ เพื่อเป็นกำลังใจก็ได้ เพื่อเป็นกำลังกายก็ได้

    ผู้ถาม : เป็นกำลังกายได้หรือคะ ?

    หลวงพ่อ : ก็ได้เหมือนกันนะ เพราะอะไรรู้ไหม.. ถ้าพบข้าศึกยิงมาไม่ออก ก็วิ่งกวดได้เลย ถ้ายิงมาทะลุ กำลังกายก็หมดแล้ว ก็ได้ทั้งกำลังใจ กำลังกาย

    ผู้ถาม : ก็หมายความว่าคุ้มครองได้เท่าๆกันใช่ไหมคะ


    หลวงพ่อ : ได้...คือว่าจิตเรายังเคารพอยู่ก็คุ้มครองได้เท่ากัน ถ้าเอาไว้ที่บ้านแต่จิตเรานึกถึงก็มีผลเหมือนกัน ถ้าเราห้อยไว้ที่คอแต่จิตเราไม่นึกถึงก็เหมือนกับเราไม่มีเลย
    ความจริงพระถ้าจะเอามาห้อยกันนี่ ฉันว่าใช้หน้าตักประมาณ 50 นิ้วก็ดีนะ ห้อยข้างหน้าข้างหลัง สะพายสัก 4 องค์ ปืนใหญ่ยิงมาก็ยังไม่แน่ว่าจะตาย ถูกไหม... เดินไปเฉยๆ ข้าศึกเห็นก็หนีหมด มันนึกว่าผี


    พระจะเสื่อมไหม

    ผู้ถาม : (หัวเราะ) พระที่ห้อยคอจะมีวันเสื่อมไหมคะ..?

    หลวงพ่อ : ถ้าพระกร่อนก็เสื่อม

    ผู้ถาม : (หัวเราะ) ไมใช่คะ หนูหมายถึงว่าจะไม่คงความศักดิ์สิทธิ์ไว้นะคะ

    หลวงพ่อ : อ๋อ... ไม่มีหรอก ไม่มีเสื่อม

    ผู้ถาม : แล้วเวลานอนมีคนอื่นมาข้าม พระจะหนีไหมคะ ?

    หลวงพ่อ : จะหนีอะไร.. ก็อยู่ที่คอ

    ผู้ถาม : (หัวเราะ)

    หลวงพ่อ : ไม่เป็นไรหนู ถึงแม้ว่าเราจำเป็นต้องรอดส้วมก็ไม่เป็นไร มันอยู่ที่ใจนะ


    เช่าพระที่ขโมยมา บาปไหม


    ผู้ถาม : หลวงพ่อครับ พระเครื่องที่เขาไปขโมยมา แล้วเราเอามาห้อยคอ อย่างนี้จะบาปไหมครับ ?

    หลวงพ่อ : เดี๊ยวก่อน พูดเรื่อง พระเครื่อง ก่อน พระที่คุณห้อยนะ ไม่มีเครื่องหรอก พระเครื่องต้องอย่างฉันนี่ เดินได้ วิ่งได้ใช่ไหม..อย่างนั้นเขาไม่เรียกพระเครื่อง เขาเรียก พระห้อย

    ผู้ถาม : (ยิ้ม)

    หลวงพ่อ : เขาขโมยมาจากใครละ ?

    ผู้ถาม : ก็ไม่ทราบแน่ครับ อาจจะขโมย เจาะกรุมาก็ได้ครับ

    หลวงพ่อ : เสร็จ ไอ้นี่พังแน่

    ผู้ถาม : อย่างนี้จะบาปไหมครับ ?

    หลวงพ่อ : รับของโจรมันก็บาปซิ

    ผู้ถาม : แต่ถ้าเราไม่ทราบนี่คงไม่เป็นไรนะครับ

    หลวงพ่อ : เราทราบก็บาป เราไม่ทราบก็บาป ไอ้บาปนี่เขาแปลว่า ชั่ว คนไปขโมยมาจากรุ กรุมันเป็นของสงฆ์ ลักษณะของอาการขโมยมันเป็นของชั่ว ถ้าเราเอาของชั่วมาอยู่กับเรา เราก็ชั่วด้วย อย่างในมงคลสูตรข้อหนึ่งท่านบอกว่า อเสวนา จะ พาลานัง อย่าคบคนพาล ถึงแม้ตัวเราจะไม่พาล ถ้าเราเดินกับคนพาล เขาก็คิดว่าพาลไปด้วย และท่านก็มีข้อเปรียบเทียบ ท่านบอกว่า " ใบตองนี่ ไอ้ความเน่าของเนื้อสัตว์มันจะไม่ซึมลง แต่ว่าถ้าเราเอาใบตองห่อของเน่า แล้วเอาของทิ้งไป แต่กลิ่นเน่าเหม็น มันยังติดใบตองอยู่ " ทีนี้การรับของโจร ถึงแม้ว่าเราจะไม่รู้ ก็ต้องถือว่าเราร่วมมือด้วยโดยไม่เจตนา ก้ต้องเอาเหมือนกัน

    ผู้ถาม : ของหนูก็มีพระที่ขโมยมาเหมือนกันคะ เป็นพระบูชา แต่ว่าอยากเอาไว้ที่บ้านไว้บูชา ถ้าเราชำระหนี้สงฆ์จะได้ไหมคะ ?

    หลวงพ่อ : ทีนี้วิธีชำระหนี้สงฆ์ เขาให้มีค่าเสมอของเดิมนะ เสมอ ของเดิม หมายความว่า ไม่ใช่พระรุ่นแบบนี้เหมือนอย่างเขาเล่นกัน เขาไม่ใช้นะ ไปดูว่าที่ร้านเจ๊กหน้าตักขนาดนี้เขาขายเท่าไหร่ แล้วเอาเงินไปชำระหนี้สงฆ์ตามราคาเท่านั้น ถ้ามากกว่าไม่เป็นไรนะ เท่านั้นก็ใช้ได้ เอาไปวัดใดวัดหนึ่งขอชำระหนี้สงฆ์ ขอมอบเงินจำนวนนี้และขอเอาพระไปบูชา ก็เท่านี้แหละ เป็นอันว่าไม่มีอะไรผิด



    เผากระดาษเงินกระดาษทอง


    ผู้ถาม : ผู้ที่ตายไปแล้ว ตามประเพณีจีนเขาเผากระดาษเงินกระดาษทองกันมากๆ อย่างนี้ผู้ตายได้รับไหมคะ ?

