เรื่องเด่น ปกิณกธรรมช่วงบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรม วันสงกรานต์ วันที่ ๑๒ - ๑๖ เมษายน ๒๕๖๘

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 21 เมษายน 2025.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,661
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,733
    ค่าพลัง:
    +26,601
    ทางด้านกรุงสุโขทัยจึงแต่งทูตมาเชิญพระเถระ ขึ้นไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่โน่น เราจะเห็นในศิลาจารึก ซึ่งเขียนเอาไว้ว่า "ปู่ครูทุกตนลุกมาแต่เมืองศรีธรรมราช"

    "ปู่ครู" ในที่นี้ก็คือ "พระสังฆราช" ก็แปลว่าสังฆราชของพระพุทธศาสนาของเราที่สุโขทัยทุกรูป ได้รับการอัญเชิญจากพระมหากษัตริย์ขึ้นไปจากนครศรีธรรมราชทั้งนั้น ไปรับตำแหน่ง ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่นั่น พอเผยแผ่แล้วก็กระจายกว้างออกมา บรรดาอาณาจักรใกล้เคียง ด้านบนเป็นล้านช้าง ล้านนา ด้านล่างก็ละโว้ อยุธยา จึงรับเอาวัฒนธรรมมาส่งต่อกันด้วยวิธีผจญภัยนี่เอง..!

    ถึงเวลาก็ข้ามไปข้ามมาค้าขายกัน อย่างเช่นถึงเวลานายฮ้อยต้อนควายมา มาทำลาบทำก้อยกิน คนเห็น เฮ้ย..อร่อยนี่หว่า..! ก็ทำตาม นี่แค่วัฒนธรรมอาหารอย่างเดียว อย่างอื่นก็แบบนี้เหมือนกัน

    พอถึงเวลาก็มีการไหว้ผี มีการไหว้พระ มีการสวดมนต์ คนเห็นสนใจเข้าไปสอบถาม พอเขาบอกเขากล่าวก็ศึกษาเล่าเรียนเอาไว้ ถ่ายทอดต่อ ๆ กันมา ปรับให้เข้ากับบริบท ก็คือความเป็นอยู่ของตน ไม่ได้เอามาทั้งหมด อะไรว่าดีกูเอาด้วย แต่ถ้าหากว่ายากกูไม่เอา เพราะฉะนั้น..วัฒนธรรมแต่ละอย่างก็เลยมีขาดมีเกิน แต่จะเห็นเค้าอย่างชัดเจนว่ามาจากไหน

    ทางประเทศอินเดียเขาถือว่าในช่วงนี้เป็นช่วงของความเจริญ ความรุ่งเรือง เขาก็เลยมีเทศกาลสงกรานต์ แต่เป็นการสงกรานต์ด้วยสี เรียกเทศกาลโฮลี ถึงเวลาเอาสีไปไล่สาดกัน น้ำก็ไม่ค่อยจะมีแล้วยังจะไปสาดสีใส่กันอีก คราวนี้จะไปล้างไปเช็ดกันอีท่าไหน ?

    ใครอยากเห็นสีที่เป็นสีจริง ๆ ให้ไปดูที่อินเดีย เนปาล แดงคือแดงแปร๊ดแสบตาเลย เหลืองก็เหลืองแจ๊ดไปเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาทำได้อย่างไร ? แต่บ้านเราทำไม่ได้ ลอง ๆ ไปดู เดิน ๆ ไปในตลาดน่ะ เขามีขาย อาตมาชอบเดินดูตลาด เป็นคนตื่นเช้า ถึงเวลาก็ท่อม ๆ ไปเรื่อย อาศัยความจำดี ถึงเวลาจำได้ว่าต้องกลับทางนี้ ต้องกลับทางโน้น จึงเดินดูไปเรื่อย

    บางทีคนอื่นที่เดินทางไปด้วยก็ไม่รู้หรอกว่ามีอะไรบ้าง แต่ของเราเดินดูไปครึ่งบ้านครึ่งเมืองแล้ว หลงทางก็ถามชาวบ้านเขา ชาวบ้านบอกไม่ได้ก็ถามผี ถามไปถามมา โดนพวกประท้วงว่า "ผมไม่ใช่ผีครับ" เออ..เข้าท่า ทำไมมาหน้าตาธรรมดา ๆ ? มาแบบนี้เราก็นึกว่าผี..ใช่ไหม ? จะเป็นเทพบุตรเทวธิดาก็มาให้หล่อ ๆ สวย ๆ หน่อย หรือกลัวคนขโมยสตางค์ก็ไม่รู้สินะ ?! มาถึงแต่งตัวมาเสียโทรมเชียว คงกลัวว่าจะแปลกแยกจากชาวบ้านเขา

    คราวนี้วัฒนธรรมพวกนี้พอมาถึงบ้านเรา บ้านเราน้ำเยอะ แต่สีหายาก ก็เลยมาสาดน้ำแทน โอ้โห..เข้ากับบริบทมากเลย กำลังร้อนอยู่พอดี เรื่องพวกนี้ก็เลยส่งผ่านกันไป ส่งผ่านกันมาแบบนี้
     
  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,661
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,733
    ค่าพลัง:
    +26,601
    แบบเดียวกับที่ญาติโยมหลายท่านตามอาตมภาพไป ไม่ว่าจะขึ้นไปทิเบต ขึ้นไปเนปาล ออกไปทางด้านสิกขิม แคชเมียร์ เลห์ ลาดัก ถึงเวลาเขาจะมีผ้ามาคล้องคอต้อนรับให้ ถ้าเป็นบ้านเราก็คือพวงมาลัยนั่นเอง

    แต่ที่บ้านเขาหนาวมาก ปีหนึ่งหนาวถึง ๘ - ๙ เดือน ดอกไม้หายากสุด ๆ เขาก็เลยปรับเอาผ้าที่เป็นของหายาก เพราะว่าทอมากับมือกว่าที่จะได้แต่ละผืน เอามามอบให้กับแขกหรือว่ามาต้อนรับแขก ในลักษณะที่ว่าให้ของดีให้ของแพงแสดงน้ำใจของเจ้าของที่ นี่คือการปรับวัฒนธรรม หาดอกไม้ไม่ได้แล้วจะไปเอาจากไหน ? จึงเปลี่ยนเป็นผ้าแทน บ้านเราหาสียาก สีแพงก็ใช้น้ำแทน

