เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 26 พฤศจิกายน 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,704
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,556
    ค่าพลัง:
    +26,395
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๖


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,704
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,556
    ค่าพลัง:
    +26,395
    วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๒๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ พวกเราก็มีนาคที่ผ่านการฝึกซ้อมอบรมแล้ว รอบวชอยู่ทั้งหมด ๑๑ ท่านด้วยกัน ต้องบอกว่าบรรดานาคทั้งหลายค่อนข้างจะกล้าหาญมาก..! เพราะว่าชาวบ้านแถวนี้ส่วนใหญ่เขาไม่บวชวัดท่าขนุนกัน ต่อให้เคารพหลวงปู่สายขนาดไหน ถึงเวลาแห่นาคมากราบหลวงปู่เสร็จ ก็เผ่นไปบวชวัดอื่น เขาบอกว่าบวชวัดนี้แล้วลำบากมาก..!

    เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่านอกจากต้องสวดมนต์ ทำวัตร บิณฑบาต กรรมฐานตามปกติแล้ว ยังต้องเรียนหนังสือ ไม่มีโอกาสได้ดูหนังฟังเพลงแบบวัดอื่นเขา ถ้าใครคิดว่าเรื่องแค่นี้เป็นเรื่องลำบาก ก็ไม่ควรที่จะบวชเข้ามา..!

    เนื่องเพราะว่าการบวชนั้น เป็นการฝึกทั้งกาย ทั้งวาจา และทั้งใจของเรา ขัดเกลาตัวเอง โดยเฉพาะสภาพจิตใจ ในชีวิตฆราวาส เรามี รัก โลภ โกรธ หลง เท่าไร บางทีเราก็ไม่รู้ตัว เหมือนกับปล่อยเราทิ้งไว้กับเสือตัวหนึ่งในป่า บางทีเดินทั้งปีก็ไม่เจอเสือตัวนั้น

    แต่การที่ท่านทั้งหลายบวชเข้ามาแล้ว เหมือนกับเขาจับเอาเสือตัวนั้นยัดไว้ในกรงแคบ ๆ กับเรา ก็จะโดนเสือฟัดอยู่ทุกวัน บางทีก็ถึงตาย ก็คืออยู่ไม่ได้ ต้องสึกหาลาเพศไป มีทั้งประเภทสึกกับต้นโพธิ์บ้าง สึกกับพระประธานบ้าง วัดท่าขนุนนี่เด็ดขาดกว่านั้น สึกทางไลน์..!
    ซึ่งพวกนั้นถือว่าสึกแล้วไม่ขาด ถ้าไปทำอะไรที่เป็นโทษอาบัติปาราชิก ก็ถือว่าเป็นความซวยของตัวเองไป..!

    เนื่องเพราะว่าการสึกนั้น พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ชัดเจนแล้วว่า ต้องมีผู้รับรู้ ก็คือต้องบอกกล่าวให้คนอื่นรู้ว่า เราไม่ต้องการที่จะเป็นนักบวชต่อไปแล้ว ขอคืนซึ่งพระธรรมวินัยนี้ ก็คือจะไม่ยึดถือ จะไม่รักษากันต่อไป ไม่ใช่ไปบอกกับพระพุทธรูป ซึ่งท่านไม่สามารถที่จะตอบกับเราได้ ว่าตกลงหรือไม่ตกลง ไม่ใช่ไปบอกกับต้นโพธิ์ ไม่ใช่ถอดผ้าหนีไปเฉย ๆ หรือไม่ใช่ส่งไลน์มาบอกอย่างท่านที่เคยทำที่วัดท่าขนุนแห่งนี้
    ไอ้พวกประเภทนี้จะโดนขึ้นบัญชีดำวัดท่าขนุนไว้หมด..! มาใหม่ก็ไม่รับเข้าพัก บวชใหม่ก็ไม่บวชให้..!

    เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าการบวชของเรานั้น จะต้องผจญกับ รัก โลภ โกรธ หลง ที่หนักมาก ถ้าใครสามารถผ่านไปได้ เขาถือว่ามีวุฒิภาวะเพียงพอที่จะไปเป็นหัวหน้าครอบครัวได้