    หลวงพ่อ : ได้รับคุณ

    ผู้ถาม : แล้วก็กงเต็กนี่ได้ไหมคะ ?

    หลวงพ่อ : ได้ แต่แกคงไม่ได้ใช้ เรื่องเผาตามประเพณีจีน มันมีเรื่องอยู่เรื่องหนึ่ง มีหมอที่จังหวัดพิจิตร หมอผู้หญิงนะ แกเคยไปเจริญพระกรรมฐานที่วัดแกเป็นคนจีนหรือเป็นคนไทยก็ไม่ทราบนะ แต่พ่อแกเป็นเตี่ย

    ผู้ถาม : (หัวเราะ)

    หลวงพ่อ : เวลาแกทำบุญให้เตี่ยก็มีกงเต็ก มีอะไรต่ออะไรเยอะ มีตึกราม มีรถยนต์ ส่งกันเป็นตับ แหม..ผีนี่รวยมาก

    ปรากฏว่า วันหนึ่งแกนั่งเจริญกรรมฐานอยู่เตี่ยก็มาบอกแกว่า อีหนู ตึกหรือรถยนต์ที่มึงเผาไป กูไม่ได้รับหรอก เอาขี้เถ้าไปกูไม่รู้จะใช้ยังไง แกก็ถามว่า จะให้ทำยังไงละ เตี่ยก็บอกว่า ถวายสังฆทานให้กูก็แล้วกัน แกถามว่าจะเอาอะไรบ้าง เตี่ยบอกว่าเอาพระพุทธรูปสักองค์ ผ้าไตร แล้วก็อาหาร แกถามเตี่ยว่าจะได้หรือ เตี่ยบอกว่าได้ แกก็วิ่งมาที่วัด แกขอถวายสังฆทาน แกไม่ได้เตรียมของมาหรอก ก็บอกแกว่า " ถวายสังฆทานที่ไหนก็ได้ ที่ไหนก็มีอานิสงส์ " แกก็ไม่ยอม แกก็แบกพระมาที่วัด บอก ปัดโธ่ หมอเอ๋ย ที่ไหนก็ได้บุญทั้งนั้น เพราะว่าสังฆทานนี่ ไม่ได้ถวายเป็นส่วนบุคคล สังฆทานนี่ ถ้าพระใช้ผิดประเภทพระลงอเวจี คือว่าเขาไม่ได้ให้เป็นส่วนบุคคล จะเอาไปใช้ผู้เดียวไม่ได้ ต้องเอาไปเข้าหมู่สงฆ์เอาไปเข้าเป็นส่วนกลาง

    เสร็จแล้วแกก็ถวายสังฆทาน ถามว่าเตี่ยจะสบายไหม เลยบอกว่า สบายหรือไม่สบายก็ไปบ้านก็แล้วกัน คืนนี้ก็มา แต่ว่าพอไปถึง อย่าไปนึกถึงเตี่ยนะ เวลาทำสมาธิให้ทำใจปรกติ อย่าไปนึกถึงเตี่ย ถ้านึกถึงเตี่ยมันเป็นนิวรณ์ มันจะไม่เห็น แกก็พยายามทำใจแบบนั้น พอใจสบาย จิตปลดจากอารมณ์นึกถึงเตี่ย จิตก็เป็นสุข เตี่ยก็มา แต่งตัวเช้งเลย บอกว่า " ยังงี๊ซิเตี่ยถึงจะได้รับ ไอ้ขี้เถ้าเตี่ยไม่รู้จะไปใช้อะไร "


    [​IMG]



    http://palungjit.org/threads/นานาเรื่องราวต่อองค์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน.310631/page-63
     
  14. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    หลวงพ่อได้อภิญญา

    อภิญญานี่ทำได้ไม่ใช่ท่านพูดแล้วทำไม่ได้นะ ของท่านทำได้จริง พูดแล้วไม่ใช่ว่าให้ลูกศิษย์ลูกหาบอกว่าท่านนี่เก่งนะ อย่าให้อาจารย์ทำนะอย่างสมัยโบราณใช่ไหม อย่างพราหมณ์หรือไง พวกเดียรถีย์นะกูจะเหาะมึงอย่าให้กูเหาะเชียวนะ มึงรั้งไว้นะ อย่านะอาจารย์อย่า แต่ของท่านทำได้ ท่านลองของ ลองแล้วก็ไม่ได้ใช้ หลวงพ่อส่วนมากจะใช้เจโตฯ ใช้มากเจโตฯ

    ท่านบอกก็ไม่ได้ใช้อะไร บอกพระมาบอกใช่ไหม พระมาบอกวันนี้มีใครมาบ้าง คนมีมาระดับไหน มาแล้วจะได้มรรคได้ผลไหม ต้องพูดอย่างไรถึงจะรู้เรื่อง สังเกตที่เราลากท่านมา (ลากรถเข็นที่หลวงพ่อท่านนั่ง) ท่านจะมองหาคนแล้ว เอ้อไอ้คนที่ท่านรู้มามันมารึยัง ท่านจะบอกการแต่งตัวมาเลย คนกำลังใจขนาดไหน คนนี้พูดยังไงถึงจะรู้เรื่อง ทักยังไงถึงจะรู้อะไรอย่างนี้

    “ก็แสดงว่าที่หลวงพ่อพูดแล้วมันถูกจุดคนโน้นถูกใจคนนี้ ก็แสดงว่ารู้ล่วงหน้ามาแล้วใช่ไหมครับ”

    ส่วนมากพระท่านคุมทั้งวันทั้งคืน ไอ้เราพระท่านไม่ยอมให้คุมด้วย (หัวเราะ)

    ไอ้คนที่ประตูน้ำมันกินเหล้าเมาจัด มันนั่งอยู่ข้างนอก แล้วหลวงพ่อก็เทศน์ออกทีวี เสียงมันก็ออกมาข้างนอกนะ ท่านพูดฉลาด ท่านไม่ได้ว่าคนโน้นคนนี้ บอกบางคนบางทีกินเหล้าเมาเสียจนเป๋ไปเป๋มาแล้วก็บอกค้าขายไม่ดี มันจะดีได้อย่างไรก็ไปมัวเมาซะ แค่นั้นแหละไอ้คนนั้นกลับบ้าน พอกลับบ้านไปถึงปุ๊บมันอธิษฐานเลยนะ ไอ้ดอกไม้พวงมาลัยที่วางอยู่นะ ถ้าหากหลวงพ่อแน่จริงนะ พรุ่งนี้ให้ขายให้ได้ภายในเวลาเท่านั้นๆๆ แล้วมันจะมาทำบุญก็ปรากฏว่าขายได้จริงๆน่ะ

