ผลที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ล้วนมาจาก “กรรม” ทั้งสิ้น

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 26 สิงหาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,346
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    มรดกกรรมจากพ่อ
    โดย อรรถวดี

    คุณเชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษมากน้อยแค่ไหน

    ก่อนหน้านี้ฉันก็เหมือนวัยรุ่นทั่วไปที่ชอบเที่ยวเฮฮาสนุกสนานไปตามวัย ใครมาพูดเรื่องธรรมะให้ฟังก็มักจะส่ายหน้าหนี แถมใครมาพูดเรื่องเวรเรื่องกรรมยิ่งไม่เชื่อใหญ่ แอบหัวเราะด้วยซ้ำ แต่แล้ววันหนึ่งเหตุการณ์ที่ทำให้หัวเราะไม่ออกก็เกิดขึ้นกับครอบครัวของฉัน

    ฉันเป็นลูกคนสุดท้องในจำนวนพี่น้อง 4 คน พี่คนที่หนึ่งและสองเป็นผู้หญิง ส่วนพี่คนที่สามเป็นผู้ชาย เราหกคนพ่อแม่ลูกใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมาตลอด จนกระทั่งวันที่พวกเราพี่น้องแต่งงาน-แต่งการกันหมดแล้ว เรื่องแปลกประหลาดก็เกิดขึ้น พี่สาวคนที่สองแต่งงานออกเรือนไปนานแล้ว แต่ไม่มีลูกให้พ่อกับแม่ฉันเชยชมเลยสักคน ห้าปีให้หลังพี่ชายคนที่สามก็แต่งงาน แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าพี่สะใภ้จะท้องเลยสักนิด หนำซ้ำยังป่วยเป็นเนื้องอกที่มดลูก ต้องตัดมดลูกทิ้งข้างหนึ่ง ส่วนพี่สาวคนโตแต่งงานเมื่ออายุค่อนข้างมากแล้ว แม้จะปล่อยให้มีลูกตามธรรมชาติ แต่รอแล้วรอเล่าก็ไม่มีเด็กคนไหนมาเกิดสักที ส่วนฉันเองเพิ่งแต่งงานได้สองสามปีสามีอยากมีลูกมาก แต่ก็ไม่มีอีกเช่นกัน


    ตอนแรกพวกเราไม่ได้เอะใจอะไร คิดว่าคงเป็นเพราะพวกเรา มัวแต่ยุ่งกับการทำงานจนทำให้เครียด แต่ทุกครั้งที่ไปตรวจสุขภาพผลออกมาว่า ทุกคนสุขภาพดีสมบูรณ์พร้อมในการมีลูก ยกเว้นพี่สะใภ้เท่านั้น แล้ววันหนึ่งความจริงก็ปรากฏ

    ฉันมองไปยังพ่อที่ตอนนี้ป่วยกระเสาะกระแสะด้วยความชรา แถมยังมีอาการหลงๆ ลืมๆ และอัมพฤกษ์เล็กน้อยที่ขาด้านขวาด้วยความรักและสงสาร พ่อป่วยมานาน แถมยังดื้อไม่ยอมทำตามที่หมอสั่ง จนแม่เอือมระอาและเครียดมาก พ่อป่วยด้วยความชรา แต่ลูกๆ ของพ่อกำลังได้รับมรดกกรรมที่พ่อได้ทำไว้

    ใครอาจจะหาว่าฉันคิดไปเองก็ได้ แต่ฉันยอมรับว่าทั้งฉันและพี่ๆ เชื่อเรื่องนี้กันหมดทุกคน เราคิดว่าสาเหตุที่ทำให้ไม่มีใครสักคนมีลูกและพ่อแม่ไม่มีหลานสืบสกุลมาจากการที่พ่อของเราเคยมีอาชีพทำหมันหมู

    ตอนฉันยังเป็นเด็ก พ่อซึ่งชอบตั้งวงกินเหล้ากับเพื่อนฝูงมักออกไปล่าสัตว์ป่ามาทำกับแกล้ม ภาพที่ติดตาฉันมากที่สุดคือ ภาพค่างตัวหนึ่งที่พ่อถลกหนังจนขาวสะอาดแล้วแขวนไว้ที่หน้าบ้าน แขนขามันยาว ตาปิดสนิทอย่างยอมจำนนต่อโชคชะตา แม้จะรู้สึกสงสาร แต่ฉันก็ไม่สามารถช่วยค่างตัวนั้นและสัตว์ตัวอื่นๆ ได้ ถ้าสิ่งนี้เป็นงานอดิเรกของพ่อที่ทำให้ฉันหวาดกลัวแล้ว การทำหมันหมูซึ่งเป็นงานประจำของท่านยิ่งทำให้ฉันขวัญเสียยิ่งกว่า

    นอกจากที่บ้านเราจะเลี้ยงหมู โดยมีพ่อทำหมันให้หมูเองแล้วแรกๆ เพื่อนบ้านยังมาไหว้วานให้พ่อไปช่วยทำหมันหมูให้อีกด้วย เมื่อมากๆ เข้าเลยกลายเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่ช่วยเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเราทั้งครอบครัว ตอนแรกฉันไม่ทราบว่าวิธีการทำหมันหมูโหดร้ายเพียงใด จนวันหนึ่งฉันจึงได้รู้ความจริง ได้เห็นทั้งภาพ ได้ยินทั้งเสียงกรีดร้องอย่างน่าสยดสยองของหมูที่โดนทำหมัน

    ก่อนทำหมันให้หมู พ่อจะหาเชือกเส้นใหญ่เตรียมไว้หนึ่งเส้น ท่านจะเดินอย่างใจเย็นไปหาหมูที่เคราะห์ร้าย แล้วใช้เชือกมัดขาหลังทั้งสองข้างของมันก่อนนำไปสอดไว้บนราวไม้ให้หัวหมูห้อยลงมาหลังจากนั้นท่านจะใช้มีดที่ลับมาคมกริบกรีดลงไปบนลูกอัณฑะของมันโดยไม่ฉีดยาชา ทันทีที่มีดเย็นๆ สัมผัสกับผิวบางๆ ของลูกอัณฑะ หมูตัวนั้นก็กรีดร้องโหยหวนดิ้นหนีสุดชีวิต พยายามตะเกียกตะกายให้หลุดจากมือที่แข็งแรงราวกับคีมเหล็กของพ่อ แต่ต่อให้ดิ้นสุดแรงแค่ไหนก็ไม่อาจหลีกหนีจากการถูกควักไข่ที่อยู่ในลูกอัณฑะไปได้ หมูตัวแล้วตัวเล่าที่ถูกพ่อจับทำหมันจะอาฆาตแค้นชิงชังพ่อมากแค่ไหนฉันไม่อาจรู้ได้ ฉันรู้เพียงแต่ว่า ทุกวันนี้ผลกรรมจากการที่พ่อทำให้หมูไม่สามารถมีลูกได้นั้นส่งผลมายังลูกๆ ทุกคนจนไม่สามารถมีลูกได้เช่นกัน

    ทุกวันนี้ ความที่อยากมีลูก แต่มีเองไม่ได้ พี่สาวคนที่สองเลยรับเด็กชายคนหนึ่งมาเป็นลูกบุญธรรม เรื่องราวที่ผ่านมาถือเป็นบทเรียนให้ฉันระลึกว่า “กรรมติดจรวด” นั้นมีจริง ไม่ต้องรอดูชาติหน้า แม้ชาตินี้ก็เห็นได้ด้วยตาตัวเอง

    ขอบคุณบทความจาก
    http://www.secret-thai.com/category/article/supernatural/
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,346
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    กรรมจัดสรร
    กอบกูล ทองไชย

    กรรม คือ การกระทำ ไม่ว่าจะดีหรือชั่ว เป็นบุญหรือเป็นบาป ผู้กระทำจะต้องได้รับผลกรรมนั้นอย่างแน่นอน จะช้าหรือเร็ว จะหนักหรือเบาเท่านั้นเอง