    สมัยก่อนเขาไม่เรียกว่าสี เขาเรียกว่า "รงค์" เคยได้ยินไหม ? บางอย่างที่เอามาทำสีได้เขาเรียก "รงควัตถุ" วัตถุสำหรับทำสี เอาง่าย ๆ เลยก็ สีน้ำเงินจากดอกอัญชัน สีส้มจากดอกฝ้ายคำ สีครามจากต้นคราม เป็นต้น

    สมัยอาตมภาพเด็ก ๆ ไม่มีคำว่าสีน้ำเงินนะ มีแต่ "สีขาบ" กับ "สีคราม" สีขาบก็คือสีฟ้าเข้มที่สมัยนี้เรียกว่าสีน้ำเงิน สีครามก็คือสีฟ้าอ่อน ส่วนประเภทสีฟ้าน้ำทะเล โอเชียนบลู (ocean blue) หรือสีเทอร์คอยส์ (turquoise) ไม่มี สีพวกนี้ตามฝรั่งมาทีหลัง สมัยนั้นมีแต่สีขาบกับสีคราม สมัยนี้ถ้าเรียกว่าสีขาบเราก็ไม่รู้จัก..ใช่ไหม ?

    อย่าง "สีกากี" นี่รู้จักกัน แต่ไม่รู้ว่าสีกากีมาจากไหน..ใช่ไหม ? "กากี" เป็นภาษาเปอร์เซียแปลว่า "สีน้ำตาล" คนไทยพอได้ยินว่าเขาเรียกกากี ก็เรียกกากีตามเขาไปด้วย บ้านเราเรียกสีน้ำตาล

    คราวนี้ปวดหัวอีกเพราะว่าน้ำตาลที่กินกันสีขาวจ๋องเลยนี่นา ? แล้วที่เรียกว่าสีน้ำตาลทำไมสีออกมาเป็นแบบนี้ ไม่เป็นสีขาว ? ก็คุณเกิดไม่ทัน สมัยก่อนน้ำตาลไม่ได้ฟอก เขากวนน้ำตาลมาจากอ้อยสีก็เลยออกมาเป็นสีแบบนั้น ดีไม่ดีไหม้หน่อยก็เป็นสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ เป็นสีช็อกโกแลตไปเลย ถ้าหากว่าใครฝีมือดี ๆ หน่อยใจเย็น ๆ ใช้ไฟอ่อน ๆ ค่อย ๆ กวนก็ออกมาเป็นสีน้ำตาลอ่อน นั่นคือสีของน้ำตาลจริง ๆ

    ปัจจุบันนี้ที่เห็นเป็นสีน้ำตาลทรายขาว ก็เพราะเขาฟอกสีแล้ว
    ถ้ากินเข้าไปเยอะ ๆ พร้อมที่จะเกิดมะเร็ง บอกแล้วว่าอย่าให้ "เล่าความหลัง" คนแก่มีเรื่องให้เล่าเยอะมาก..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,661
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,733
    ค่าพลัง:
    +26,601
    สงกรานต์จึงเข้ามาในบ้านเราเมืองเราโดยวัฒนธรรมอินเดีย โดยมักจะมากับพวกนักบวชที่ติดไปกับกองคาราวานทางบกทางน้ำต่าง ๆ ที่เขาเรียกกันว่าพราหมณ์ พวกนี้ส่วนใหญ่มีความรู้มาก ศึกษาจบไตรเพทมา มีฤคเวท ยชุรเวท สามเวท เหล่านั้น

    พวกเวททั้งหลายเหล่านี้จริง ๆ ก็คือคำโคลง คำกลอน ที่เขาไว้สรรเสริญพระเจ้าของเขา เอาไว้สำหรับอ้อนวอนขอความสำเร็จจากพระเจ้าของเขา เขาก็ถ่ายทอดกันเฉพาะในวรรณะของตัวเอง พวกพราหมณ์ก็เลยเป็นเจ้าพิธีกรรม พวกกษัตริย์ก็มีหน้าที่ป้องกันประเทศ รบรากับประเทศอื่น ๆ

    พวกไวศยะหรือแพศย์ ซึ่งปัจจุบันนี้มียี่ห้อสินค้าแพศยา นั่นก็คือคำว่าแพศย์ที่แปลว่าพ่อค้า ก็มีหน้าที่ค้าขายนำเอาวัฒนธรรมต่าง ๆ เผยแผ่ไปกับกองเกวียนของตนเอง กองเกวียนสมัยก่อนไปกันแต่ละทีก็ ๒๐๐ เล่มเกวียน ๓๐๐ เล่มเกวียน ๕๐๐ เล่มเกวียน บรรดาพ่อค้าส่วนใหญ่ก็เป็นมหาเศรษฐี เรานึกถึงเกวียน ๑ เล่ม มีคนขับเกวียน ๑ คน คนคอยดูแลวัวดูแลสินค้า ๒ คน ตีว่าเอาแค่นี้ เกวียน ๑ เล่มมี ๓ คน ถ้ามีเกวียน ๕๐๐ เล่มปาไปกี่คนแล้ว ? กองทัพส่วนตัวดี ๆ นี่เอง..!