    พอเข้ามาจะทำบุญปุ๊บ ท่านเทศน์ต่อไปเลยว่าไอ้บางคนน่ะ พอขายไม่ดีมันก็ท้ากับพระ บอกว่าถ้าพระแน่จริงต้องช่วยให้ขายไอ้โน้นไอ้นี่ แล้วมันจะมาทำบุญ บางทีวันนี้ก็มีมาเหมือนกันนะ ไอ้นั่นตั้งแต่วันนั้นนับถือชั่วชีวิตเลย แล้วมันขายของดีด้วย เลิกกินเหล้าไปเลย

    เอ้า จริงๆ ลูกหลวงพ่อมักเป็นโจรกลับใจเสียเยอะ พวกเขี้ยวลากดินมาทั้งนั้น (หัวเราะ) เมื่อสมัย 10 ปีก่อนโน้นน่ะ นี่เขาเล่ามาเราไม่รู้ หลวงพ่อยังนั่งสอนอยู่ตรงนี้ใช่ไหม ไอ้คนนั้นน่ะมันเตรียมปืนผาหน้าไม้แล้ว คือจะไปฆ่าเขานะ แล้วเพื่อนอีกคนบอก เฮ้ย..ก่อนจะไปฆ่าเขานะ ไปที่ซอยสายลมหลวงพ่อฤๅษีท่านดังนะ เหรียญท่านเหนียว เผื่อเขาจะยิงเรามันจะได้ยิงเราไม่ออก

    ก็มาซอยสายลมพอนั่งปุ๊บ หลวงพ่อฉลาดอยู่แล้วนี่ เวลาท่านเทศน์ท่านเทศน์รวมไปเลย แต่ว่าเทศน์เรื่องนั้นน่ะไปจี้ไอ้คนนั้นคนเดียว บางคนอาฆาตพยาบาท เตรียมปืนผาหน้าไม้จะไปฆ่าเขา แล้วเขาลืมนึกไปว่าคนที่เป็นญาติของเขาจะต้องล้างแค้นล้างกันไปล้างกันมา เทศน์ไปเทศน์มาปุ๊บ ก็สะกิดเพื่อนบอก เฮ้ย..สงสัยไม่ต้องไปก็ได้ว่ะ (หัวเราะ) เหรียญเหริญกูไม่เอาแล้ว แล้วก็เลยไม่ต้องฆ่าเขา ทุกวันนี้ก็อยู่รอดปลอดภัยสบายดี

    (จากธัมมวิโมกข์ ตุลาคม 2537 หน้า 87-88)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มิถุนายน 2019
  15. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    11951515_466782916832499_6366543007523179220_o.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มิถุนายน 2019
  16. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735

    พระคุณของหลวงพ่อ

    เรื่องของหลวงพ่อนี่พูดถึงพระคุณของท่านทีไรเราทนไม่ไหว น้ำตามันไหลเอง เพราะว่าเราเป็นหนี้บุญคุณท่านมาก ไม่รู้ว่าจะเอาอะไรทดแทน แค่ดูแลให้ดีที่สุดตามภูมิปัญญาที่เราจะทำได้ ถือว่านิดหน่อยเท่านั้นเอง

    ได้คุยกับคนอยู่คน เมื่อตอนจะมานี่บอกว่า “เวลาเห็นธรรม จิตเป็นสมาธิแล้วนี่ เขาจะเห็นคุณที่หลวงพ่อสอนตรงทุกอย่าง เวลาขึ้นไปบนดาวดึงส์ที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ กราบพ่อแม่ทุกๆชาติ แกก็จะรู้คุณว่าพ่อแม่เราทุกชาติสอนให้เราเป็นคนดี ให้เรามีทาน ที่เรามีของกินทุกวันนี้เพราะพ่อแม่สอนไว้ ให้ทำบุญกับพระ ทำให้เรามีกินอยู่ทุกวันนี้”

    โอ้โฮ....จิตต้องมีสมาธิยิ่งจริงๆจึงจะเห็นตรงนี้ ได้ยินแล้วก็ชื่นใจที่เขาบอกว่า พุทโธอัปปมาโณ ธัมโมอัปปนาโม สังโฆอัปปมาโน คุณของพระพุทธเจ้า คุณของพระธรรม คุณของพระอริยสงฆ์ประมาณมิได้ ถ้าเราพูดอย่างนี้คนที่ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา ก็เอ๊..ไม่น่าจะถึงขนาดนั้น

    แต่เมื่อมีสมาธิมีปัญญาแล้วนี่มันทำอะไรทดแทนไม่ได้จริงๆ คนที่ฝึกมโนมยิทธิแล้วร้องไห้บอก “ไม่มีอีกแล้วๆ” นี่จิตมันรวมหมดเลยนะ สมาธิ ปัญญา ปิติ มันเกิดรวมกันทีเดียว ทนไม่ไหวหรอก พอถึงตอนนี้มันรวมกันหมด โอ...ทำไมหลวงพ่อจึงเมตตาอย่างนี้ ทำไมพระพุทธเจ้าจึงเมตตาอย่างนี้ มันรวมกันทีเดียวกันเลย

    อาจารย์ยกทรง : พูดถึงพระคุณ แหม..หลวงพ่อกว่าจะลงรากปักโคนมาได้

    ตามภาษาก็บอกว่าค่อยๆสอนนิดก็เอาหน่อยก็เอา ไม่ใช่ปุ๊บปั๊บจะสอนเรื่องนิพพานเลย อันไหนที่เป็นบุญท่านสะสมทุกอย่างให้กำลังใจในการทำความดีทุกอย่าง ถ้าเราเชื่อหลวงพ่อ 100 เปอร์เซ็นต์ก็ไม่มีอะไรมีปัญหา เพราะว่าเราเหมือนเกิดทันพระพุทธเจ้า หลวงพ่อเทศน์แต่ละครั้งท่านมักจะบอกวันนี้องค์ปฐมมานะ มาเทศน์อย่างนี้ๆ วันนี้องค์ปัจจุบันมา วันนี้พระพุทธกัสสปมา