    ดิฉันเคยเล่าอุปนิสัยของตัวเองในกฎแห่งกรรมเล่ม ๘ มาแล้ว ดังนั้นเรื่องราวที่ดิฉันจะเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องจริงที่เกิดกับครอบครัวของเรา บางเรื่องก็ไม่สามารถบอกกล่าวให้ฟังได้ เพราะจะเป็นการกระทบกระเทือนคนอื่น

    เรื่องที่ ๑ ใช้กรรมปลาดุกยักษ์
    ลูกชายดิฉันเคยมาบวชสามเณรภาคฤดูร้อนที่วัดอัมพวัน ก่อนจะมาที่วัดได้จัดให้มีการบายศรีสู่ขวัญ นำปลาดุกยักษ์ที่เลี้ยงไว้ในบ่อมาทำเป็นอาหารเลี้ยงแขก ผู้ที่ฆ่าปลาดุกยักษ์จำนวนมากมายนั้นก็คือ ลูกชายดิฉันนั่นเองลูกบอกว่าจะปวดศรีษะอย่างรุนแรงเมื่อปฎิบัติธรรม มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาออกฝึกงาน ได้เกิดอุบัติเหตุอย่างรุนแรง แขนหัก เกิดอาการเลือดคั่งในสมอง ต้องผ่าตัดสมองอย่างเร่งด่วน หากช้าไปก็จะไม่ทันการ ดิฉันได้ขอเมตตาบารมีให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้โปรดแผ่เมตตาให้เขาปลอดภัย ส่วนดิฉันนั่งสวดมนต์ภาวนาให่เขาปลอดภัยเช่นเดียวกัน โดยนั่งรอที่หน้าห้องผ่าตัด แพทย์ใช้เวลาในการผ่าตัดนานมาก เมื่อนายแพทย์ออกมาพบดิฉันได้บอกดิฉันว่า มันเหมือนเกิดปาฎิหาริย์ เพราะเนื้อสมองไม่มีเลือดแม้นิดเดียว ดิฉันน้ำตาร่วงเพราะทราบดีว่า ได้รับเมตตาจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อ จนกระทั่งทุกวันนี้อาการทุกอย่างแกติ ประกอบสัมมาอาชีพ มีครอบครัวที่อบอุ่น

    เรื่องที่ ๒ ใช้กรรมหมู
    อาชีพหลักของพวกเราคือ รับราชการครู ส่วนอาชีพเสริม คือเลี้ยงหมูแม่พันธ์ไว้ ๑ ตัว ชื่อแม่ทองคำ ออกลูกครั้งละ ๗-๑๓ ตัว ลูกของแม่ทองคำทำรายได้เสริมให้พวกเราเป็นอย่างดี ทุกครั้งที่แม่ทองคำออกลูกมา สามีของดิฉันจะใช้กรรไกรตัดเล็บอันใหญ่ ๆ ไปตัดฟันของลูกหมูทุกตัวและทุก ๆ ครั้งด้วย โดยบอกว่าช่วยไม่ให้เต้านมแม่มันอักเสบ แล้วเขาก็เกิดอาการปวดฟัน เสียวฟัน หนักเข้าก็ชาที่ลิ้น ปวดศรีษะอย่างรุนแรง ไปรักษาเกือบทุกโรงพยาบาลอาการต่าง ๆก็ไม่ดีขึ้น ถอนฟันเกือบหมดทั้งปากก็ไม่หายจนต้องผ่าตัดสมองที่โรงพยาบาลศิริราช อาการจึงหาย
    หลังผ่าตัดสมองแล้ว พวกเรามาปฎิบัติธรรมถวายหลวงพ่อในเดือนสิงหาคม เขาบอกว่าที่แท้ที่เขาเจ็บป่วยนั้น เพราะทำกรรมกับลูกหมูไว้ จึงต้องใช้กรรมเป็นเวลาถึง ๕ ปี
    เรื่องที่ ๓ ใช้กรรมงู
    สมัยเด็กๆ ครูจะบอกว่า “ งูจะเลื้อยไปได้ด้วยกระดูกสันหลังและซี่โครง ” ด้วยความอยากรู้ ดิฉันก็กดหัวงูไว้ ใช้มืออีกข้างบีบกระดูกซี่โครงหักหมดทั้งตัว มันเคลื่อนไหวไม่ได้จริง ๆ จนมันตายอยู่ที่ตรงนั้น เป็นอาหารของอีกาในที่สุด

    ในปี ๒๕๓๙ ดิฉันต้องผ่ากระดูกทับเส้นประสาทที่หลังเป็นครั้งที่ ๑ ในปี ๒๕๔๔ ผ่าที่หลังเป็นครั้งที่ ๒ เพราะอาการต่าง ๆ ไม่ดีขึ้น ในครั้งนี้แพทย์บอกว่ากระดูกหลังทรุดต้องใส่เหล็กไว้ ๔ ตัว อาการต่างๆ หลังผ่าตัดครั้งที่ ๒ ก็ไม่ดีขึ้นเลย ดิฉันทรมาน ทนเจ็บปวดที่หลัง ชาที่ขา ดิฉันขออโหสิกรรมงู เจ้ากรรมนายเวร อุทิศส่วนกุศลผลบุญ ก็ไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้น รับประทานยาจนปากเน่าเปื่อย ตระเวณรักษาไปทั่วทุกโรงพยาบาล ทั้งแผนปัจจุบันและแผนโบราณ

    การผ่าตัดครั้งที่ ๓ จะเริ่มขึ้นในวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๔๙ โดยนายแพทย์ทศศาสตร์ หาญรุ่งโรจน์ แห่งศิริราชพยาบาล โดยแพทย์วินิฉัยว่าน็อต ๔ ตัวนั่นแหละที่ไปทับเส้นประสาท จะผ่านำเอาน็อตที่หลังออก ดิฉันมั่นใจว่าคราวนี้ต้องหายเป็นปกติอย่างแน่นอน ดิฉันปฎิบัติธรรมเคร่งมาก แผ่เมตตาให้คุณหมอ เหนืออื่นใดก็คือเชื่อในเมตตาบารมีพระเดชพระคุณหลวงพ่อ เป็นเวลา ๒๐ ปี ในการใช้กรรมกับงู

    เรื่องที่ ๔ ใช้กรรมแมว
    คุณยายรักแมว เลี้ยงไว้จำนวนมากทีเดียว ดิฉันเป็นเด็กเกลียดแมวที่สุด แกล้งตีมันป็นประจำ เมื่อโตขึ้นก็แยกจากแมว ปัจจุบันนี้ที่บ้านของดิฉันมีแมวมาจากทั่วสารทิศมาอาศัยอยู่ ออกลูกเต็มไปหมด บางตัวออกลูกได้ ๓ วัน แม่ก็ถูกรถทับตาย ต้องคอยป้อนนมลูก ๆ ของมันจนเติบใหญ่ รักใคร่สงสารมัน มันตาย มันเจ็บป่วยนำไปรักษา น้ำตาร่วงเพราะรักและสงสาร จับไปทำหมันกรรมก็ตามทันในบัดดล เพราะอยู่ ๆ ก็เป็นฝีที่ช่องคลอดก้อนขนาดใหญ่ จนตกใจคิดว่าเป็นเนื้องอก แพทย์บอกเป็นฝี พอผ่าเสร็จ อุดผ้ากอสไว้ เหมือนทำหมันแมวเลย กรรมตามทันเร็วจริงๆ