    อย่างธนัญชัยเศรษฐีถึงเวลาย้ายไปอยู่เมืองสาวัตถี ปรากฏว่าขนคนไปสองแสนคน..! แทบจะไปรบราฆ่าฟัน แย่งบ้าน ปล้นเมืองเขาได้เลยนะนั่น..! ยังดีที่ไม่ได้มีนิสัยอย่างนั้น เป็นแค่พ่อค้า ก็เลยทำให้คิดว่าถ้าเข้าไปในตัวเมือง คนอื่นจะเดือดร้อนเยอะ เพราะอยู่ ๆ มีสองแสนคนมาแย่งกันกินแย่งกันใช้

    ธนัญชัยเศรษฐีเห็นที่เหมาะ ๆ อยู่ก่อนที่จะเข้าเมือง เป็นที่ว่างกว้างใหญ่มาก จึงกราบทูลถามพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า "ตรงนี้เป็นที่ของใคร ?" แล้วก็ให้เหตุผลว่าถ้าเข้าไปในเมืองจะสร้างความวุ่นวายขนาดไหน ? แต่ถ้าอยู่ตรงนี้จะสะดวกกว่า

    พระเจ้าปเสนทิโกศลบอกว่าเป็นที่ของตนเอง สมัยนั้นใช้คำว่า "พระเจ้าแผ่นดิน" คือแผ่นดินทุกตารางนิ้วถ้าไม่ทรงอนุญาต เป็นของพระองค์ทั้งหมด เพราะว่า รบรา ฆ่าฟัน แย่งชิง ป้องกัน มาด้วยตนเอง พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงมอบให้ธนัญชัยเศรษฐี สร้างเมืองสาเกตขึ้นมาเป็นคู่แฝดกับสาวัตถี ไปไกลแล้ว..อยู่เมืองไทยยังไม่ค่อยจะรู้เรื่องเลย ไปไกลถึงอินเดียแล้ว..!

    เวลาไปไหนไม่ค่อยอยากคุยเพราะว่าเหนื่อยอยู่คนเดียว ถึงเวลาไม่มีแรงจะเดินเที่ยว คุณนวลจันทร์ เพียรธรรม ของเอ็นซีทัวร์ ก็มักจะส่งไมค์มาให้ "หลวงพ่อเจ้าคะ เอาเรื่องโน้นหน่อย เอาเรื่องนี้หน่อย" ไม่เอา..ตอนนี้เที่ยวอย่างเดียว เล่ามาก ๆ คนแก่หมดแรง เดินไม่ไหว..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,661
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,733
    ค่าพลัง:
    +26,601
    อีกประมาณ ๔ นาทีพระท่านจะขึ้นอาสน์สงฆ์ กำหนดการคร่าว ๆ วันนี้ คือ ๙ โมงเช้าเป็นการแสดงพระธรรมเทศนา แล้วก็ต่อด้วยการเจริญพระพุทธมนต์ รับถวายภัตตาหารสังฆทาน พออปโลกน์ให้พรเสร็จ ช่วงเช้าของเราก็จบแค่นี้ ไปเริ่มอีกทีตอนเที่ยงครึ่ง เป็นการสวดพระอภิธรรมสะเดาะเคราะห์ และบังสุกุลอัฐิอุทิศส่วนกุศลแก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว

    ใครต้องการจะสะเดาะเคราะห์ให้ตนเอง ให้คนอื่น ก็เขียนชื่อเขียนนามสกุลใส่โลงใบน้อยนั้นไป
    ถ้าจะให้บังสุกุลอัฐิอุทิศส่วนกุศลแก่ญาติพี่น้อง ก็เขียนชื่อเขียนนามสกุลผู้ที่ล่วงลับไปแล้วใส่โลงเข้าไป ใบเดียวกันนั่นแหละ พอบังสุกุลเสร็จก็จะเอาไปเผา ถือว่าเป็นการตัดเคราะห์ตัดโศก อาศัยแม่พระเพลิง หนึ่งในห้าแม่ผู้ยิ่งใหญ่ช่วยตัดเคราะห์ให้

    ห้าแม่ผู้ยิ่งใหญ่มี แม่ธรณี สรรพชีวิตทั้งหมดเกิดบนอกแม่ โตบนอกแม่ ตายบนอกแม่
    แม่คงคา ไม่มีสายน้ำช่วยหล่อเลี้ยงชีวิตไม่รอดสักราย ไม่กินข้าว ๑๔ วันอยู่ใต้ตึกอยู่ได้ แต่ถ้าขาดน้ำนี่ ๗ วันตายแน่
    แม่พระเพลิง ให้ความร้อนให้ความอบอุ่น ช่วยทำอาหาร แม้กระทั่งในร่างกายของเราก็ยังช่วยสันดาปย่อยอาหาร กระตุ้นร่างกายให้เจริญเติบโต ขณะเดียวกันก็เผาผลาญร่างกายให้ทรุดโทรมลง

    พระพุทธเจ้าบอกมา ๒,๕๐๐ กว่าปี กว่าที่ฝรั่งจะเรียนทันตรงนี้ ฝรั่งเขาเพิ่งจะรู้เมื่อไม่นานนี้เองว่าออกซิเจนกระตุ้นให้ร่างกายสดชื่นขึ้นได้ แต่ทำลายเซลล์เร็วมาก ใครที่นิยมใช้ออกซิเจนสร้างเอาไว้ในห้องตัวเอง รับประกันได้ว่าตื่นมาหน้าเหี่ยวไม่รู้ตัว เพราะเซลล์ถูกทำลายเร็วมาก ก็คือกระตุ้นร่างกายให้เจริญเติบโตและทำลายร่างกายให้ทรุดโทรมลง นี่คือแม่พระเพลิง

    แม่โพสพ ให้อาหาร เครื่องหล่อเลี้ยงชีวิต
    แม่พระพาย ขาดลมหายใจก็ตาย ขาดลมช่วยก็ร้อนมาก ก็ตายอีก..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,661
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,733
    ค่าพลัง:
    +26,601
    เราอาศัยอำนาจของแม่พระเพลิง หนึ่งในห้าแม่ผู้ยิ่งใหญ่ของเรา ช่วยในการตัดเคราะห์ตัดโศกให้ แต่ความจริงก็คือการสร้างความดีนั่นเอง เพราะว่าเราต้องสมาทานศีล ฟังพระเจริญบทพระอภิธรรม แล้วก็นึกถึงมรณานุสติ พุทธานุสติ หรือว่าอุปสมานุสติ ซึ่งปกติเป็นกรรมฐานที่ใหญ่มาก ทำยาก แต่ว่าช่วงนั้นทำกันง่าย เพราะคิดว่าเป็นพิธีกรรม