    ท่านมีประวัติหลักฐานทุกอย่างเหมือนเราได้ฟังคำสอนจากพระพุทธเจ้าโดยตรง เราโชคดีที่สุด หมายความว่า ไม่เสียชาติเกิดแล้ว เจอพระรู้จักพระ เจอพระอรหันต์ก็รู้จักพระอรหันต์ ฟังธรรมทุกอย่างด้วยความพอใจ ด้วยศรัทธา ด้วยปัญญา ไม่มีเบื่อ ทำงานกับท่านไม่มีเบื่อเลย


    หลวงพ่อผู้มีทิพจักขุญาณแจ่มใส

    อาจารย์ยกทรง : ขนาดคนขอยืมเงินทำบุญ อยู่ห้องโน้นที่หน้าห้องส้วม ทำบุญจนหมดตัวแล้วหลวงพ่อพูดอะไรไม่รู้ เอาไม่อยู่ขอยืมเงินเพื่อน ให้กูร้อยหนึ่งน่าเดี๋ยวกูมาใช้มึง เวลาถวายปุ๊บ หลวงพ่อก็แซวเลย “ให้กูร้อยเถอะจะรีบใช้มึง” แล้วแกก็กลับไปนินทาหลวงพ่อ อะไรวะกำแพงขวางยังมองเห็นอีก โอ้โฮ...ทำไมถึงตายาวขนาดนั้น แล้วอีกคนหนึ่งก็เร่งรีบเช่าสามล้อเข้าปากทางถนนใหญ่ ความจริงวันนั้นหมดเวลาแล้ว

    เราก็บอกหลวงพ่อนิมนต์เถอะครับ หลวงพ่อบอกเดี๋ยวรออีกคนหนึ่ง ไอ้เราก็ไม่กล้าขัดใจก็คุยโน่นคุยนี่ถ่วงไปประมาณสัก 20 ทีก็มาถวายเยอะ เจ้าคนนั้นศรัทธาแรงเต็มที่ 20 บาท เราก็เลยกระซิบถามหลวงพ่อ 20 บาทก็ยังคอยเหรอ หลวงพ่อบอกเขามาไกลเขาลำบาก เราอยู่ใกล้ลุกเมื่อไหร่ก็ไปได้

    ตรงนี้ท่านเคยสอนพระไว้ไม่ให้เสียพระง่ายๆ เขาทำบุญ 10 บาท 20 บาท มากบ้างน้อยบ้าง อย่าไปดูถูกเขา ท่านให้ดูกำลังใจคน ถ้าแกคิดอย่างนี้แกจะตกนรกง่ายที่สุด เขาทำบุญมากทำบุญน้อยต่อไปแกจะโลภ หลวงพ่อบอกต้องดูกำลังใจคน แกจะวัดด้วยเงินหรืออะไรไม่ได้ ท่านสอนเรานะ

    ท่านถือว่ากำลังใจสำคัญยิ่งอย่างโยมคนเมื่อกี้มาจากชลบุรีเป็นคนมีอายุแล้ว การเดินทางไกลก็ย่อมไม่สะดวก อย่างหลวงพ่อดาบสเทศน์คนที่ขึ้นรถลงเรือมาไกลอย่างนี้ ถือว่าเอาชีวิตมาทำบุญ เพราะว่าการขึ้นรถออกจากบ้านมาแล้ว มันสามารถจะตายได้ทุกเวลาเช่นกัน ชีวิตเรายังไม่ห่วง เรียกว่า ปรมัตถบารมี จริงๆ

    (จากหนังสือ "ที่ระลึกงานกตัญญูกตเวทิตามงคล" หน้า 121-123)



    เรื่อง ปฏิบัติธรรม


    เรื่องปฏิบัติธรรม อะไรๆ ก็คิดเป็นธรรมะได้ มีอยู่คราวหนึ่ง ออกจากกุฏิ กำลังจะไปฉันเพล มีกะละมัง เขาเรียกกะละมังอาหารหมา จะเอาน้ำให้หมากิน พอจะออกไปข้างนอก เราก็รินน้ำให้หมา ก็ปล่อยน้ำแรง มันก็ซ่าออกไปนอกกะละมังมั่ง อะไรมั่ง เราก็มอง เอ๊ะ... เมื่อไรมันจะเต็มวะนี่ เพราะเราจะรีบไป ก็เอ๊ะ...ปล่อยซ่า มันก็กระเซ็นออกไปนอกกะละมังมั่ง ลงกะละมังมั่ง อะไรมั่ง ก็คิด

    เออ..การปฏิบัติธรรมของคนนี่กว่าจะบรรลุมรรคผล กว่าจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้นี่ มันก็ต้องมีออกนอกลู่นอกทางไปบ้าง แต่น้ำนี่ส่วนมากมันจะอยู่ในกะละมัง บางส่วนจะกระเซ็นออกไปนอกกะละมังบ้าง

    “ไอ้ที่เหลืออยู่มันจะมากกว่า”

    ใช่ ถ้าเราทำใจอดทนได้เดี๋ยวมันก็เต็มเอง ถ้าเราอดทนได้ น้ำมันก็เต็มฉันใด นึกถึงการปฏิบัติธรรมของคนเรานี่อาจจะเขวไปบ้าง แชไปบ้าง อะไรไปบ้าง แต่ส่วนมากจะเกาะหลักไว้ มันก็สามารถจะทำกำลังใจเต็มได้ฉันนั้นเหมือนกัน

    “ไอ้คิดอย่างนี้มันก็ดีอย่าง เป็นกำลังใจของคนที่ปฏิบัติทุกวันนี้ มันมีขาดๆ เกินๆ เสียๆ หายๆ หกตกหล่น”

    แต่ทีนี้ถ้าเราไม่เชเลย มุ่งอยู่จุดเดียวเหมือนปล่อยน้ำให้มันเต็ม ไม่มีกระเซ็นเลย ประเดี๋ยวมันก็จะเต็มไว

    “แหมนี่เวลานี้นี่เรียกว่าทรงธัมมานุสสติกรรมฐานแล้วนะ”