    ความรักที่มีต่อกันไม่ว่าจะเป็นคนกับสัตว์ก็ช่วยชีวิตเราได้ แมวช่วยให้รอดพ้นจากฟ้าผ่า แต่ก่อนนั้นดิฉันมีนิสัยดุดัน ชอบสาบานให้ฟ้าผ่า วันนั้นเป็นวันพระ วันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๔๘ ลงจากห้องพระเห็นก้อนเมฆดำทะมึนเคลื่อนมาที่บ้าน มองแล้วขนลุกซู่ สติบอกว่า “ ให้ระวัง” ดิฉันรู้ทันทีเลยว่าเขามาตามคำสาบาน ขณะนั้นเวลาประมาณ ๗ โมงเช้า สามีออกไปทำงานแล้ว ดิฉันอยู่บ้านกับแมวนึกกลัว ก็เลยนั่งสวดอิติปิโสอยู่หน้าจอโทรทัศน์ ( แต่ไม่ได้เปิดทีวี ) สวดได้ประมาณ ๗ จบ แมวทำแจกันหล่น จึงลุกขึ้นเดินไปเก็บแจกัน ทันใดนั้นเสียงฟ้าผ่าก็ดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นที่บ้าน ควันมืดไปทั้งบ้าน เดชะบุญที่สติยังพอมี ดิฉันกำหนด “ ตกใจหนอ ตกใจหนอ ” อยู่หลายครั้ง สายฟ้านี้ช่างรุนแรงจริง ตู้ไหม้เกรียม ปลั๊กไฟกระเด็นไปไกลทีเดียว ส่วนดิฉันรอดได้แบบปาฎิหาริย์

    วันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๔๘ ดิฉันกับสามีเดินทางจากยโสธรจะมุ่งหน้าไปสิงห์บุรีเพื่อไปวัดอัมพวัน ไปร่วมโครงการปฎิบัติธรรมถวายหลวงพ่อ เวลาประมาณ ๔ ทุ่ม เมื่อไปถึงด่านเก็บเงินปากช่อง ตอนนั้นดิฉันเป็นคนขับรถ ได้ขับไปชนรถน้ำมันที่จอดอยู่ข้างถนน รถเละทั้งคัน งัดออกอยู่ตั้งนาน เสียงคนถามว่าตายกี่ศพ เมื่อออกมาได้ ดิฉันไม่มีแผลแม้แต่นิดเดียว แม้แต่รอยถลอกก็ไม่มี ส่วนสามีมีรอยบาดแผลจากเข็มขัดนิรภัย คลาดแคล้ว ปลอดภัย เพราะเข็มกลัดรูปหลวงพ่อที่พี่ตะลุ่มจัดทำมามอบให้คณะปฎิบัติธรรม ดิฉันจะกลัดติดตัวประจำ พร้อมทั้งห้อยคอด้วยเหรียญหลวงพ่อ นับเป็นบุญที่รอดตายมาได้ ด้วยบารมีพระเดชพระคุณหลวงพ่ออย่างแท้จริง
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,346
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    (cont.)
    เรื่องที่ ๕ ซื้อบ้าน
    ลูกชายได้มายึดอาชีพทำมาหากินที่กรุงเทพ ฯ เช่าบ้านอยู่ ดิฉันไม่เคยใส่ใจนัก เมื่อมีหลานคนแรกความใส่ใจเกิดขึ้น อธิษฐานขอให้ลูกได้ทีบ้านที่กรุงเทพฯ ได้บ้านถูกใจหลังหนึ่งราคาพอประมาณ สภาพดีมาก วางเงินจำนวนหนึ่ง และขอเข้าอยู่ในบ้าน นัดทำสัญญาจ่าย้งินกัน ดิฉัน เข้าปฎิบัติธรรมที่วัด อธิษฐานขอให้เจ้าหน้าที่ธนาคารที่ขอกู้ซื้อบ้านไว้มีความสุข และอนุมัติเงินกู้ให้แก่ลูกชายด้วยเถิด สวดมนต์ภาวนา อธิษฐานขอเรื่องบ้านอยู่ตลอดเวลา เมื่อธนาคารแจ้งว่าไม่ผ่านการอนุมัติ พวกเราแทบช็อค เพราะใกล้จะถึงวันสัญญาจ่ายเงินแล้ว เราต้องย้ายออกจากบ้านไปต้องเสียเงินที่จ่ายล่วงหน้า เป็นทุกข์มาก

    ดิฉันตัดสินใจโทรศัพท์หาคุรนิรันดร์ที่วัดอัมพวัน เล่าเรื่องธนาคารไม่อนุมัติเงินซื้อบ้านให้แก่ลูกชาย คุรนิรันดร์ให้คำแนะนำพร้อมทั้งหมายเลขโทรสาร จำได้ว่าเป็นวันที่ ๔ พ.ย ๒๕๔๘ ดิฉันได้แฟกซ์โฉนด พร้อมรายละเอียดต่างๆ ถึงหลวงพ่อ ซึ่งอันที่จริงแล้วมาอยากรบกวนพระเดชพระคุณหลวงพ่อเลยแม้แต่นิด เหตุเพราะสุดปัญญาแล้ว อยู่ ๆ ก็ได้รับโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่ธนาคารให้ไปเขียนอุทธรณ์เรื่องบ้านและวันที่ ๑๐ พ.ย ๒๕๔๘ ธนาคารก็อนุมัติเงินกู้ซื้อบ้าน ซึ่งเป็นบ้านแห่งบุญที่พวกเราได้พักพิงอยู่ในขณะนี้อย่างมีความสุข บุญคุณใหญ่หลวงนัก ได้แต่ภาวนาอธิษฐานขออำนาจบารมีพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ได้โปรดอภิบาลคุ้มครองให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อมีความสุข อายุยืนนานตราบนานเท่านาน

    สัจจะในการดำรงชีวิตในปัจจุบันคือ จะก้มหน้าก้มตาใช้กรรมเก่าที่เคยกระทำไว้ ส่วนกรรมใหม่จะไม่สร้างอย่างเด็ดขาด
    คณะผู้จัดทำ http://www.jarun.org/contact-webmaster.html

    หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่เป็นธรรมทานเพื่ออุทิศส่วนกุศล ให้แก่ บรรพบุรุษ บิดา มารดา ญาติสนิท มิตรสหาย ผู้มีพระคุณ ครูอุปัชฌาย์ อาจารย์ เจ้ากรรมนายเวรทุกภพ ทุกชาติ
    :- https://rulesofkarma.wordpress.com/๒๐๖-กรรมจัดสรร/
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,346
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    วิธีแก้กรรมตนเอง ให้เกิดผลดีกับชีวิต พ้นทุกข์
    "กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนอง" สํานวนสุภาษิตนี้คล้ายคลึงกับการ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ตามหลักทางพุทธศาสนา เชื่อกันว่ามนุษย์ทุกคนล้วนมีกรรมเป็นของตนเอง เมื่อทำให้ผู้ใดเจ็บปวดย่อมต้องได้รับผลของกรรมนั้นกลับคืน ซึ่งวิบากกรรมของแต่ละคนล้วนแตกต่างกันออกไป บางคนป่วยไม่ทราบสามารถ บางคนลำบาก บางคนตกงานบ่อย วิบากกรรมนี้ตามมาหลายภพหลายชาติ ซึ่งมีส่วนทำให้เราเกิดมาแตกต่างกัน
    กรรม คือ การกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา ทั้งในอดีตชาติ หรือในปัจจุบันก็ล้วนเป็นกรรมทั้งสิ้น ซึ่งสิ่งเหล่านั้นมีผลกระทบต่อปัจจุบันและอนาคต ใครทำกรรมใดไว้ กรรมนั้นย่อมไปตกอยู่ที่ผู้กระทำ ไม่มีใครหลุดพ้นหรือหนีจากกฎแห่งกรรมได้ วิบากกรรมของแต่ละคนก็แตกต่างกัน บางคนว่างงาน บางคนไม่ประสบความสำเร็จกับการงาน ครอบครัวมีเหตุต้องทะเลาะกันเสมอ มีปัญหากับคนรักเป็นระยะๆ สร้างความทุกข์ให้กับตนเองอย่างมากมายมหาศาล