    ไม่รู้กันว่าโดนหลอกให้กินยา หลอกให้เห็นว่าอร่อย เหมือนสมัยนี้เวลาป้อนยาแมวเขาเอาขนมแมวเลียหุ้มก่อนแล้วค่อยยัดใส่ปากแมว แมวก็กลืนอึ๊ก สมัยก่อนกว่าจะยัดยาเข้าปากได้นี่โดนแมวข่วนลายไปทั้งตัว คราวนี้ก็เลยหลอกให้กินยาด้วยการมาสะเดาะเคราะห์

    หลังจากนั้นก็มีการแข่งขันก่อพระเจดีย์ทราย น่าจะไปตัดสินกัน ๔ - ๕ โมงเย็น เดี๋ยวรอดูกรรมการตัดสินนำโดยพระมหาพัฒน์ก่อน ว่าจะตัดสินกี่โมง หลวงพ่อมีหน้าที่ควักกระเป๋า มอบรางวัลให้เท่านั้น พอตอนค่ำของพวกเราก็มาทำวัตรสวดมนต์กัน หมดไปอีกหนึ่งวัน

    ตอนช่วงบ่าย ๆ ทางด้านเทศบาลตำบลทองผาภูมิโดยท่านนายกปาล์ม (นายศราวุธ ศรีทันดร) ก็จะส่งคนมารับพระพุทธรูปไปเตรียมขบวนแห่ พรุ่งนี้ไม่เกินเที่ยงครึ่ง น่าจะเคลื่อนขบวนออกมาจากสำนักงานเทศบาลตำบลทองผาภูมิ เพราะฉะนั้น..พรุ่งนี้เป็นวันที่มีโอกาสเปียกแน่นอน

    คราวนี้ในเรื่องของแม่คงคา หนึ่งในห้าแม่ผู้ยิ่งใหญ่ที่เป็นสรรพชีวิต เขาถือว่าสร้างความชุ่มชื่น สร้างความเจริญงอกงาม ให้ความร่มเย็น บ้านเราก็เลยปรับจากการสาดสีแบบแขกมาสาดน้ำแทน ถือว่าน้ำคือความสะอาด ชำระล้างสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่ดีออกไปได้

    ในทุกศาสนาเราจะเห็นว่ามีน้ำศักดิ์สิทธิ์ แล้ววิทยาศาสตร์เขาก็พิสูจน์ได้แล้วว่าน้ำศักดิ์สิทธิ์จริง โดยเอาน้ำมนต์ที่พระเสกแล้วกับน้ำที่ไม่ได้เสกมาจากแหล่งเดียวกัน ตักเวลาเดียวกัน ภาชนะเดียวกัน จำนวนน้ำเท่ากัน เอาส่วนที่เสกแล้วไปแช่แข็งแล้วมาส่องดูโมเลกุล จะเห็นว่าจับตัวเป็นระเบียบสวยงามมาก เหมือนดอกไม้บาน ส่วนที่ไม่ได้เสกแช่แข็งแล้วมาส่องดู เห็นโมเลกุลขาด ๆ วิ่น ๆ
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,661
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,733
    ค่าพลัง:
    +26,601
    หรือไม่ก็การถ่ายภาพออร่า ซึ่งพัฒนามาจากการถ่ายภาพก่อนหน้านี้ที่เรียกว่าเกอร์เลียน ก็คือถ่ายภาพพลังชีวิตของคน ของสัตว์ ของพืช

    ตอนแรก ๆ นักวิทยาศาสตร์ทดลองด้วยการตัดใบไม้เป็นสองท่อน แล้วเอาไปถ่ายรูปแบบเกอร์เลียน ปรากฏว่าภาพที่ออกมาเป็นใบไม้เต็มใบ เพราะว่าพลังจากโคนใบยังส่งไปอยู่ ภาพที่ถ่ายออกมาเป็นรูปใบไม้เต็มใบเหมือนเดิม พอนาน ๆ ไปหน่อยพลังขาดช่วงลง แผลโดนปิดแล้ว ก็เหลือภาพใบไม้แค่ครึ่งใบ เขาก็เลยปรับมาถ่ายภาพออร่าในปัจจุบัน เพื่อที่จะศึกษาว่าคนที่เจ็บไข้ได้ป่วยจะมีออร่าสีอะไร ? บริเวณไหน ? ป่วยด้วยโรคอะไร ? จนป่านนี้ก็ยังมั่วกันอยู่นั่นแหละ..! ทายถูกบ้างผิดบ้าง

    เนื่องเพราะว่าบุคคลที่นอกเหตุเหนือผลมีเยอะ ไม่ไปคร่ำครวญอยู่กับอาการเจ็บป่วย ตั้งหน้าตั้งตาสร้างบุญสร้างกุศลพร้อมที่จะตาย ในเมื่อไม่ไปคร่ำไปครวญ อาการเจ็บป่วยที่คนอื่นเห็นก็มีน้อย แม้กระทั่งเครื่องก็ยังโดนหลอกไปด้วย เพราะสภาพจิตเขาไม่ได้ไปกังวลกับความเจ็บป่วย ออร่าที่เปล่งออกมาสดใสกว่าคนปกติเสียอีก..!