    อันที่จริงธรรมะทุกอย่างนี่หลวงพ่อท่านเฉลยไว้หมดแล้วนะ คำตอบทุกอย่างนี่มันอยู่ที่เรากระทำเท่านั้นเอง ทั้งโจทย์ ทั้งวิธีทำ บอกหมดทั้งคำตอบนี่ เรียนคณิตศาสตร์นี่เขาไม่ได้บอกคำตอบเราก่อนหรอกนะ เขาตั้งโจทย์มาเราก็ทำไปเลย คำตอบอะไรก็ไม่รู้ ทีนี้หลวงพ่อตั้งโจทย์วิธีทำคำตอบไว้ให้เสร็จเลย มีเสร็จทุกอย่างนี่ อยู่ที่เราทำตามที่ท่านบอกเท่านั้นเอง ใช่ไหม

    สังเกตดูสิ ท่านตั้งโจทย์แนะวิธีทำคำตอบให้เสร็จแล้ว อยู่ที่เรานี่กระทำตามที่ท่านว่าเท่านั้นเอง

    “วันนี้มาเล่าหลายคน บอกว่ามันมีปัญหาทางใจ ไปถามก็ไม่ถูกใจ ก็พอดีไปเปิดตอบปัญหา เดี๋ยวนี้ออกถึงเล่ม 9 นะ เปิดโดยไม่ได้ตั้งใจนะว่าจะหน้าไหน เปิดแพล็บ...ตรงกับไอ้ที่ตัวเองกำลังข้องใจอยู่พอดีเลย คำตอบก็มีอยู่ในนั้นเสร็จเลย”

    หนังสือของท่าน ของหลวงพ่อนี่เขียนด้วยสติและปัญญาสมบูรณ์ คือไม่มีคำที่โมเม ไม่พูดโมเม เพราะสติและปัญญานี่มันอยู่ในสมองสมบูรณ์อยู่ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง อย่างเรานี่มีสมาธิดีก็พูดธรรมะเข้าใจดี ถ้าฟุ้งซ่านก็พูดกันไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ ของท่านนี่ทรงอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง และพระพุทธเจ้าท่านก็คุม อย่างจะมาสายลมนี่ พระพุทธเจ้าคุมสามองค์สี่องค์ แต่องค์ไหนจะเป็นหัวหน้าเท่านั้นเอง

    สติก็สมบูรณ์อยู่แล้ว พระพุทธเจ้าก็คุมอีกชั้นหนึ่ง ทีนี้การเป็นหนังสือท่านก็ดี เป็นคำถามคำตอบท่านก็ดี อาจจะมีตลกบ้างอะไรบ้าง เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น เป็นธรรมะบันเทิง แต่ว่าเป็นธรรมะที่ถูกต้องที่สุด ที่ว่าหายากนะ

    “หาไม่ได้แล้ว หาไม่ได้”

    เราไปฟังที่อื่นทำไมถึงจืด บางทีอ้อมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง ไม่รู้ว่าเอาตรงไหนวะ ไอ้สรุปบางทีเราต้องมาสรุปเอง จะเอาตรงไหนอะไรอย่างนี้ หลวงพ่อนี่ท่านตั้งต้นเนื้อน้ำสรุปให้เอง ไปฟังคนอื่น เออ กูจะสรุปตรงไหนวะ จะเอาตรงไหนวะ เราต้องมาสรุปเองแทนพระ

    “อันนี้หลวงพ่อเคยบอกว่า เคยเตรียมตัวมาจะพูดเรื่องนั้นเรื่องนี้ พอเวลานั่งพูดจริงของเราไม่มีเลย นั่นก็แสดงว่าหลวงพ่อก็ไม่ได้พูดน่ะสิ”

    ท่านจะบอกว่าวันนี้พระองค์นั้นมา พระองค์นี้มา สมัยก่อนท่านจะเทศน์สอนกรรมฐานนะ เทศน์ด้วยตัวของท่านนะ เทศน์ปุ๊บก็อัดเลย เทศน์เสร็จก็มาเปิดฟังพูดอะไรบ้าง ก็มาทวนวันนี้เทศน์อะไรบ้าง

    มีอยู่เล่มที่ด็อกเตอร์พิมพ์ เล่มไหนก็ไม่รู้ คือสอนกลางวัน สอนมหาสติปัฏฐาน กับกรรมฐาน 40 กลางวันไปถึงก็สอนกันเลย ไม่ได้เตรียม ไปถึงก็นั่งกันอย่างนี้ เราก็ไม่มีเทปไปอัดนอกสถานที่ ท่านบอก...นันต์ ข้าไม่ได้เตรียมตัวเลย เป็นเรื่องของพระพุทธเจ้าท่าน สักประเดี๋ยวก็ให้ช่างมาติดลำโพงลงทุกห้อง บอก เราจะเปิดเสียงตามสายออกไป นี่แกผ่านหูบ้าง ฟังหูซ้ายละลุหูขวาบ้าง

    ต่อไปนี่จะเป็นตำรา พวกแกอยู่ต่อไปจะได้ไม่ทะเลาะกับคนอื่นเขา เขาสอนอย่างนั้นมาแกจะได้รู้ว่าเขาสอนกรรมฐานกองไหน ไม่ใช่ว่าของเราพุทโธ ใครสัมมาอรหังผิดหมด ใคร นะมะพะธะผิดหมด ไม่ใช่อย่างนั้น การภาวนาเป็นการโยงจิตเท่านั้น การโยงจิตให้สงบเป็นอุบาย ในการโยงจิตให้สงบ ไม่ใช่ว่าเก่งอวดดีกันแค่องค์ภาวนา”

    ท่านก็สอนกรรมฐาน 40 มาครบ มหาสติปัฏฐานอีก สอนกลางวันนี่หลวงพ่อสอน คิดดูบ่ายโมงนี่ถ้าสอนไม่ดีจริงนี่ตาปรือตาลอย กลัวท่านบ้างก็ตาแป๋วแต่หลับในไปแล้ว ฉันเพลใหม่ๆ นี่กำลังดีแล แต่ท่านก็สอนดีนะ สอนอสุภกรรมฐาน ก็ถาม

    “อาจารย์ วันนี้กินข้าวกับอะไร”

    “กินข้าวกับแกงส้มครับ”

    “แกงกับอะไร”

    “ปลาครับ”

    “อ้าว...แกกินศพไปนี่หว่า”

    “ไม่ใช่ครับ ปลาครับ”

    “ก็ศพปลาไงเล่า”

