เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 14 สิงหาคม 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,759
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,561
    ค่าพลัง:
    +26,401
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,759
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,561
    ค่าพลัง:
    +26,401
    วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๑๔ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ ในช่วงเช้ากระผม/อาตมภาพรับบิณฑบาตตามโครงการ "หิ้วตะกร้า นุ่งผ้าซิ่น นั่งแคร่ไม้ ใส่บาตรพระทุกวันอาทิตย์" ปรากฏว่าวันอาทิตย์นี้เทวดาฟ้าดินเห็นใจ จึงช่วยให้ฝนไม่ตก ญาติโยมที่มาใส่บาตรเป็นจำนวนมาก ถึงขนาดล้นลงไปตามสะพานคอนกรีต จนกระทั่งเกือบถึงสะพานแขวนหลวงปู่สาย จึงไม่มีใครจะต้องเปียก

    หลังจากนั้นแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ได้นำญาติโยมทุกท่านที่มาร่วมงาน ภาวนาพระคาถาเงินล้าน ๑๐๘ จบ ซึ่งในงานก็ให้พวกเจ้าตัวเล็กช่วยกันขนเอาวัตถุมงคลบางอย่างที่พอมีเหลืออยู่นำมาเข้าพิธี เพื่อที่จะได้ออกในกระทู้ให้ญาติโยมทั้งหลายได้บูชา แล้วก็ได้เดินทางฝ่ารถติด เพื่อที่จะเข้าสู่สถานที่พักของคืนนี้ โดยที่ได้ขออนุญาตออกจากวัดช่วงเข้าพรรษาโดยสัตตาหกรณียะมาตั้งแต่หลังทำวัตรเช้าแล้ว

    ส่วนนี้ไม่ขอกล่าวถึง ที่อยากจะกล่าวถึงนั้นมีหลายเรื่อง ก็ว่ากันไปตามลำดับ ตามแต่เวลาจะอำนวย ได้มากได้น้อยเท่าไรก็ขึ้นอยู่กับเวลาที่พอจะมีเหลืออยู่

    เรื่องแรกก็คือ การที่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รับครูบาบุญชุ่มเป็นคนไข้ในพระบรมราชูปถัมภ์ คราวนี้สิ่งที่ครูบาบุญชุ่มท่านเป็น และกระผม/อาตมภาพมั่นใจ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ว่าเกิดจากอาการมาลาเรียขึ้นสมอง ก็เพราะว่ากระผม/อาตมภาพเป็นโรคนี้มาตั้งแต่อายุ ๒๒ ปี จนกระทั่งถึงบัดนี้อายุ ๖๓ ปีเต็ม ขึ้น ๖๔ ปีมาหลายเดือนแล้ว ไม่มียาไทย ยาฝรั่งอะไรรักษาหายแม้แต่อย่างเดียว..!

    ยาอะไรที่ว่าดี กระผม/อาตมภาพลองมาหมดแล้ว แม้กระทั่งควินินก็ฉันจนกระทั่งลมออกหู ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องไปเป็นเดือน ๆ จนคิดว่าหูเสียไปแล้ว แต่ก็รักษาไม่หาย ยาบางตัวฉันไป ๑ เม็ด เมาไป ๓๓ วัน..ก็ไม่หาย สมุนไพรบางอย่าง ฉันวันนี้ขมติดคอไปอีกสี่ห้าวัน..ก็ไม่หาย

    เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าอาการเจ็บไข้ได้ป่วยต่าง ๆ นั้นมาจากกรรมเก่าทั้งสิ้น ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านได้เมตตาบอกกระผม/อาตมภาพเอาไว้ตั้งแต่ก่อนจะบวชว่า "แกเป็นทหารมาทุกชาติ ฆ่าเขาเอาไว้มาก เศษกรรมปาณาติบาตจะทำให้ป่วยหนักตลอดเวลา ให้แกไปปล่อยชีวิตสัตว์ที่เขาจะฆ่า อย่างเช่นว่าปลาหน้าเขียงในตลาดสักเดือนละตัวสองตัว ให้ทำเป็นประจำ จะได้บรรเทาอาการตรงนี้ลงได้"

    กระผม/อาตมภาพก็ยังอวดดี กราบเรียนหลวงพ่อว่า "การปล่อยปลาเป็นการต่ออายุไม่ใช่หรือครับ ? ในเมื่อกระผมไม่ต้องการที่จะอายุยืนอยู่แล้ว จะปล่อยให้เสียเวลาไปทำไมครับ ?"