    ดังนั้น..พวกเครื่องมือวิทยาศาสตร์นี่อีกนาน ยังไม่สามารถจะไล่ทัน อาตมภาพรอดูสมัยพระศรีอริยเมตไตรย เขาบอกว่าคนเกิดมาหน้าตาสวยเหมือน ๆ กันทั้งผู้หญิงผู้ชาย ลงจากบ้านแล้วจำกันไม่ได้เพราะหน้าตาเหมือนกัน กลับขึ้นบ้านเมื่อไรถึงจะจำได้ว่าเป็นคนในครอบครัวตัวเอง

    หลวงพ่อสันนิษฐานไว้สองอย่าง อย่างแรกก็คือบุญเป็นตัวกำหนด ในเมื่อสร้างบุญมาใกล้เคียงกัน ก็เลยเกิดมาหน้าตาเหมือน ๆ กัน เหมือนพวกเทวดานางฟ้า ประการที่สอง วิทยาศาสตร์เป็นตัวกำหนด โคลนนิ่งขึ้นมาหน้าตาเหมือนกันหมด แต่คนละจิตวิญญาณกัน อีกประมาณล้านปีเท่านั้น ทนรอพักเดียวก็ได้เห็นแล้ว..! ตอนนี้ขอขึ้นธรรมาสน์ก่อน
     
  7. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,661
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,733
    ค่าพลัง:
    +26,601
    ก่อนสวดพระอภิธรรม สะเดาะเคราะห์ บังสุกุลอัฐิอุทิศส่วนกุศล วันจันทร์ที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๖๘



    ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้เป็นวันที่ ๑๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ โดยปกติทุกวันที่ ๑๔ เมษายน ทางวัดจะมีการสวดพระอภิธรรม ๗ บท และบังสุกุลเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับญาติพี่น้องของทุกท่านที่ได้ล่วงลับไปแล้ว

    ในส่วนของพระอภิธรรม ๗ บทนั้นมีอานุภาพมาก ถึงขนาดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จขึ้นไปโปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก พิจารณาว่าเราจะตอบแทนค่าน้ำนมและคำข้าวที่มารดาเลี้ยงดูเรามาอย่างไรถึงจะสมควร ? แล้วก็เห็นว่าพระอภิธรรมทั้ง ๗ บทนั้น เป็นสิ่งที่ทรงค่าที่สุด

    พระองค์ท่านถึงได้นำไปเทศน์สอนพุทธมารดาจนบรรลุพระโสดาบัน แล้วยังมีพรหมเทวดาอีก ๘๐ โกฏิบรรลุตามไปด้วย ถ้าหากว่าเราใช้มาตราปัจจุบัน ไม่ไปนับตามมาตราโบราณ ตีง่าย ๆ ว่า สิบล้านเป็นหนึ่งโกฏิ ถ้าเป็นมาตราโบราณเขาจะนับ สิบล้านเป็นหนึ่งตึ่ง สิบตึ่งเป็นหนึ่งตื้อ สิบตื้อเป็นหนึ่งอสงไขย ไม่รู้เรื่องใช่ไหม..? พูดไปเหอะฟังอย่างเดียว..!

    พระอภิธรรม ๗ บทจึงเป็นธรรมะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแล้วมีผู้บรรลุมรรคผลมากที่สุด

    สมัยก่อนแม้แต่ในบ้านเราเมืองเรา ก็ใช้การสวดพระอภิธรรมในงานมงคลต่าง ๆ อย่างเช่นว่างานแต่งงาน งานขึ้นบ้านใหม่ งานฉลองอายุ เหล่านี้เป็นต้น แต่ภายหลังเมื่อมีงานพระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์พระบรมราชเทวีในรัชกาลที่ ๕ ซึ่งพระมหาเถระทรงถวายพระอภิธรรม ๗ บทในงานพระบรมศพครั้งนั้น ทำให้ชาวบ้านเห็นเป็นค่านิยมว่าพระอภิธรรม ๗ บทควรที่จะใช้สวดในงานศพ

    จากเรื่องมงคลจึงกลายเป็นอวมงคล ทำให้เราท่านทั้งหลายไปเข้าใจว่าพระอภิธรรม ๗ บทหรือพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์นั้นมีไว้ใช้สวดเฉพาะในงานศพ ของดีที่สุดก็เลยกลายเป็นของที่คนเกรงกลัวกันไป เพราะว่ามนุษย์และสัตว์มีความกลัวตายเป็นปกติ
     
  8. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,661
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,733
    ค่าพลัง:
    +26,601
    ในเรื่องของพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์นั้นมีตัวอย่างก็คือ พระลูกศิษย์พระสารีบุตร แต่เดิมเป็นลูกชาวประมง ลูกศิษย์ทั้ง ๕๐๐ รูปนี้ พระสารีบุตรรับเป็นพระอุปัชฌาย์บวชให้ แล้วไปเรียนถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งแสดงพระอภิธรรมถวายพุทธมารดาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก ว่าควรที่จะสงเคราะห์ด้วยพระธรรมบทใด ?

    องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าพิจารณาแล้ว ย้อนไปในอดีตชาติเห็นว่าลูกศิษย์พระสารีบุตรในครอบครัวชาวประมงทั้ง ๕๐๐ รูปนี้ ในอดีตเคยเกิดเป็นค้างคาวฝูงเดียวกัน อาศัยอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง ปรากฏว่ามีพระไปอาศัยถ้ำแห่งนั้นเป็นที่พักด้วย แล้วพระท่านก็ซ้อมสวดสาธยายพระอภิธรรม ๗ บทเพื่อความจดจำไม่หลงลืม ค้างคาวทั้งหลายฟังด้วยความเพลิดเพลิน ลืมไปว่าตัวเองเกาะห้อยหัวอยู่ ก็เลยปล่อยเท้าหลุดจากที่เกาะตกลงมาตายหมด

    ด้วยอานุภาพของการตั้งใจฟังธรรมทั้งที่ฟังแล้วไม่รู้เรื่อง รู้อยู่อย่างเดียวว่าสวดได้ไพเราะน่าฟัง ยังดลบันดาลให้ทั้งหมดขึ้นไปเกิดเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์ เสวยความสุขอยู่จนหมดอายุของความเป็นเทวดา แล้วก็ลงมาเกิดเป็นบุตรชาวประมง เมื่อได้บวชกับพระสารีบุตร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงแนะนำว่า "สารีปุตตะ ดูก่อน..สารีบุตร เธอจงนำอภิธรรมทั้ง ๗ บทนี้ไปสาธยายให้ลูกศิษย์ของเธอฟัง"