    สมัยก่อนเขาถึงนิยมการ "บวชก่อนเบียด" เพราะว่าถ้าผ่านการบวชไปแล้วอย่างน้อย ๑ พรรษา ต้องอดทนอดกลั้น สิ่งที่เคยทำก็ทำไม่ได้ สิ่งที่อยากทำก็ทำไม่ได้ ถ้าสามารถทนได้จนครบพรรษา ไม่สึกหาลาเพศเสียก่อน ถือว่ามีวุฒิภาวะทางอารมณ์มั่นคง พอที่จะไปเป็นหัวหน้าครอบครัวได้
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,704
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,556
    ค่าพลัง:
    +26,395
    มาในระยะหลัง พวกเราบวชกันน้อยมาก ๓ วัน ๗ วันก็มี บางรายบวช ๓ วัน แต่ความจริงแล้วได้แค่ประมาณ ๑ วัน เพราะว่าวันแรกบวชเสร็จ ญาติโยมก็โน่น..พากลับไปฉลองที่บ้าน ไปสวดมนต์ฉันเพลกันที่นั่น กว่าจะกลับวัดมาก็เย็นย่ำแล้ว รุ่งขึ้นอยู่เป็นพระได้เต็ม ๑ วัน พอวันที่สาม..แม่งงงสึกแต่เช้า..! แล้วจะไปได้ ๓ วันอย่างไร ? กลับไปโต๊ะจีนเขายังเก็บไม่เสร็จเลย..!

    วัดท่าขนุนแห่งนี้ กระผม/อาตมภาพแค่ต้องการว่า
    พระเณรบวชเข้ามาแล้ว ให้ชาวบ้านเขาไหว้ได้เต็มมือหน่อย จึงต้องค่อนข้างเข้มงวดกับวัตรปฏิบัติของพวกเรา ทำให้บรรดาญาติโยมรอบวัดไม่ค่อยอยากจะมาบวชที่นี่ ก็เป็นเรื่องดีเหมือนกัน เพราะว่าถ้ามาบวชแล้ว โดนเจ้าอาวาสหวดหัวร้างคางแตกไป ก็คงจะได้ทะเลาะกับชาวบ้านเขาทุกวัน

    การบวชเป็นเรื่องที่อันตรายสุด ๆ เพราะว่าในความเป็นพระของเรา พลาดศีลตรงไหน โอกาสลงนรกมีสูงมาก แบบเดียวกับที่พระใหม่ไปประท้วงหลวงพ่ออุปัชฌาย์ ตอนเป็นฆราวาสไปกราบเรียนถาม "หลวงพ่อ..บวชดีไหม ?" "โอ๊ยดี..รีบบวชเลย..บุญเยอะ"

    บวชเข้าไป พอถึงเวลาไปถาม "หลวงพ่อ ผมทำไอ้นี่ได้ไหม ?" "ไม่ได้นะมึง..บาปตายห่าเลย..!" สรุปแล้วตอนก่อนบวชอะไรก็เป็นบุญ บวชเข้าไป มีแต่บาป ก็เพราะว่าเราบวชเข้ามาแล้ว เท่ากับว่าเราเป็นปูชนียบุคคล เป็นบุคคลที่ผู้อื่นเขากราบไหว้บูชากัน ในฐานะที่อย่างน้อย ท่านก็เป็นผู้สืบทอดพระพุทธศาสนา ก่อนบวช เราไหว้พ่อไหว้แม่ กราบพ่อกราบแม่ พอถึงเวลาบวช พ่อแม่มากราบเรา..!

    เพราะอะไร ? ก็เพราะว่ากฎเกณฑ์กติกาในการยึดถือปฏิบัติของเรามีมากกว่า คือมีศีลถึง ๒๒๗ ข้อ พ่อแม่มีศีล ๕ ข้อ อย่างดีก็ไม่เกิน ๘ ข้อ เท่ากับว่า ถ้าเป็นฆราวาสทั่วไป ทำกิจการงานอย่างหนึ่ง เขาลงทุน ๕ ล้านบาท คือศีล ๕ พระเราลงทุน ๒๒๗ ล้านบาท ด้วยศีลของพระ ถ้ากิจการนั้นเจ๊ง ใครจะหมดตัวมากกว่ากัน ? ก็พระนั่นแหละ..!

    จึงเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังกันอย่างที่สุด ถ้ารู้ตัวว่าจะอยู่ไม่ได้ ให้รีบสึกหาลาเพศไป อย่าล่วงละเมิดพระธรรมวินัยในขณะที่เป็นพระ ไม่เช่นนั้นแล้วโทษจะติดตัวตลอดไป อย่าไปคิดว่าแสดงอาบัติแล้วเป็นอันว่าจบกัน

    การที่เราละเมิดพระธรรมวินัย เหมือนกับเนื้อตัวของเราเป็นแผล การแสดงคืนอาบัติ ก็คือการหยุดการลุกลามของแผลนั้นไม่ให้กว้างออกไป แต่คราวนี้ถ้าตรงนั้นแผลหนึ่ง ตรงนี้แผลหนึ่ง ไม่นานก็เต็มตัวไปหมด คนที่มีแต่แผลทั้งตัว ไปทางไหนเขาก็รังเกียจ การบวชถึงได้เป็นเรื่องที่อันตรายมาก เพราะว่าโอกาสขาดทุนมีมากกว่ากำไร..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,704
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,556
    ค่าพลัง:
    +26,395
    แต่ขณะเดียวกัน ถ้าท่านทั้งหลายปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ กำไรมหาศาลย่อมรออยู่ข้างหน้า คนทั่วไปลงทุน ๕ ล้าน พระเราลงทุน ๒๒๗ ล้าน ถ้ากิจการงานนั้นได้กำไรเหมือน ๆ กัน ใครจะได้มหาศาลกว่ากัน ? ก็ต้องพระอีกนั่นแหละ..!