    ดังนั้นวิธีการแก้กรรมให้ตัวเองจึงมีมากมาย แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละบุคคลหนทางในการบรรเทาวิบากกรรมนั้นมี ซึ่งอาจทำได้หลายวิธีถ้าเจ้ากรรมนายเวรจากส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายบริเวณที่เจ็บปวดได้อโหสิกรรม จะหายเจ็บป่วยทันที กรรมนี้จะเบาบางและชีวิตจะดีขึ้น โดยสังเกตจากตัวเราว่า มีสิ่งที่ดีเข้ามามากขึ้นที่ป่วย ก็จะหาย ที่จนก็จะเริ่มมี แสดงว่าเราเริ่มมีบุญแล้ว หากกรรมยังเยอะ ก็ยังลำบากอยู่
    วิธีการแก้กรรม ไม่ว่าจะเป็นการทำบุญ เช่น การใส่บาตร ถือศีล กินเจ ช่วยผู้ที่เดือดร้อน ถวายสังฆทาน สวดมนต์ กราบบิดามารดา ล้วนเป็นมหากุศล การทำบุญให้อธิษฐานจิตทุกครั้ง เพื่อนำส่งบุญให้ตัวเอง มีชีวิตที่ดีขึ้น เจริญขึ้น ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนเป็นกุศลและเป็นบุญทั้งสิ้น ให้ "ตั้งนะโม 3 จบ"

    ข้าพเจ้า…..ชื่อตัวเอง…..นามสกุล………เกิดวันที่……….วันนี้ข้าพเจ้าขอตั้งจิตถึงบารมีสิ่งศักดิ์ทั่วสากลโลก รวมถึงองค์เทพองค์พรหมที่ปกปักษ์รักษากาย สังขาร วิญญาณลูกอยู่ วันนี้ลูกตั้งจิตถวาย……บุญที่ทำ……..ลูกขอถวายบุญกุศลนี้แก่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ รวมถึงองค์เทพองค์พรหมทั้งหลายให้มีพระบารมีมากขึ้น และขอให้ทุกๆพระองค์นำส่งบุญให้ลูกเจริญขึ้นทั้งการงาน การเงิน และความรัก ให้ลูกมีเดช ปัญญา โภคะ ทุกภพทุกชาติ และขออุทิศบุญกุศลนี้ให้กับเจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติ ปัจจุบันชาติ รวมถึงวิญญาณที่ตามมา และ(วิญญาณโปร่งใส)ทุกผู้ทุกคน ศัตรูหมู่มาร มนุษย์ บริวาร ญาติ มิตร คนรับใช้ สามี ภรรยา บุตรธิดา ทุกภพทุกชาติ ขอให้ได้รับมหากุสลนี้ และอโหสิกรรมซึ่งกันและกัน ให้ขาดจากกัน ณ เดี๋ยวนี้บัดนี้เถอะ สาธุ ขอให้ข้าพเจ้ามีบารมีสูงขึ้น สูงขึ้น สูงขึ้น เต็มขึ้น เพื่อช่วยสังคมให้สูงขึ้น และสร้างคนให้เป็นพระต่อไป และให้เกิดปัญญาทางธรรม เกิดปัญญาทางโลกทุกคน สมบูรณ์พูนผลทุกอย่างด้วยบุญที่ทำ สาธุ….
    ทั้งนี้ก็ต้องหมั่นทำความดี ทำบุญตักบาตร เข้าวัดฟังธรรม ช่วยเหลือผู้อื่นไปด้วยจึงจะเป็นการสร้างกรรมดีให้เกิดขึ้นกับตัวเราเอง การที่เรามีจิตใจดี หรือตั้งใจดี ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนเป็นกุศล และเป็นบุญทั้งสิ้น
    :- https://www.sanook.com/horoscope/104853/

     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,346
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    อาจารย์ยอด : กรรมเป็นมรดก [กรรม]

    อาจารย์ยอด
    121,167 views Aug 7, 2023
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,346
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    อาจารย์ยอด : รวยก็ทุกข์ จนก็ทุกข์ [กรรม]

    อาจารย์ยอด
    Nov 12, 2023
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,346
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,346
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,346
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    "เกิดมาก่อกรรม หรือใช้หนี้กรรม" วิสัชนาธรรมครั้งที่ ๑๑๘ พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

    Dr.V Channel
    Aug 20, 2023

    "เกิดมาก่อกรรม หรือใช้หนี้กรรม" วิสัชนาธรรมครั้งที่ ๑๑๘ พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
    ได้ยินบ่อยที่คนมักจะพูดว่า “เกิดมาเพื่อใช้หนี้กรรม” แต่ในหลักพระพุทธศาสนา ไม่ได้สอนให้ก้มหน้าก้มตายอมรับกรรมแต่เพียงอย่างเดียว ยังสอนให้เราสร้างกรรมใหม่ เพื่อเปลี่ยนแปลงผลของกรรมด้วย
    วันนี้เรามาศึกษาเรื่อง “กรรม” ซึ่งเป็นประเด็นหลักในศาสนาของเรากันนะครับ
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,346
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,346
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,346
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,346
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,346
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    กฎแห่งกรรมคือปัญหาของสังคมไทย?
    ดร. นพ.มโน เลาหวณิช ผู้อำนวยการ สถาบันคานธี อาจารย์ประจำวิทยาลัยนวัตกรรม ม.รังสิต

    thaipublica-กฎแห่งกรรม-02-620x349.jpg

    ชาวพุทธในประเทศไทย เมียนมา สปป.ลาว กัมพูชา และศรีลังกา คุ้นชินกับการสอนเรื่อง “กฎแห่งกรรม” ตั้งแต่อ้อนแต่ออกและพระขึ้นเทศน์สอนคู่กับการสอนเรื่องพุทธประวัติ และให้ชาวพุทธมีความเชื่อว่าเจ้าชายสิทธัตถะ ตรัสรู้ออกบวชได้ก็เพราะทรงบำเพ็ญบารมีมามากในอดีต นับด้วยสี่อสงไขยแสนมหากัลป์ เป็นเรื่องที่ฟังแล้วสอดคล้องกับชาดกนับร้อยเรื่องที่ให้เชื่อในกฎแห่งกรรม

    เหมือนกับว่า “กฎแห่งกรรม” นั้นเหมือนกับกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในวิชาวิทยาศาสตร์ เหมือนแรงดึงดูดของโลก ไม่ว่าใครทำอะไรไว้ ในที่สุดก็ต้องได้รับผลของกรรมนั้นเสมอไป ไม่มีข้อยกเว้น แม้กระทั่งพระพุทธเจ้าเอง ก็ต้องรับกรรม เช่น ถูกพระเทวทัตต์ปองร้ายกลิ้งหินลงมาเพื่อประทุษร้ายพระองค์จากภูเขาสูง จนหินก้อนใหญ่นั้นแตกออกเป็นเศษเล็ก ๆ ทำให้พระองค์บาดเจ็บห้อพระโลหิตที่ขาเป็นต้น เหตุการณ์ในพุทธประวัติและชาดกต่าง ๆ ล้วนสอดคล้องกันจนทำให้ชาวพุทธเชื่อกันว่า กฎแห่งกรรมนั้นมีจริง ศักดิ์สิทธิ์จริง และเป็นสัจธรรมที่ไม่มีผู้ใดบังอาจที่จะท้าทายได้ เป็นคำสอนหลักในพระพุทธศาสนา

    แม้ในพระไตรปิฎกเองก็มีพุทธภาษิตที่พระพุทธเจ้าทรงแนะให้ชาวพุทธคำนึกอยู่บ่อย ๆ ว่า “ยํ กมฺมํ กริสฺสนฺติฯ” (ใครทำกรรมได้ไว้) “ตสฺส ทายาทา ภวิสฺสนฺติฯ” (ย่อมเป็นทายาทแห่งกรรมนั้น) ซึ่งชาวพุทธทั้งภิกษุและฆราวาสท่องกันเป็นประจำ