    พระสารีบุตรจึงนำพระอภิธรรม ๗ บทที่พวกเราคุ้นเคยกันดีเพราะพระจะสวดว่า กุสะลา ธัมมา อะกุสะลา ธัมมา อัพยากะตา ธัมมา เป็นต้น เพียงแต่ว่าเป็นแม่บทของธรรมทั้งหลาย ก็คือกินใจความสำคัญเอาไว้มาก ถ้าไม่ใช่บุคคลที่มีกรรมเนื่องกันมาแต่อดีต หรือว่าเป็นผู้ที่มีความฉลาดระดับอุคฆฏิตัญญู ที่ฟังแค่หัวข้อธรรมก็รู้ว่าหมายถึงอะไรแล้ว คนอื่นฟังก็จะไม่เข้าใจ
     
  9. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,661
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,733
    ค่าพลัง:
    +26,601
    อย่างเช่นว่า กุสะลา ธัมมา ธรรมที่เป็นกุศลนั้นประกอบด้วยอะไรบ้าง ก็ประกอบไปด้วยกายสุจริต ๓ วจีสุจริต ๔ มโนสุจริต ๓

    กายสุจริต ๓ ก็คือความดีพร้อมทางกาย ๓ อย่าง ได้แก่การไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม
    วจีสุจริต ๔ ก็คือไม่โกหก ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดคำส่อเสียดให้คนแตกร้าวกัน ไม่พูดวาจาเพ้อเจ้อไร้ประโยชน์
    มโนสุจริต ๓ ก็คือความไม่โกรธเกลียดอาฆาตพยาบาทผู้อื่น ความไม่โลภอยากได้ของคนอื่น และความมีสัมมาทิฏฐิเห็นว่าศีลและธรรมที่พระพุทธเจ้าสอนนั้นเป็นสิ่งดี ควรค่าแก่การปฏิบัติตาม เป็นต้น

    อธิบายแค่ย่อ ๆ ยังยาวขนาดนี้ ถ้าอธิบายครบทั้ง ๗ คัมภีร์ เราก็เป็นลมตายกันหมดก่อน..!

    พระสารีบุตรนำเอาพระอภิธรรม ๗ บทไปสอนกับลูกศิษย์ทั้ง ๕๐๐ รูป ปรากฏว่ากลายเป็นพระอรหันต์หมดทั้ง ๕๐๐ รูป เนื่องเพราะว่าในอดีต จิตของตนก็ผูกพันอยู่กับพระอภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์ มาถึงปัจจุบันวิสัยเดิมความชอบเดิม เมื่อฟังเข้าก็ชอบใจ น้อมนำเอาไปประพฤติปฏิบัติ กลายเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด

    เราจะเห็นได้ว่าแม้แต่ค้างคาวซึ่งเป็นสัตว์เดรัจฉานฟังพระอภิธรรม ๗ บทไม่เข้าใจ แต่อาศัยความเลื่อมใสว่าสวดได้ไพเราะน่าฟังอย่างเดียว สภาพจิตเกาะในธรรม คือเกาะความดี ไปเกิดเป็นเทวดาด้วยกันทั้งหมด เมื่อมาเกิดใหม่ ได้บวช ฟังพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ซ้ำ กลายเป็นพระอรหันต์
     
  10. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,661
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,733
    ค่าพลัง:
    +26,601
    วันนี้ญาติโยมทั้งหลายจะได้ฟังพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ในการสวดบังสุกุลอัฐิเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ญาติพี่น้องของท่านทั้งหลายที่ล่วงลับไปแล้ว เราเองพอจะรู้บ้างว่าสิ่งนี้มีคุณงามความดีอย่างไร ก็ขอให้น้อมจิตน้อมใจฟังด้วยความเคารพเลื่อมใส

    ขอพุทธานุภาพ ธัมมานุภาพ สังฆานุภาพ ซึ่งเรายึดถือเป็นที่พึ่งที่ระลึก ดลบันดาลให้เคราะห์กรรมทั้งหลาย ที่พึงจะมีพึงเกิดแก่เรา จงหลุดพ้นไป ซึ่งความจริงเคราะห์กรรมทั้งหลายก็คือความชั่วเดิม ๆ ที่เราทำไว้ทั้งชาติก่อนและชาตินี้ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ทำความชั่วย่อมได้รับผลชั่ว ทำความดีย่อมได้รับผลดี ไม่สามารถที่จะหักล้างกันให้หมดไปได้

    แต่ผู้รู้ท่านเปรียบเอาไว้ว่า ถ้าความชั่วเป็นเหมือนกับเกลือ ความดีเป็นเหมือนกับน้ำจืด ถึงเวลาถ้าเราสร้างความดี ก็คือเติมน้ำจืดลงในภาชนะที่มีเกลืออยู่ ยิ่งเติมลงไปมากเท่าไร รสเกลือก็จืดจางลงไปมากเท่านั้น ความชั่วไม่ได้หายไปไหน รสเกลือไม่ได้หายไปไหน แต่ความดีมากมายจนกระทั่งความชั่วแสดงผลไม่ได้ หรือว่ากรรมนั้นแสดงผลไม่ได้ ตลอดจนกระทั่งความเค็มนั้นแสดงผลไม่ได้

    การที่เราท่านทั้งหลายกำหนดจิตกำหนดใจด้วยความเลื่อมใสในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็คือการที่เราท่านทั้งหลายได้ตั้งใจปฏิบัติในพุทธานุสติ..ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในธัมมานุสติ..ระลึกถึงพระธรรม ในสังฆานุสติ..ระลึกถึงพระสงฆ์

    แล้วเรายังมีการสมาทานศีลเป็นสีลานุสติ ตั้งจิตตั้งใจฟังพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์เป็นการสร้างสมาธิให้เกิด เพราะเห็นทุกข์เห็นโทษว่า การเวียนว่ายตายเกิดของเรานั้นมีแต่ความทุกข์มาทุกชาติทุกภพ ถ้าเป็นไปได้ก็ขอให้จบการเวียนว่ายตายเกิดลงในชาตินี้ แปลว่าเราปฏิบัติกรรมฐานใหญ่หลายกองซึ่งมีอานิสงส์มาก
     