    ท่านก็หยอกไปเรื่อย เวลาใครนั่งง่วงท่านก็หยอกเสียที ตาก็สว่างขึ้นมา แต่ห้ามจดนะ ท่านไม่ให้จด จะมาจดนี่ไม่ได้ ต้องฟังก่อน เทปอัดไว้แล้ว ให้มันได้เดี๋ยวนั้นสักรอบหนึ่งก่อน ท่านก็อุตส่าห์สอนกลางวันมาสักร่วมพรรษาหนึ่งมั้ง ตอนนั้นน่ะ

    “สอนเสาร์ – อาทิตย์ เพราะว่าญาติโยมจากกรุงเทพฯ ขึ้นไปฟังด้วย”

    “ในระยะต้นๆ นี่ค่อนข้างเข้มหรือว่า”

    โอ้โฮ ตนไปฟังนี่ เอ๊... หลวงพ่อทำไมอยู่วัดถึงดุจังเลย ถ้ามาสายลมกรรมฐานสายลมง่ายจัง อู้หู...ที่วัดทำไมถึงยากจังเลยที่วัดนี่ ที่วัดนี่อะไรก็ผิดไปหมด ไปนั่งกรรมฐานที่สายลมดีกว่า สบายใจจังเลย เขามาพูดให้ฟังใช่ไหม ทำนิดก็เป็นบุญ ทำหน่อยก็เป็นบุญ พอมาวัดนี่ทำผิดนิดก็บาป ทำผิดหน่อยก็บาป ก้าวขาไม่ออกอะไรอย่างนี้ ตรงกันข้ามเลย

    (จากหนังสือ "ที่ระลึกงานกตัญญูกตเวทิตามงคล" หน้า 118-120)

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มีนาคม 2020
  17. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    วิธีสอนคน

    หลวงพ่อท่านมีวิธีสอนคน สอนชนิดที่เรียกว่าต้องจำตลอดชีวิต สอนพระทำยังไงถึงจำ สมัยก่อนหลวงพ่อลงเทศน์ เวลาจวกพระบนอาสน์สงฆ์นะพระนั่งคอตก เหงื่อหยดลงศอกติ๋งๆๆ แล้วจำตลอดไป ไม่กลัวตายเลย หลวงพ่อไม่กลัวลูกศิษย์อกแตกตายเลยเคยมีอยู่คราวหนึ่ง เดินทางมาสายลมและไปบ้านพลเอกทวนทองปุ๊บ แอร์มันเสีย ไอ้เราฉลาดมาก ลุกไปเปิดประตูปั๊บ เพื่อให้อากาศเข้ามามากๆ

    หลวงพ่อบอก “ไอ้ระยำ..โง่เป็นควายเลย“ โอ้โฮ..เราก็หวังดีนะจะให้อากาศเข้า ท่านบอกว่า “แอร์มันเย็นอยู่ในห้องค่อยๆ รินมัน ให้อากาศมันถ่ายไปเปิดประตูความร้อนมันก็เข้ามาเต็มซิ” ไอ้เรารู้สึกหน้ามันเห่อ มันเบลอ มันชา ถ้าถ่ายรูปไว้คงจะน่าดูมาก

    มีอยู่คราวหนึ่ง เราอยู่ด้วยกัน ก็คุยกันคุยค่อยๆ หลวงพ่ออยู่ในห้องน้ำ พออีกคนมาก็หยุดคุย เราก็คุยธรรมดาไม่ได้ว่าใครคุยเรื่องงาน รุ่งขึ้นอีกวันสองวัน หลวงพ่อบอกเวลาคุยกันนี่คนอื่นเขามาก็ต้องคุย คนอื่นมาปุ๊บหยุดคุยเขาหาว่านินทาเขาจะมีเรื่องมีราวกัน เราก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้

    (จากคอลัมภ์ "จากคำบอกเล่า" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 152 เดือนตุลาคม 2536 หน้า 96)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มิถุนายน 2019
  18. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735


    54357.jpg

    ผีเฝ้าวัด

    เรื่องผีนะวันนี้คุยกันเรื่องผีก่อน ฉันเองนี่นอนตึกเสริมศรี ตึกเสริมศรีใครไปวัดท่าซุงจะรู้ว่าตึกเสริมศรีอยู่ตรงไหน อยู่ชายน้ำโน้นนะ นั่นเป็นห้องเจริญพระกรรมฐานเก่า ทีนี้ไอ้มุมห้องนะมันเป็นห้องหลวงพ่อท่าน ท่านนอนอยู่คืนหนึ่ง นอนอยู่คืนหรือสองคืนนี่ ไอ้เราก็นอนข้างๆท่าน

    ตกกลางคืนเราก็ตื่นมาดึกๆ เสียงหลวงพ่องึมงำๆเราก็หวังดี หลวงพ่อครับเมื่อคืนหลวงพ่อละเมอหรือครับ (หัวเราะ) รู้ดีเสียงงึมงำเหมือนคุยคนเดียวอย่างนี้ ไอ้ระยำละเมออะไรเล่า ผีมันมาบอกเทวดาเขามาบอกขโมยจะมาเข้าวัด ก็บอกให้มันไปห่างๆอย่าให้มันเข้าวัดได้ เราก็นึกหลวงพ่อละเมอ (หัวเราะ)

    พอหลวงพ่อไม่มานอนแล้วเลิกนอน ฉันก็นอนแทนไม่ได้นอนเตียงของท่านหรอกนะ ยกเตียงท่านออกไปแล้วก็ปูพื้นนอนอย่างนี้ มันเป็นห้องมิด ห้องมุมน่ะเป็นห้องรุดประตูปิดได้ ไอ้เราก็ขี้เกียจสวดมนต์ พรุ่งนี้ค่อยสวดก็ได้ พรุ่งนี้เช้าค่อยสวดง่วงนอนแล้ว

    พอนอนไปสักพักหนึ่งได้นะ มันมีไอ้ตัวดำใหญ่ๆนี่ มายืนอยู่หน้าต่าง มันก็จี้มือมาที่เรานี่ มันเอามือชี้มาอย่างนี้ ตัวดำใหญ่คับหน้าต่างเลย บอกมึงอย่าเล่นเลยว่ะ มึงอย่าเล่นกูกลัว

    มันเหมือนกับไฟช้อตอย่างนี่แหละ พอเราลืมตาเห็นมันก็เอามือลดลง ลดลงใจเราก็สบาย มึงอย่า เดี๋ยวมันเอามือมาจี้อีกแล้ว เราเหมือนกับไฟช๊อตสั่นซ่าไปหมดเลย ทำอะไรไม่ได้ แล้วมันก็เอามือออก