    แม้ในคัมภีร์ชั้นอรรถกถาขยายความ “ธรรมบท” (ธมฺมปทฺถกถา) ซึ่งเป็นคัมภีร์หลักที่พระเณรร่ำเรียนกันทั้งแผ่นดิน ตอกย้ำความเชื่อในกฎแห่งกรรม คัมภีร์นี้มีอยู่ด้วยกัน 8 เล่ม ทั้งหมดมีเรื่องราวที่ว่าด้วยการส่งผลแห่งกรรม ให้ชาวพุทธเชื่อว่า กรรมย่อมส่งผลแก่ผู้กระทำกรรมนั้นอย่างแน่นอน ไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้า ขึ้นอยู่กับเจตนาในการทำกรรมนั้นว่า มีเจตนาแรงกล้าเพียงใด มีการตริตรองมาก่อนหรือไม่ หากมีเจตนาที่กล้าแข็งเตรียมการมาอย่างดี ย่อมส่งผลให้ชีวิตในวัยเด็กมีความสุข หากไม่ได้ตั้งใจกระทำชีวิตในวัยเด็กก็จะลุ่ม ๆ ดอน ๆ หากผู้ใดเกิดมาในครอบครัวที่ยากจนแต่ต่อมาร่ำรวยก็เพราะเหตุดังกล่าว แต่ถ้าบั้นปลายในชีวิตประสบความสำเร็จก็แสดงว่าเมื่อทำบุญเสร็จสิ้นไปแล้ว มีการนึกยินดีกับบุญที่ตนเองกระทำ ไม่เกิดความคิดเสียดาย หากทำบุญไปแล้วเกิดความเสียดายก็จะทำให้บุญนั้นไม่ส่งผลให้บั้นปลายในชีวิตมีความสุข ต้องลุ่ม ๆ ดอน ๆ ต่อไป

    ในคัมภีร์ธมฺมปทฺถกถานี้เองมีเรื่องของนายทุคตะ ซึ่งยากจนข้นแค้น มีผ้านุ่งอยู่เพียงผืนเดียว คิดที่จะถวายเป็นทานแก่พระพุทธเจ้าตั้งแต่หัวค่ำก็เสียดายไม่ทำ ต่อมายามดึกก็ยังไม่ทำเพราะเสียดาย มาตัดสินใจเด็ดขาดยกผ้าผืนเดียวที่ตนสรวมใส่อยู่นั้นถวาย ปรากฏว่าได้บุญมาก ขุมทองปรากฏที่บ้านของตนในคืนนั้นเลย นายทุคตะกลายเป็นคนร่ำรวยขึ้นมาเพราะทำบุญกับพระพุทธเจ้า ผู้เป็นเนื้อนาบุญอันประเสริฐที่สุดในโลก เรื่องราวของนายทุคตะนี้กลายเป็นเรื่องที่พระนักเทศน์มักหยิบยกขึ้นมาเทศน์บอกบุญญาติโยม เป็นเครื่องมือใช้ในการบอกบุญได้อย่างดี พระนักเทศน์ก็ได้เงินทำบุญมาก ญาติโยมก็ดีใจเพราะเชื่อว่าตนเองได้บุญมากเช่นกัน

    ปัญหาสำคัญของการเรียนการสอนเปรียญธรรมบาลีในประเทศไทย คือไม่มีการสอนพระไตรปิฎกกันเลย ตั้งแต่ประโยค ๑ ถึง ประโยค ๙ นักเรียนบาลี เล่าเรียนกันเฉพาะคัมภีร์ชั้นอรรถกถาเท่านั้น ไม่มีการแปลพระสูตรหรือพระวินัยเลย ซึ่งแตกต่างกับชาติอื่น ๆ หากมีการเรียนพระวินัย จะทราบว่าเรื่องการทำบุญของนายทุคตะนั้นย้อนแย้งกับพระวินัย ซึ่งมีเรื่องของหญิงหม้ายกับลูกสาวที่มีศรัทธาในพุทธศาสนามาก ใส่บาตรทุกวันแม้ว่าจะไม่มีข้าวกินก็ตาม พระพุทธองค์จึงมีบัญญัติให้เป็นครอบครัวที่คณะสงฆ์ยกไว้ ไม่ไปรับอาหารบิณฑบาต เพราะจะเป็นการซ้ำเติมให้ยากจนไปกว่านี้อีก คัมภีร์ชั้นอรรถกถานั้นไทยและพม่าต่างรับมาจากวัดมหาวิหารวัดเดียว ซึ่งในขณะนั้นกำลังระดมทุนเพื่อมาสร้างวัด จึงเต็มไปด้วยนิทานที่สอนอานิสงส์ของการทำบุญและตอกย้ำให้เชื่อในกฎแห่งกรรมเป็นหลัก เพื่อให้ญาติโยมทำบุญกันให้มากนั่นเอง

    ในประเทศไทยคุณ ท.เลียงพิบูลย์ ได้จัดพิมพ์หนังสือชุด “กฎแห่งกรรม” โดยรวบรวมเรื่องราวที่ประชาชนส่งมาให้จากทั่วประเทศ พิมพ์ออกเป็นระยะ ๆ เป็นหนังสือขายดีที่ชาวพุทธไทยจำนวนมากอ่านด้วยความศรัทธา เพื่อให้ชาวพุทธไทยเกรงกลัวการกระทำความชั่ว และมุ่งที่จะทำแต่ความดี ต่อมาได้มีการนำเรื่องราวให้หนังสือกฎแห่งกรรมอ่านออกอากาศทางวิทยุ หรือแม้ทำเป็นภาพยนตร์ออกฉายทางโทรทัศน์ก็มีมาแล้ว วัดที่ร่ำรวยบางวัดสอนเป็นหลักสูตรประจำเช่นสถานีโทรทัศน์ DMC ในรายการ “อนุบาลฝันในฝันวิทยา” โดยมี พระเทพญาณมหามุนี (ครูไม่ใหญ่) เป็นพระอาจารย์สอนประจำ มีการสอนเรื่องกฎแห่งกรรม มีกรณีศึกษามากมาย จนแม้กระทั่งการพยากรณ์การไปเกิดมาเกิดของสัตว์ เช่น พยากรณ์ว่า “สตีฟ จอบส์ตายแล้วไปไหน?”

    เป็นที่น่าสังเกตว่าวัดใดที่สอนเรื่องกฎแห่งกรรม วัดนั้นร่ำรวยเสมอ จนวัดบางแห่งมีความละโมบมากถึงกับประกาศ “ปิดบัญชีโลก เปิดบัญชีสวรรค์” ชักชวนให้สาวกที่งมงายทำบุญกันจนหมดตัว ฆ่าตัวตายกันมามากต่อมากแล้ว ด้วยความเชื่อว่า “สงฆ์คือบุญเขตอันเยี่ยม” พระภิกษุจึงกลายเป็นนักธุรกิจไปเสียเอง เกิดการสะสมเงินทองเป็นนักลงทุนกันเป็นจำนวนมาก

    โดยเผิน ๆ ความเชื่อเรื่อง “กฎแห่งกรรม” นั้นตั้งอยู่บนหลักการที่ว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” (กลฺยาณการี กลฺยาณํ ปาปการี ปาปกํฯ) จนทำให้ชาวพุทธเถรวาทเชื่อกันว่ากฎแห่งกรรมคือคำสอนหลักในพระพุทธศาสนา และเชื่อในหลักไตรสิกขาที่ว่า “ทาน-ศีล-ภาวนา” โดยหลักการที่ว่า “ทาน” เป็นไปเพื่อการละความโลภ “ศีล” เป็นไปเพื่อการละความโกรธ และ “ภาวนา” เป็นไปเพื่อการละความหลง

    อันที่จริงพุทธภาษิตที่ว่า กลฺยาณการี กลฺยาณํ ปาปการี ปาปกํฯ ที่แปลกันต่อ ๆ มาในประเทศไทยว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วนั้น” ไม่ถูกต้อง “กลฺยาณ” แปลว่า “งาม” “กลฺยาณการี” แปลตรงตัวว่า “ผู้สร้างความงาม” หากแปลภาษิตนี้กันตรง ๆ จะได้ความว่า “ผู้ที่สร้างความงาม งาม ผู้ทำสร้างบาป บาป” ไม่เกี่ยวอะไรกับทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วเลย”