    ดังนั้น..การเป็นพระของเรา มีโอกาสทั้งกำไรและขาดทุน จึงควรที่จะพากเพียรพยายาม ในการที่ทำอย่างไรก็ได้ ให้เรารักษาต้นทุนของเราเอาไว้ คำว่าต้นทุนในที่นี้ก็คือ ทันทีที่บวชเสร็จ ที่วัดของเราบวชหมู่ คู่สวดเขาก็จะประกาศว่า "อุปสัมปันโน สังเฆนะ บัดนี้การอุปสมบทสำเร็จลงเป็นสงฆ์แล้ว" บุญที่จะพึงได้ทั้งหมดจากการบวช เราได้ครบถ้วนเลย แต่การอยู่ต่อต่างหากที่ทำให้กำไรหรือว่าขาดทุน

    ถ้าอยู่ต่อแล้วทำผิดทำพลาด โอกาสขาดทุนมีสูงมาก เพราะว่าเราลงทุนมาก แต่ถ้าทำดี โอกาสกำไรก็มหาศาลมากกว่าญาติโยมเขาหลายเท่า สิ่งที่เราได้กำไรในระหว่างที่บวชนั่นแหละ ถ้าอยู่ต่อก็จะเป็นกำลังใหญ่ในพระพุทธศาสนา ถ้าสึกหาลาเพศไป ผลบุญอันนี้ก็จะทำให้ทางชีวิตของท่านสะดวกกว่าคนอื่นเขา

    จึงเป็นเรื่องที่พวกเราควรที่จะตระหนักให้มากเอาไว้ เพราะว่าการบวชนั้นไม่ใช่ตัวเราคนเดียว อันดับแรกเลย พ่อแม่ของเรา ญาติพี่น้องของเรา รออนุโมทนาในบุญในกุศลที่เราจะได้กระทำ แล้วบรรดาท่านที่ล่วงลับไปแล้ว ก็รอบุญรอกุศลที่ลูกหลานจะบวชแล้วอุทิศไปให้

    วัดวาอารามของเราจะงดงามขึ้น หรือว่าจะเสียหายก็ขึ้นอยู่กับการบวชของเรา ถ้าหากว่าทำดี ชื่อเสียงของวัดวาอารามก็จะมีมากขึ้น พระพุทธศาสนาของเราก็มั่นคงขึ้น แต่ถ้าหากว่าทำไม่ดี กระผม/อาตมภาพเจอมาแล้ว พระสองวัดเดินบิณฑบาตสวนกัน วัดหนึ่งเดินมาใกล้ โยมที่ถือขันข้าวอยู่หันหลังให้ รอจนกระทั่งเดินผ่านไป อีกวัดหนึ่งมา ถึงได้หันมาใส่บาตร ถ้าเป็นกระผม/อาตมภาพเจอแบบนั้นเข้า ก็คงหน้าชา หรือไม่ก็ชาไปทั้งตัว..อายชาวบ้านเขา..!

    เมื่อบวชเข้ามาไม่ใช่ตัวเราคนเดียวแล้ว ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลของเราแบกเข้ามาด้วย ถ้าเป็นสมัยก่อน เขาโพนทะนาว่า "ไอ้ลูกบ้านนั้นแหกพรรษา..!" รับประกันได้..ทั้งอำเภอไปขอสาวที่ไหนก็ไม่มีใครเขาให้..! เขาถือว่าเรื่องแค่นี้ทนไม่ได้ แล้วไปมีครอบครัวได้อย่างไร ก็แปลว่าชื่อเสียงวงศ์ตระกูลเราต้องแบกไว้ด้วย

    แล้วชื่อเสียงของวัดท่าขนุน หลวงปู่สายท่านทำเอาไว้ดีมาก แม้กระทั่งทุกวันนี้ ญาติโยมส่วนใหญ่ก็ยังคงเคารพหลวงปู่สุดจิตสุดใจ เราก็ต้องแบกชื่อเสียงของวัดไว้ด้วย แบกชื่อเสียงหลวงปู่ไว้ด้วย แล้วถ้าทำพลาด นอกจากตัวเราเสียหาย วัดก็เสียหาย ชื่อเสียงครูบาอาจารย์ก็เสียหาย ท้ายที่สุดก็เสียไปถึงพระพุทธศาสนา
    ถ้าจะว่าต่อไป เดี๋ยวพระที่ท่านบวชไม่มีอะไรจะเทศน์..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา โดยเฉพาะนาคทั้งหลาย ตลอดจนกระทั่งญาติโยมที่รับฟังอยู่แต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอาทิตย์ที่ ๒๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...