    ไอ้ห่ะกูว่าแล้วกูไม่ได้สวดมนต์ก่อนนอน เราต้องลุกมาสวด แสดงว่าผีสอนเรา คงเทวดาที่นั่นน่ะเพราะว่าตรงนั้นหลวงพ่อเคยบอกว่าเขาไปเป็นยามเฝ้า พี่ชายเคยเห็นมันเดินซวบๆๆก็ควักปืนที่ว่าจะยิงนะ ยิงไม่ออก

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มิถุนายน 2019
  19. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    0001.jpg
    คนลองดีหลวงพ่อ


    ตอนฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังนั่น มีเทปออกมาม้วนหนึ่ง คือ โยมปู้ ใช่ไหม ปู้ที่อยู่ที่สุพรรณ

    ทีนี้พอฝึกกลับไปแล้วนี่ โยมปู้ก็ไปบ้าน ไปบ้านก็ไปเล่าให้ลูกชายฟัง ก็บอกว่าฉันไปวัดท่าซุงมานี่นะ ศาลานี่ตั้ง 12 ไร่ ศาลาจริงๆนี่ตั้ง 12 ไร่ และห้องน้ำนี่เป็นพันๆเป็นพันห้องนะ ไม่ใช่ห้องสองห้องร้อยสองร้อยเป็นพันห้อง ทีนี้ก็มีคนขัดคอคือลูกชาย


    “โอ้โฮ..เจอดีเข้าแล้วนะ”

    คนในบ้านขัดคอ แม่เล่าให้ลูกชายฟัง ลูกชายก็บอกกูอยากจะไปวัดท่าซุง ศาลา 12 ไร่นี่ เฮ้ย...มึงเอาตลับเมตรให้กูที กูอยากจะไปวัดท่าซุงสักหน่อย แอ็คท่าขัดคอแม่ แม่ก็ห้าม อย่าไปพูดไป อย่าพูดไป

    ทีนี้เกิดยายปู้เขาจะมาวัด ลูกชายก็บอกผมไปด้วย เฮ้ย...มึงหยิบตลับเมตรให้กูทีว่ะ กูจะไปวัดท่าซุงกับแม่ว่ะ ก็พูดหยอกอย่างนี้

    ทีนี้ก็เกิดมาวัดจริงๆ พอมาวัดพอเข้าเขตวัดเท่านั้นเอง ลูกชายชักในรถ ดิ้นในรถนั่นแหละ จะตายให้ได้เลย ยายปู้แกเคยมาวัดแล้วบอกเดี๋ยวพาเข้าโรงพยาบาลหลวงพ่อเลยๆ ก็ชักอยู่ในรถแบบนั้น


    ยายปู้ก็นึกถึงได้ว่าไอ้คนนี้มันพูดปรามาสหลวงพ่อไว้ ปรามาสวัดท่าซุง ชักในรถใช่ไหม พอแกคิดอย่างนั้นแกก็บอกให้ นี่มึงขอขมาหลวงพ่อซะ ขอขมาหลวงพ่อซะ ไอ้ลูกชายก็ขอขมานอนชักมือสั่น พอขอขมาเสร็จไม่ต้องไปโรงพยาบาลหายเดี๋ยวนั้นเลยนี่ หายไปเลยบอก โอ้โฮ..หลวงพ่อเล่นปราบ

    ทีนี้ลูกชายคนนี้กลับไปบ้านบอกกูเชื่อแล้ววัดท่าซุงวัดนี้ นี่ยายปู้มาเล่า แกเล่าตลกกว่านี้นะ แกพูดสำเนียงสุพรรณนี่

    พ่อมันแล้วทีนี้ลูกมันอีก ลูกมันเป็นแบบวัยรุ่นนี่


    “ลูกของลูกชายนะหรือ”

    ใช่ ลูกชายมาเรียนหนังสือที่กรุงเทพกลับไปก็ได้ข่าวว่าวัดท่าซุง มันวัดใหญ่ใช่ไหม 200 กว่าไร่ ก็มาก็มากราบหลวงพ่อ ไอ้เด็กวัยรุ่นคนนี้ก็เข้าไปในวิหาร 100 เมตร พอเข้าไปพอไหว้หลวงพ่อ กลับมาลักรองเท้าเลยคู่ละ 1,600 รองเท้าอะไรก็ไม่รู้ลักไปเลย อะไรสกอร์อะไรของจริงพันกว่าบาทนี่ ลักไปเลย

    ยายปู้ไปเห็นหลานชายลักรองเท้ามาก็บอก อุ๊ย...มึงเอ๊ยวันนี้เขาต้องจับถ่ายรูปขึงไว้หน้าวัดแน่เลย มึงหนีไม่รอดแน่แล้ว กูจะอายขายขี้หน้า เขารู้จักกูเสียด้วยซิ (หัวเราะ) เขาต้องถ่ายรูปไว้แน่ละ แกก็ใจคอไม่ดีสั่นไปหมด กลัวตำรวจเขาจะจับได้


    พอขึ้นรถก็ไปเที่ยวรอบวัด ไปถึงที่สมเด็จองค์ปฐม มีคนเดินหยิบไปเฉยๆ ไปถึงหยิบรองเท้าที่มันถอดไว้จะขึ้นมณฑปองค์ปฐมเนี่ย ไปหยิบไปเฉยๆเลย หยิบแล้วก็เดินกลับทันที ไม่ได้ถามว่ารองเท้านี่เอาไปยังไง เดินไปเอารองเท้าคู่นั้นน่ะ เดินเอารองเท้ามาเฉยๆ

    “มีอะไรดลใจให้ไปเอายังงั้น”

    เออแล้วก็ไม่รู้ใครจะถามคนไปเอารองเท้า จะถามซะอย่างว่านี่แกเอารองเท้าฉันมาหรือ นี่รองเท้าของฉันนะ ไม่พูด ไปถึงก็หยิบแล้วก็เดินกลับเลย ยายปู้บอกเขาต้องไปแจ้งตำราจวัดแล้ว เขาต้องปิดประตูแล้วล่ะ เขาต้องจับอะไรยังงี้

    นี่หลานชายแกก็ขึ้นไปไหว้พระข้างบนแล้วก็ลงมา พอลงมาก็บอกกับย่าคือ ยายปู้ ผมเชื่อแล้วครับว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงศักดิ์สิทธิ์ เพราะว่าผมเข้าไปกราบพระศพท่าน ผมอธิษฐานไว้ถ้าหลวงพ่อวัดท่าซุงเก่งจริง อย่าให้มันลักรองเท้าออกจากวัดได้ มันจะนับถือตลอดชีวิตเลย