  11. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,661
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,733
    ค่าพลัง:
    +26,601
    อานิสงส์หรือว่าคุณงามความดีตรงนี้ จึงส่งผลให้เราห่างไกลจากเคราะห์กรรมไปชั่วคราว พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านกล่าวไว้ว่า "เคราะห์กรรมเหมือนกับหมาดุไล่กัดเรา เราสร้างคุณงามความดีเหมือนกับวิ่งหนีหมาไปเรื่อย ถ้าหยุดวิ่งเมื่อไร หมาไล่ทัน เราจะโดนกัดอีก จึงต้องสร้างความดีหนีความชั่วไปเรื่อย จนกระทั่งพ้นจากหมาตัวนั้นไป ซึ่งการพ้นไปได้จากเคราะห์กรรมทั้งหลายมีอย่างเดียว ก็คือกลายเป็นพระอรหันต์เข้าสู่พระนิพพาน"

    เราท่านทั้งหลายจึงต้องเข้าใจว่าเคราะห์กรรมไม่ใช่สิ่งที่สะเดาะคือโยนทิ้งไปได้ ไม่ใช่สิ่งที่สามารถหักล้าง ก็คือไม่สามารถทำให้สูญหายไปได้ แต่เราสามารถสร้างความดีให้มีอำนาจมากกว่า จนความชั่วแสดงผลไม่ได้ เราท่านทั้งหลายก็จะได้พ้นจากเคราะห์กรรมเหล่านั้นชั่วคราว

    แล้วก็เร่งปฏิบัติต่อในศีล สมาธิ ปัญญา อย่างที่ได้กล่าวไปเมื่อครู่ก็คือ รักษาศีล เจริญสมาธิ มีปัญญามองเห็นว่าตัวเราต้องตายแน่นอน ถ้าตายเมื่อไรเราขอไปสู่พระนิพพานที่เดียว ถ้าสามารถรักษากำลังใจเอาไว้อย่างนี้ได้บ่อย ๆ ทุกวัน โอกาสที่ท่านทั้งหลายจะก้าวพ้นจากความทุกข์ก็จะมีขึ้นได้

    ลำดับต่อไปให้ทุกคนตั้งใจสมาทานศีลแล้วจะได้ฟังพระอภิธรรมกันต่อไป
     
  12. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,661
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,733
    ค่าพลัง:
    +26,601
    ก่อนเทศน์ช่วงเช้า วันอังคารที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๖๘


    การค้นพบกาแฟเป็นไปโดยบังเอิญเหมือนกับการค้นพบใบชา กาแฟต้องบอกว่าค้นพบโดยแพะ ชาวบ้านเอาแพะไปเลี้ยง แล้วสังเกตว่าพอเจ้าแพะกินเม็ดดำ ๆ นี้เข้าไปแล้วคึกมาก

    วันนี้ใครเป็นเวร ? เจ้าหน้าที่เทศบาลจะมาอุ้มพระไปจัดขบวนแห่แล้ว องค์ที่เห็นนี่ขนาดเท่าหลวงพ่อทองคำทุกประการ เขาเรียกหลวงพ่อทองคำองค์ใช้งานจริง หล่อจากเม็ดเงินแล้วก็เคลือบทองด้วยวิธีอิเล็กโตรฟอร์มมิ่ง (Electroforming) เฉพาะค่าเคลือบทองหมดไป ๓ แสนบาท เอาไว้ให้เขาแห่และก็ให้ชาวบ้านสรงน้ำ เพราะว่าของจริงหนักมาก ยกขึ้นยกลงไม่ไหว นั่นขนาดทำด้วยเงินนะ หมดไป ๔ ล้านกว่าบาท

    เลี้ยวกลับมาหากาแฟใหม่ ในเมื่อคนเราก็อยากบ้าง คือเห็นแพะกินเมล็ดกาแฟแล้วคึก ก็เลยลองเอามากินดูบ้าง แต่ว่าธรรมดาก็กินไม่ได้ ก็หาวิธีทุบ หาวิธีบด ท้ายสุดก็มีการประยุกต์ด้วยการเอาไปคั่ว..หอมดี กาแฟก็เลยปรากฏขึ้นบนโลกด้วยประการะฉะนี้ เพียงแต่ว่ามาจากอเมริกากลางนู่น แถวโบลิเวีย บราซิล ไม่ได้มาจากบ้านเรา

    ปัจจุบันนี้บ้านเราก็ปลูกกาแฟอยู่หลายพันธ์เหมือนกัน หลัก ๆ เลยก็อาราบิก้า ดอกกาแฟมีกลิ่นหอมมาก ถึงเวลาหน้าดอกกาแฟบาน ใครเดินผ่านสวนกาแฟไม่อยากไปไหนหรอก ขอดมกลิ่นก่อน
     
  13. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,661
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,733
    ค่าพลัง:
    +26,601
    ส่วนใบชาคนจีนเขานิยมกินน้ำร้อนมากกว่าน้ำเย็น คราวนี้บรรดาพวกนักเขียน นักกลอน นักกวี เขามีอารมณ์ศิลปิน ก็ไปต้มน้ำร้อนกินกันใต้ต้นไม้ ใบหล่นลงไปตอนไหนไม่รู้ ปรากฏว่ากลิ่นและรสดีกว่าปกติ ก็เลยเด็ดเอามาลองต้มเองบ้าง แล้วก็พัฒนาจนกระทั่งมีการคั่วแห้ง กลายเป็นใบชาอย่างที่พวกเราเห็น

    ใบชาบางอย่างดีราคาขีดละหลายหมื่นบาท เนื่องเพราะว่าหายาก สถานที่ปลูกมีน้อย ย้ายที่ไม่ได้ ย้ายแล้วตาย ใบชาทำให้ประเทศเล็ก ๆ หลายประเทศกลายเป็นเมืองขึ้นเขา อย่างแถว ๆ อินเดียตอนเหนือ จะมีอัสสัม สิกขิม กาลิมปง เหล่านั้นเป็นต้น เพราะว่าพื้นที่เหมาะที่จะปลูกชา