    แม้นภาษิตที่ชาวพุทธท่องกันขึ้นใจว่า ““ยํ กมฺมํ กริสฺสนฺติฯ” (ใครทำกรรมได้ไว้) “ตสฺส ทายาทา ภวิสฺสนฺติฯ” (ย่อมเป็นทายาทแห่งกรรมนั้น) การเป็น “ทายาท” ของ “กรรม” มิใช่หมายความว่าผู้ที่กระทำกรรมใด ๆ ไว้ จะต้องได้รับ ผลของกรรมนั้นเลย การที่บุคคลใดถูกระบุว่าเขาเป็น “ทายาท” ที่จะรับมรดก นั้นมิได้หมายความว่าเขาจะได้รับมรดกนั้น ๆ เสมอไป ทายาทจำนวนมากไม่ได้มรดกเลยก็เป็นได้ การถูกระบุไว้ว่าเป็น “ทายาท” นั้นเพิ่มโอกาสที่จะได้รับมรดกต่างหาก ทายาทจำนวนมากที่ไม่ได้รับผลหรือมรดกที่แม้มีพินัยกรรมเขียนไว้มีปรากฏอยู่ในทุกสังคม
     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,346
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    (ต่อ)
    การได้รับ “วิบาก” (ผลอันสุกงอมของกรรม) ย่อมขึ้นอยู่กับ “เหตุปัจจัย” ในการส่งผลของกรรมนั้น ๆ ซึ่งเป็นกลไกทางสังคมอีกส่วนหนึ่ง เช่น กฎหมาย สื่อมวลชน ประจักษ์พยาน และขั้วอำนาจในสังคม เป็นต้น

    เป็นที่น่าสนใจอย่างยิ่งว่า ท่านพุทธทาส ภิกฺขุ นั้นไม่สอน “กฎแห่งกรรม” เลย เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังนั้นย่อมไม่ใช่เพราะท่านไม่รู้ แต่น่าจะมาจากที่ “ท่านไม่เห็นด้วย” กับคำสอนนี้ต่างหาก และเป็นความจริงที่ในประเทศไทย และประเทศที่เชื่อใน “กฎแห่งกรรม” นั้น กฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์ จนเป็นการพูดล้อเลียนกฎแห่งกรรมว่า “ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป”

    ความเชื่อในกฎแห่งกรรมต่างหากที่ทำให้เกิดความงมงาย ทำให้ชาวพุทธเชื่อว่า “การทำบุญคือการลงทุนอย่างหนึ่ง” โดยนำตัวอย่างจากคัมภีร์อรรถกถาจารย์ขยายความ “ธรรมบท” (ธมฺมปทฺถกถา) ที่เขียนที่วัดมหาวิหาร ศรีลังกาเมื่อ พ.ศ. ๑๐๐๐ ว่าเป็นเรื่องจริงโดยที่ตนไม่นำมาเปรียบเทียบกับพระไตรปิฎกเสียก่อน จนทำให้ชาวพุทธรุ่นหลัง ๆ ทำบุญเพียงนิดเดียวก็จะได้ผลตอบแทนเป็นดอกผลมหาศาล ในชาตินี้หรือในชาติหน้าเป็นการลงทุนอย่างหนึ่งนั่นเอง เกิดเป็นลัทธิ “บ้าบุญ” ซึ่งได้รับการส่งเสริมด้วยพระภิกษุ เทศน์โปรดญาติโยมให้ทำบุญกันให้มาก ๆ เพื่อจะได้ร่ำรวยมากยิ่งขึ้นในชาติหน้า

    บันทึกของชาวปอตุเกสเล่าถึงศรีลังกาเมืองศตวรรษที่ 15 ว่า ชาวศรีลังกาในยุคนั้นยากจนมาก เพราะกว่าครึ่งของพื้นที่ใช้เพราะปลูกได้เป็นของพระหรือของวัดไปหมด ราษฎรส่วนใหญ่ของประเทศจึงไม่มีที่ทำกิน เหตุเพราะชาวพุทธมีศรัทธายกที่ดินของตนทำบุญให้พระหรือให้วัดเกือบทั้งเกาะ

    แม้ในพม่าก็เช่นเดียวกันในศตวรรษที่ 17 กษัตริย์พม่าต้องเวรคืนที่วัดมาให้ราษฎรทำนากันมาก เพราะชาวพุทธเชื่อในเรื่องการทำบุญ ยกที่นาถวายให้วัดหรือคณะสงฆ์กันมาก จนไม่มีที่ทำกินกันมากต่อมากแล้วเพราะอำนาจ “ลัทธิบ้าบุญ”

    ความเชื่อในกฎแห่งกรรมนอกจากทำให้วัดรวยและพระรวยกันมากต่อมากแล้ว ยังทำให้กฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย เพราะชาวพุทธที่เชื่อในกฎแห่งกรรม เชื่ออย่างบริสุทธ์ใจว่า “ตนเองไม่ต้องทำอะไร กรรมเก่าตามทันเอง” กฎแห่งกรรมจึงทำหน้าที่เหมือนหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้า ให้คุณให้โทษกับใครก็ได้ ด้วยความเชื่อว่า “โลกนั้นยุติธรรมเสมอ”

    ชาวพุทธจึงมองไม่เห็นบทบาทของตนเองในการให้คุณให้โทษผู้อื่นในสังคมและเกิดลัทธิอนุรักษ์นิยมอย่างสุดโต่ง โดยเชื่อด้วยความบริสุทธิ์ใจว่า “กรรมเก่า” ย่อมเล่นงานคนที่กระทำความผิดเสมอโดยที่ตนเองไม่ต้องทำอะไร ความมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการในกระบวนการยุติธรรมหรือระบบการบริหารบ้านเมืองจึงไม่มี

    กฎแห่งกรรมตอกย้ำความเห็นที่ว่า “โลกนี้ยุติธรรมเสมอ” “ความสำเร็จมาจากบุญเก่า” “ความล้มเหลวมาจากกรรมเก่า” เมื่อเห็นคนร่ำรวยมีอำนาจวาสนา ผู้ที่เชื่อในกฎแห่งกรรม ย่อมตีความว่า คน ๆ นี้ทำบุญมาดีจากชาติปางก่อน หากพบคนยากจนก็นึกว่าคน ๆ นี้ทำบุญมาน้อย หากนักเลงใหญ่ลงเลือกตั้ง แม้จะเป็นใหญ่ด้วยการซื้อเสียงก็บอกว่าเป็นเพราะบุญเก่า หากคน ๆ นี้ใช้เงินซื้อตำแหน่งอีก ได้เป็นรัฐมนตรี ก็บอกอีกว่าเป็นบุญเก่า ทั้ง ๆ ที่สังคมทราบกันดีว่าคน ๆ นี้เป็นคนไม่ดีเป็นนักเลงหัวไม้

    ในทางตรงข้ามหากพบคนที่ถูกรถชนขาหักก็บอกว่ากรรมเก่าตามมาทัน จึงต้องขาหัก โดยสรุปคือ ตรรกะของกฎแห่งกรรมคือเอาเหตุการณ์ในอดีตมาอธิบายเหตุการณ์ที่เห็นในปัจจุบันและทำให้เกิดการปล่อยวาง เห็นว่าเหตุการณ์เหล่านั้นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตน ด้วยความเชื่อว่าทุกอย่างเกิดมาจากกรรมทั้งหมด มนุษย์แต่ละคนเกิดมาทำเพื่อตนเองเท่านั้น ใครอยากจะร่ำรวยประสบความสำเร็จก็ต้องเข้าวัดทำบุญให้มาก แล้วอธิษฐานให้มั่งมีศรีสุข หากต้องการแก้ทุกข์ก็ให้เข้าวัดทำบุญอธิษฐานให้ตนเองพ้นจากเคราะห์กรรม ด้วยความเชื่อที่ว่าทุกอย่างมากจากกรรมเก่าทั้งสิ้น

    ผลของลัทธิ “กรรมนิยม” นี้ทำให้ชาวพุทธในประเทศไทยและประเทศที่นับถือพุทธแบบเถรวาทเป็น “พุทธเฉย” เสียส่วนมาก ทั้ง ๆ ที่มีวินิจฉัยรู้ดีเรื่องผิดชอบชั่วดี แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในสังคม ชาวพุทธเฉยเหล่านี้ย่อมไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว เพราะเชื่อด้วยความบริสุทธิ์ใจว่า ทุกอย่างมาจากกรรมเก่า ทั้งสิ้น การพัฒนาบ้านเมืองจึงทำได้ยาก เพราะชาวพุทธเหล่านี้มองไม่เห็นบทบาทของตนเอง