    แล้วเขาก็ไปเสี่ยงเซียมซีบนมณฑปองค์ปฐม เซียมซีก็บอกว่า พ่ออยากเจอนัก ไอ้คนจริงนี่ เซียมซีบอกเสียด้วยนะ พ่ออยากเจอนักคนจริงนี่ เออ..ขอให้มึงตั้งใจเรียนหนังสือให้ดีนะ ต่อไปจะเป็นเจ้าคนนายคนเป็นใหญ่เป็นโต อะไรยังงี้นะ เอ๊ะ..เซียมซียังงี้ไม่เคยพิมพ์

    แล้วคนที่ไปเอารองเท้านี่ นี่เข้าใจว่าไม่ใช่คนธรรมดาหรอก คงจะโปรดไอ้คนนี้แหละไอ้คนธรรมดาถ้าเป็นเจ้าของรองเท้า ก็ต้องถามไอ้นี่มึงลักของกูมานี่ แล้วตำรวจมีต้องให้มันจับ อะไรยังงี้ นี่มันเอารองเท้ามาเฉยๆ ไม่ถามสักคำว่าไปเอารองเท้ามาหรือรองเท้าใครยังงี้น่ะ ไปหยิบรองเท้ามาก็มาเฉยเลย บอกเออก็แปลก

    ทีนี้บ้านยายปู้สุพรรณนี่ เขาลือกันหมดซิ ก็ปราบเซียนแล้วนี่ ปราบไอ้คนบ๊องๆ


    “ไอ้รายแรกนั่นตลับเมตรจะไปวัดวัดหรือ”

    ชักในรถเลยนะยังไม่ทันเข้าวัด เข้าเขตวัดนั่นแหละ เข้าเขตก็ชักเลย ทีนี้มันก็เชื่อซิ โพทนากันไปหมดล่ะ


    หลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล(อนันต์ พทฺธญาโณ)

    (จากหนังสือประวัติหลวงพ่อพระราชพรหมยาน หน้า 55-56)

    1225519.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มิถุนายน 2020
  20. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    หลวงพ่อบูชาพระพุทธเจ้าอย่างยิ่ง

    มีเกร็ดอยู่เกร็ดหนึ่งคือมาวิเคราะห์กันเรื่องของแจก ของแจกนี่เรามาวิเคราะห์กันแล้วมันแพง ทีนี้ก็ปรึกษากับพระวิรัช เพราะพระวิรัชเป็นคนทำเรื่องวัตถุมงคล บอกวิรัชว่าของที่จะแจกนี่มันแพง ถึงครึ่งต่อครึ่งนี่ตั้ง 80 กว่าบาท

    จึงถามหลวงพ่อว่าหลวงพ่อครับ ของที่จะแจกนี่เอาพระผงไม่ดีหรือครับ

    หลวงพ่อบอกว่า “แป๊ะ..นันต์..ของนี่นะ นี่มันรูปข้า แต่พระผงเป็นรูปพระพุทธเจ้า เป็นของสูงแกรู้ไหม รูปพระพุทธเจ้าเป็นของสูง สูงยิ่งที่สุดแล้ว” เราก็โอ้โฮ นึกไม่ถึง เรานึกว่าของถูกก็แจกตามถูก แต่เรามันหยาบไม่คิดถึงคุณค่าของความดี ถึงบางอ้อตอนนั้นเอง

    หลวงพ่อท่านบูชาพระพุทธเจ้าจริงๆ เราแค่มองเพียงวัตถุ นี่เป็นตำราอย่างดีเลย


    ถูกให้นับกระดาษห่อทองคำเปลว


    โอ...เรื่องเปลือกทองนี่โหดร้ายมาก หลวงพ่อสั่งให้นับเวลาปิดทอง โบสถ์ต้องใช้ทองเป็นหมื่นเป็นแสนเหมือนกันนี่ ปิดแล้วเอาเปลือกทองมา ทีละห้าหมื่นๆ เราก็ต้องมานั่งนับเปลือกทอง เวลาช่างมาส่งต้องนับต่อหน้าช่างด้วยนะ นับไปก็นึก เอ๋...หลวงพ่อให้นับทำไมนะ จะขายได้สักเท่าไรนะ

    ไอ้เปลือกทองนี่ให้นับอยู่เรื่อย มารู้ตอนหลังว่าท่านกันไม่ให้ช่างปิดทองลักทอง สมัยก่อนทองแผ่นละบาท แรงงานวันละ 20 บาท มันลักไปวันละ 10 แผ่น 10 วันก็ 100 แผ่นแล้ว ที่ให้นับมันจะได้โกงไปไม่ได้ มารู้ตอนหลัง

    มีอยู่ที หัวใจจะวายตาย ไปยกเมฆท่าน
    คิดว่าตัวเราฉลาดมาก ยกเมฆหลวงพ่อ หลวงพ่อสั่งบอกว่า เวลาเขาเบิกกลอนไปกี่ตัว แกทำบัญชีไว้นะ แล้วแกไปดูด้วยเขาใส่กลอน ตามหน้าต่างถูกไหม ตะปูเบิกไปเท่าไรจดไว้ ไอ้เราก็ทำบ้าง ไม่ทำบ้าง ถามบ้าง ไม่ถามบ้าง ขี้เกียจทำ ยกเมฆบ้าง

    วันหนึ่งก็ไปกราบตอนเช้าๆ หลวงพ่อถาม “นันต์ แกทำบัญชีเบิกหรือเปล่า”

    ทำครับ

    “แกทำไว้เรียบร้อยใช่ไหม”

    ครับ

    ท่านมองลอดแว่นมาหาเลย “เดี๋ยวข้าจะขอดูบัญชีแกสักหน่อย”

    โอ้โฮ... หัวใจจะวายให้ได้ เวลาท่านดุนี่ ด่า 3 วัน 3 คืน ถ้าลงเทปด้วยละก็ไม่ต้องแล้ว ประจานกันทุกวัน เทปเปิดตอนเย็นนี่ เปิดเทปทีก็แปล๊บ


    (จากหนังสือ "ที่ระลึกงานกตัญญูกตเวทิตามงคล" หน้า 53-54)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ตุลาคม 2020

แชร์หน้านี้

Loading...