    พวกอังกฤษเมื่อขโมยต้นชาจากประเทศจีนได้ ก็หาที่ที่เหมาะสมนอกประเทศจีนเพื่อที่จะปลูก แล้วส่งไปที่บ้านตัวเอง ก็อาศัยกองทัพอังกฤษเที่ยวไปไล่ยึดพื้นที่ที่เหมาะสม ประเทศเล็ก ๆ เหล่านั้นก็เลยโดนยึดไปเป็นของอังกฤษ

    จนกระทั่งอังกฤษถอนตัวออกจากอินเดีย ปล่อยให้ประเทศเหล่านั้นเป็นอิสระ แต่ว่าประเทศพวกนั้นก็ไม่กล้าอยู่ด้วยตัวเอง เพราะเกรงว่าจะโดนประเทศใหญ่กว่ายึดอีก ก็เลยมีข้อตกลงกับอินเดีย ขอเป็นรัฐในอารักขาของอินเดีย ก็อยู่ในลักษณะที่ว่าแบ่งผลประโยชน์ให้ แต่ถ้ามีศึกเสือเหนือใต้มา อินเดียต้องส่งกองทัพไปช่วย

    ประเทศเล็ก ๆ เหล่านั้นก็เลยกลายเป็นส่วนหนึ่งของอินเดียแต่ไม่ใช่ประเทศอินเดีย อาตมภาพไปแถวนั้นสามวัน เจอตีตราพาสปอร์ตไปแปดดวง ! เพราะแต่ละที่เท่ากับเป็นประเทศของตัวเอง เพียงแต่ว่าอินเดียช่วยดูแลให้ เพราะฉะนั้น..ในเมื่อเป็นประเทศตัวเอง ถึงเวลาการเข้าการออกก็ต้องเป็นไปตามหลักสากล ก็ต้องใช้พาสปอร์ตไปขอวีซ่าผ่านเข้าไป ออกวันไหนเขาก็จะตีตราให้

    ไปทางนั้นไม่มีอะไร มีแต่ไร่ชา เฉพาะใบชาที่มีชื่อเสียงส่งขายไปทั่วโลก จากประเทศเล็ก ๆ แถวนั้นมี ๗๐ กว่ายี่ห้อ ! แต่ละยี่ห้อก็คือมหาเศรษฐี เพราะว่าผลิตส่งอย่างเดียว แต่ขอโทษ..ไปทดลองมาแล้วทุกยี่ห้อ รสชาติสุนัขไม่รับประทาน มีอย่างเดียวคือชาขาว ดาร์จีลิง รสชาติใกล้ ๆ กับชาจีน นอกนั้นเป็นพวกที่เขาเรียกว่าชาดำ ซึ่งเหมาะที่จะเอาไปทำชากะลัมใจ ซึ่งก็คือชานม ไม่ได้เหมาะที่จะเอามาชงกินอย่างของชาจีน
     
  14. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,661
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,733
    ค่าพลัง:
    +26,601
    ดังนั้น..ถ้าหากว่าใครไปเจอชาอินเดีย ถ้าไม่ได้ชิมก่อนอย่าซื้อ รสชาติเหมือนแมงกระแท้ลวกน้ำร้อน กลิ่นฉุนมาก แต่ถ้าหากว่าใส่นมใส่เนยใส่น้ำตาลลงไปจะอร่อย แต่ถ้าลำพังชงน้ำเปล่าอย่าไปกินเลย เสียลิ้นเปล่า ๆ อาตมาซื้อเอาใจทัวร์แค่นั้นแหละ ทำเป็นว่าอยากได้นักหนา หมดไปพันกว่ารูปี ซื้อให้ไกด์มีกำลังใจว่าเข้าร้านแล้วขายของได้ เอากลับมาก็ไล่ถวายพระไปหมด เพราะตัวเองกินไม่ไหว ทำตัวเป็นคนมีน้ำใจ ไปต่างประเทศเอาของฝากมาให้ "มึงทนกินไปก็แล้วกันนะ กูพอแล้ว" ว่างั้นเถอะ..!

    คราวนี้คนจีนพอกินชาก็เลยมีการค้าขาย มีการส่งขาย โดยเฉพาะเส้นทางหลักเลยก็คือจากเฉิงตูขึ้นไปลาซา เฉิงตูอยู่ในมณฑลเสฉวนของประเทศจีน อยู่ภาคกลางค่อนมาทางตะวันตกของจีน ต้องเดินขึ้นเหนือทะลุไปถึงลาซา ใช้เวลาเดินทางหนึ่งปี ! ก็แปลว่าถ้าใครไปกับคาราวานค้าขายโบราณของคนจีนยุคนั้น ออกจากบ้านทีอีกสองปีเจอกันนะจ๊ะ ถ้าเมียตั้งท้องอยู่กลับมาลูกก็พูดได้แล้ว ! เด็กจะจำได้หรือเปล่าว่าพ่อคือคนไหน ?

    คราวนี้ปรากฏว่าหนทางยากลำบากมาก นอกจากผ่านป่าผ่านเขา ยังต้องเจอทั้งฝนทั้งหิมะ กว่าจะหลุดขึ้นไปได้ถึงลาซาถึงมองโกเลีย ปรากฏว่าถุงใส่ชารั่ว น้ำฝนเข้าไปตอนไหนก็ไม่รู้
    ถึงเวลาเอาออกมาจะขายกลายเป็นก้อนเลย สันดานพ่อค้าเอามาแล้วไม่ยอมขาดทุนหรอก ต้องหาทางขายจนได้ พอพวกลูกค้าที่ไม่รู้จักของถามว่า "อะไร ?" ก็บอกว่า "เป็นชาหมัก เป็นของดี คนรวยในเมืองเขากินกัน พวกเอ็งไม่มีโอกาสหรอก นี่ข้าอุตส่าห์เอามานะ" เจ้าพวกนั้นก็เลยอยากกิน

    แต่พ่อค้าฉลาด บอกต่อว่า "กินเฉย ๆ ไม่อร่อย ให้ต้มกับนมแพะ ใส่เกลือใส่เนยลงไปด้วย" โอ้โห..คราวนี้พอกลิ่นใบชาออก จากของห่วยที่ขายไม่ได้ กลายเป็นน่ากินมาก..!
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...