    นักเลงอันธพาลทั้งหลายชอบ “พุทธเฉย” เหล่านี้ เพราะทำความชั่วไว้เพียงไรก็ตาม คนส่วนใหญ่ก็เฉยไม่มีใครเอาเรื่องเอาราวกับตน ทำให้อาชญากรในประเทศได้ใจ คิดว่าตนเองเก่งไม่มีใครกล้ามายุ่งกับตนเอง หากเป็นนักการเมืองที่ฉ้อราษฎร์บังหลวงด้วยแล้ว ยิ่งได้ใจมากยิ่งขึ้น

    ในทางตรงกันข้ามผู้ที่ต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม หรือ ต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนทั้งหลาย คนเหล่านี้ต้องการการสนับสนุนจากสังคม เพื่อแก้ไขกฎหมาย เอาชนะผู้มีอิทธิพลในสังคม กลับไม่ได้กำลังใจอะไร หากต่อสู้ชนะก็ถูกมองว่าเป็นเรื่องของบุญเก่า ถ้าแพ้ก็ถือว่าเป็นกรรมเก่า

    เมื่อเป็นเช่นนี้สังคมไทยและประเทศที่นับถือพุทธเถรวาทย่อมเกิดปรากฏการณ์ที่กฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์ ความเหลื่อมล้ำทางสังคมสูง การฉ้อราษฎร์บังหลวงทั้งฝ่ายข้าราชการและนักการเมืองจึงกระจายไปทั่วทุกหย่อมหญ้า คนที่ทำความดีกับสังคมกลับไม่ได้ผลดี คนที่ทำความชั่วกลับได้รับการยกย่องเชิดชู กฎแห่งกรรมจึงสร้างปัญหาแก่สังคมมากมาย ทำให้พระพุทธศาสนาเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาสังคม ไม่ใช่ทางออกของปัญหา

    อันที่จริงแล้วมนุษย์ทุกคนล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการส่งผลของกรรม เป็นต้นว่า เราเห็นคนทำความดีในสังคม เราก็นำมาโพสต์ในเฟซบุ๊ก หรือโซเชียลมีเดีย กรรมดีของคน ๆ นั้นก็ถือว่าส่งผลแล้วไม่ต้องรอไปถึงชาติหน้า การส่งผลของกรรมจึงขึ้นอยู่กับเงื่อนไขทางสังคมและสำนึกทางสังคมนั่นเอง

    การปฏิรูปการบริหารการปกครองจึงจำเป็นต้องปฏิรูปการตีความ “กฎแห่งกรรม” ให้ตรงกับคำสอนดั้งเดิมของพระพุทธเจ้าเสียก่อน ไม่ใช่ตีความตามอรรถกถา หรือ ตามที่พระเทศน์สอนกันในวัดแล้วแวะให้ทำบุญกันมาก ๆ จนพระคุณเจ้าร่ำรวยมีเงินเป็นเจ้าสัวกันมามากต่อมากแล้วครับ!!

    IMG_9443มโน-thaipublica-620x215.jpg
    :- https://thaipublica.org/2021/03/mano-laohavanich06/
     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,346
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    อาจารย์ยอด : ปลูกเรือนผิด คิดจนตัวตาย [กรรม]

    อาจารย์ยอด
    Feb 19, 2024
     
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,346
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,346
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    กรรมที่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอน
    พระไพศาล วิสาโล
    ทุกวันนี้มีความเชื่อที่แพร่หลายในหมู่คนจำนวนไม่น้อยว่า ความเจ็บป่วยนั้นเป็นผลจากกรรมไม่ดีในอดีต ใครก็ตามที่ล้มป่วยแสดงว่าเขากำลังรับกรรม แพทย์และพยาบาลจึงไม่ควรเยียวยารักษาผู้ป่วยมากนัก เพื่อให้เขาใช้กรรมให้หมดในชาตินี้

    น่าเป็นห่วงก็ตรงที่แพทย์และพยาบาลจำนวนไม่น้อยเชื่อเรื่องนี้อย่างจริงจัง บางคนเชื่อถึงขั้นว่าหากช่วยเหลือคนไข้ที่ป่วยหนักให้รอดพ้นจากความตาย หรือช่วยดูแลคนไข้ระยะสุดท้ายไม่ให้ทุกข์ทรมาน เจ้ากรรมนายเวรของคนนั้นจะไม่พอใจ และอาจมาแก้แค้นเอากับแพทย์และพยาบาล ทำให้เกิดความเดือดร้อนตามมา หลายคนจึงรู้สึกลังเลที่จะช่วยผู้ป่วยเหล่านั้น ที่เมินเฉยหรือทำไปอย่างแกน ๆ ก็คงมีไม่น้อย

    น่าสังเกตว่าคนที่มีความเชื่อดังกล่าวมักเป็นผู้ที่สนใจธรรมะ ชอบเข้าวัดทำบุญรักษาศีล หรือเป็นนักปฏิบัติธรรม คงเพราะเข้าใจว่าความเชื่อเช่นนี้เป็นคำสอนของพระพุทธองค์ ทั้ง ๆ ที่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่

    ไม่ใช่แต่ความเจ็บป่วยเท่านั้น เมื่อเกิดเหตุร้ายต่าง ๆ ขึ้นมา ชาวพุทธจำนวนไม่น้อยมักคิดว่านั่นเป็นผลจากกรรมเก่าในอดีตชาติสถานเดียว แต่ที่จริงนี้เป็นความคิดที่พระพุทธองค์ปฏิเสธ จัดว่าเป็นลัทธินอกพระพุทธศาสนาอย่างหนึ่ง มีชื่อเรียกเฉพาะว่า ปุพเพกตเหตุวาท หรือลัทธิกรรมเก่า

    ในสมัยพุทธกาล มีคนกลุ่มหนึ่งประกาศความเชื่อว่า “บุคคลได้เสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นสุขก็ตาม เป็นทุกข์ก็ตาม เวทนาทั้งหมดนั้น เป็นเพราะกรรมที่กระทำไว้ในปางก่อน” พระพุทธองค์ได้ตรัสถึงคนกลุ่มนี้ว่า “สมณพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่า แล่นไปไกลเกินสิ่งที่รู้กันได้ด้วยตนเอง แล่นไปไกลเกินสิ่งที่ชาวโลกรู้กันทั่วว่าเป็นความจริง ฉะนั้น เรากล่าวว่าเป็นความผิดของสมณพราหมณ์เหล่านั้นเอง”

    วิสัยของชาวพุทธย่อมไม่ด่วนสรุปว่าความเจ็บป่วยหรือทุกขเวทนานั้นเป็นเพราะกรรมเก่า ทั้งนี้เพราะมีเหตุปัจจัยต่าง ๆ มากมายที่ทำให้เกิดความเจ็บป่วย ดังพระองค์ได้แจกแจงว่า “เวทนาบางอย่างเกิดขึ้น มีดีเป็นสมุฏฐานก็มี...มีเสมหะเป็นสมุฏฐานก็มี...มีลมเป็นสมุฏฐานก็มี...มีการประชุมแห่งเหตุเป็นสมุฏฐานก็มี...เกิดจากความแปรปรวนแห่งอุตุก็มี...เกิดจากการบริหารตนไม่สม่ำเสมอก็มี...เกิดจากถูกทำร้ายก็มี...เกิดจากผลกรรมก็มี”

    จะเห็นได้ว่า “ผลกรรม”เป็นเพียงปัจจัยหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่สาเหตุเดียวที่ทำให้ผู้คนเจ็บป่วยหรือประสบทุกข์ อีกทั้งมิได้หมายความว่าเป็นผลกรรมในอดีตชาติเท่านั้น อาจเป็นผลกรรมในปัจจุบันชาติก็ได้ พึงสังเกตว่า พระพุทธองค์ไม่ได้ตรัสถึง “เจ้ากรรมนายเวร” เลย ทั้งนี้เพราะคำหรือแนวคิดดังกล่าวเกิดขึ้นในยุคหลัง (อาจเป็นยุคปัจจุบันนี้เอง) และถูกตีความให้ผิดเพี้ยนจนไกลจากหลักการของพุทธศาสนา

    เรื่องราวของเจ้าหญิงโรหิณีในสมัยพุทธกาลเป็นตัวอย่างที่สวนทางกับความเชื่อดังกล่าว เจ้าหญิงแห่งกรุงกบิลพัสดุ์ผู้นนี้มีโรคผิวหนังทั่วร่าง เมื่อพระอนุรุทธะ ซึ่งเป็นพระอรหันตสาวกและเป็นพี่ชายของเธอทราบความ ได้แนะนำให้เธอสร้างโรงฉัน ระหว่างที่กำลังก่อสร้างเธอมีศรัทธามากวาดพื้นให้สะอาดอยู่เสมอ ปรากฏว่าโรคผิวหนังของเธอก็หายไป เมื่อสร้างเสร็จ เธอก็นิมนต์พระสงฆ์โดยมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขมารับโภชนะอันประณีต

    เมื่อเสร็จภัตกิจ พระองค์ได้เรียกเจ้าหญิงโรหิณีมาเฝ้า และถามว่า โรคผิวหนังของเธอเกิดจากกรรมอะไร เธอตอบว่าไม่ทราบ พระองค์จึงตรัสว่า “โรคของเธอเกิดจากความโกรธ”

    พึงสังเกตว่า กรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นสาเหตุแห่งโรคผิวหนังของเจ้าหญิงโรหิณี มิใช่กรรมในอดีตชาติ แต่เป็นกรรมในปัจจุบันชาติ ความเจ้าอารมณ์ เป็นผู้มักโกรธของเธอ ส่งผลต่อสรีระของเธอ แต่เมื่อเธอได้บำเพ็ญบุญด้วยอัตถจริยา (กวาดพื้นโรงฉัน) จิตใจก็เกิดอิ่มเอิบปีติ แจ่มใสเบิกบาน โรคผิวหนังก็หายไป

    การเหมารวมว่าความเจ็บป่วยทั้งหลายเป็นผลจากกรรมในอดีตชาตินั้น แม้จะไม่ใช่ความคิดแบบพุทธ แต่จะไม่ก่อผลเสียมากนักหากว่าแพทย์และพยาบาลใส่ใจดูแลคนไข้อย่างเต็มที่ แต่ในความเป็นจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ แพทย์และพยาบาล รวมทั้งญาติพี่น้องที่มีความเชื่อดังกล่าว มักไม่เต็มใจที่จะดูแลคนไข้ ปล่อยให้เขาทุกข์ทรมานต่อไป ด้วยเหตุผลที่เป็นความหวังดี(อย่างผิด ๆ)ว่า เพื่อให้เขาใช้กรรมจนหมดในชาตินี้ ไม่ต้องรับกรรมอีกในชาติหน้า หรือด้วยเหตุผลที่เป็นความเห็นแก่ตัว คือเพื่อป้องกันไม่ให้เจ้ากรรมนายเวรของผู้ป่วยกลับมารังควานตนเอง

    จินตนาการได้ไม่ยากว่าหากความเชื่อดังกล่าวแพร่หลายไปทุกสถานพยาบาล จะเกิดอะไรขึ้นกับผู้ป่วย และหากความเชื่อดังกล่าวลามไปสู่ผู้คนทั่วทั้งสังคม จะเกิดอะไรขึ้นกับคนที่ประสบอุบัติเหตุ คนที่กำลังจมน้ำ คนที่กำลังถูกกระทำชำเรา หากผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์มองว่า ภัยที่กำลังเกิดกับคนเหล่านี้เป็นผลจากกรรมในอดีต ดังนั้นจึงควรปล่อยให้เขาใช้กรรมไป เราไม่ควรไปช่วยเหลือเขา เพราะจะกลายเป็นการแทรกแซงกรรม หรือทำให้เจ้ากรรมนายเวรของคนเหล่านั้นหันมาเล่นงานเราแทน

    เมืองไทยซึ่งใคร ๆ ชอบอ้างว่าเป็นเมืองพุทธ จะกลายเป็นนรกไปทันที หากผู้คนต่างนิ่งดูดาย ไร้น้ำใจต่อเพื่อนมนุษย์ซึ่งกำลังประสบทุกข์ภัยต่อหน้าต่อตา ด้วยเหตุผลเพียงเพราะไม่ต้องการแทรกแซงกรรมของเขา นี้เป็นตัวอย่างหนึ่งของความเข้าใจผิด ในเรื่องกรรม กฎแห่งกรรมที่พระพุทธเจ้านำมาสอนแก่ผู้คนนั้น จุดมุ่งหมายสำคัญก็เพื่อส่งเสริมให้ผู้คนทำความดี มีความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน หากผลที่ออกมากลับเป็นตรงกันข้าม คือผู้คนต่างไร้น้ำใจต่อกัน คิดถึงตนเองมากกว่าผู้อื่น ย่อมเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า มีความเข้าใจผิดพลาดเกิดขึ้นแล้วในเรื่องกฎแห่งกรรม
     
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,346
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    (ต่อ)
    ที่จริงหากใคร่ครวญอีกนิดก็จะพบว่า การนิ่งดูดาย ไม่ช่วยเหลือผู้ที่กำลังประสบทุกข์ต่อหน้าต่อตานั้น เป็นการสร้างกรรมอีกอย่างหนึ่ง และไม่ใช่กรรมดีด้วย กรรมดังกล่าวนี้แหละจะส่งผลเป็นวิบากต่อผู้นั้นในวันข้างหน้า อาทิเช่น เมื่อตนประสบเหตุร้าย ก็จะไม่มีใครช่วยเหลือ

    ใช่แต่เท่านั้นลองคิดต่อไปอีกหน่อยว่า หากผู้ประสบเคราะห์ ไม่ว่าผู้ป่วยหนัก ผู้ประสบอุบัติเหตุ หรือผู้ถูกกำลังถูกกระทำชำเรา เป็นพ่อแม่หรือลูกหลานญาติพี่น้องเพื่อนพ้องของเรา เราจะนิ่งดูดายด้วยเหตุผลว่าปล่อยให้เขาใช้กรรมไปหรือไม่ หากคำตอบคือไม่ควรนิ่งดูดาย เราก็ควรทำอย่างเดียวกันกับผู้อื่นด้วยเช่นกัน จึงจะเรียกว่าเป็นชาวพุทธที่แท้

    หากพระโพธิสัตว์ในอดีตชาติมีความเชื่ออย่างที่หลายคนเชื่อในเวลานี้ว่า ควรปล่อยให้ผู้ทุกข์ยากทั้งหลายใช้กรรมไป ไม่ควรช่วยเหลือ ท่านก็คงไม่ได้บำเพ็ญบารมีจนได้เป็นพระโพธิสัตว์ หรือสะสมบารมีจนกลายเป็นพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ในอดีตเสียสละอย่างยิ่งเพื่อผู้อื่น ไม่เลือกว่ามนุษย์หรือสัตว์ จนถึงกับเคยอุทิศร่างกายเป็นอาหารให้แก่แม่เสือที่กำลังหิวโซเพื่อรักษาชีวิตของลูกเสือไม่ให้ถูกกิน (ไม่มีความคิดอยู่ในหัวของท่านตอนนั้นเลยว่า ลูกเสือทำกรรมไม่ดีในอดีต จึงควรถูกแม่เสือกินเพื่อชดใช้กรรม) หากชาวพุทธเห็นความสำคัญของการบำเพ็ญบารมีเพื่อบรรลุธรรมขั้นสูงจนหลุดพ้นจากความทุกข์ ก็ควรถือเอาพระโพธิสัตว์เป็นแบบอย่างควบคู่กับพระจริยาของพระพุทธองค์
    :- https://visalo.org/article/jitvivat255708.html
     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,346
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046

แชร์หน้านี้

Loading...