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านก็ยังอุตส่าห์เมตตาอธิบายว่า "แกอย่าเพิ่งเข้าใจผิด การปล่อยชีวิตสัตว์จะต่ออายุขัยให้ ก็ต่อเมื่อช่วงนั้นมีอุปฆาตกรรมเข้ามาตัดรอน แต่ถ้าไม่มีอุปฆาตกรรมเข้ามา การที่แกปล่อยให้เขารอดชีวิต ได้รับความสุข ได้รับความสะดวกสบาย ต่อไปแกทำอะไรก็จะสะดวกคล่องตัวไปหมด"
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,759
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,561
    ค่าพลัง:
    +26,401
    กระผม/อาตมภาพจึงเริ่มปล่อยปลาและชีวิตสัตว์อื่น ๆ เป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ ๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๒๙ แล้วปล่อยต่อเนื่องกันมาตลอด ก็แปลว่าตนเองบวชมากี่พรรษา ก็ปล่อยมาเท่านั้นปี จากปี ๒๕๒๙ หลังจากผ่านไป ๓๐ ปีเต็ม ๆ อาการป่วยก็บรรเทาลงเล็กน้อย นอกจากบรรเทาแล้ว ยังเจอหมอดี ยาดี ที่ช่วยปะทะประทังให้ร่างกายนี้ดีขึ้น แต่ก็ยังต้องระมัดระวังสุดชีวิต เพราะว่าเรื่องของมาลาเรียนั้น สำคัญที่สุดก็คือต้องพักผ่อนให้พอ ถ้าพักไม่พอเมื่อไร โรคภัยไข้เจ็บจะกำเริบทันที

    แล้วมาลาเรียเป็นโรคที่มีเพื่อนมาก เมื่อถึงเวลากำเริบขึ้นมาแล้ว ก็จะชักชวนโรคเก่า ๆ ที่เคยเป็นทุกโรคให้กำเริบขึ้นมาหมด ตรงไหนเคยแตก ตรงไหนเคยหัก เคยผ่าตัดมา จะเจ็บจะอักเสบขึ้นมาหมด อักเสบถึงขนาดที่ว่ารากผม เหมือนอย่างกับเข็มฝังอยู่บนหัว ถ้าเอามือแตะเส้นผม เหมือนกับมีเข็มแทงหัวตัวเอง กระดูกทุกข้อเจ็บปวดจนกระทั่งรู้ชัดเจนว่ามีกระดูกอยู่กี่ท่อน จึงได้เข้าใจว่า อาการที่คนตายเพราะมาลาเรียนั้น ส่วนใหญ่ก็คือตายเพราะทนการอักเสบไม่ไหว


    เรื่องของมาลาเรียนั้นตรวจเจอเชื้อยากมาก ต่อให้ครูบาบุญชุ่มอยู่โรงพยาบาลดีขนาดไหนก็ตาม กระผม/อาตมภาพมั่นใจว่าเมื่อตรวจหาเชื้อแล้วจะไม่มีทางพบเลย ด้วยสาเหตุ ๓ ประการ

    ประการที่ ๑ คือ กรรมบัง ถ้าหากว่ากรรมเก่าที่เราสร้างเอาไว้นั้นหนักหนาสาหัส ยังไม่ถึงวาระที่จะคลายตัว ต่อให้อาการหนักหนาขนาดไหน เครื่องไม้เครื่องมือหมอก็ไม่สามารถที่จะตรวจหาเจอได้


    ประการที่ ๒ คนตรวจไม่เก่งพอ เนื่องเพราะว่าเชื้อมาลาเรียนั้นมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของตัวเองไปหลายระยะด้วยกัน ในระยะฟักตัว เชื้อจะมีหน้าตาอย่างหนึ่ง ในระยะเติบโตจะมีหน้าตาอีกอย่างหนึ่ง ในระยะแก่ตัวจะมีหน้าตาอีกอย่างหนึ่ง


    ถ้าหากว่าบุคคลที่ศึกษาเกี่ยวกับมาลาเรียมา เคยเจอเชื้อในระยะไหน แล้วไปจดจำว่าหน้าตาของเชื้อมาลาเรียเป็นหน้าตาแบบนี้ เมื่อไปเจอเชื้อมาลาเรียที่เติบโตหรือว่าแก่ตัว ซึ่งอยู่ในอีกระยะหนึ่ง ก็อาจจะไม่เข้าใจและมองข้ามไป คิดว่าไม่ใช่มาลาเรีย

    ประการที่ ๓ เชื้อมาลาเรียนั้นเก่งมาก ถ้าหากว่าเรากินยาอะไรลงไป เชื้อมาลาเรียจะหลบทันที ซึ่งอาการนี้หมอบางท่านเข้าใจ และใช้คำว่า "เชื้อหลบยา"
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,759
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,561
    ค่าพลัง:
    +26,401
    กระผม/อาตมภาพเอง แม้ว่าป่วยเป็นมาลาเรียมาเกิน ๔๐ ปีแล้ว แต่ว่าที่หมอตรวจเจอจริง ๆ ทุกครั้ง ก็คือการที่ต้องทน ไม่แตะต้องยาใด ๆ ทั้งสิ้น จนกระทั่งอาการไข้ขึ้นเต็มที่แล้วค่อยไปให้หมอตรวจ ดังที่ได้กล่าวว่า อาการไข้ขึ้นถึง ๔๒ องศาเซลเซียส หมอถึงจะตรวจเจอเชื้อได้

    ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าหากว่ากรรมบัง หรือว่าคนตรวจไปเจอเชื้อในระยะอื่นแล้วคิดว่าไม่ใช่ ตลอดจนกระทั่งคนไข้กินยาเข้าไปแล้วเชื้อหลบ ก็ไม่สามารถที่จะตรวจหาเชื้อทั้งหลายเหล่านี้เจอได้

    สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลาย อย่าได้รบกวนธาตุขันธ์ของครูบาบุญชุ่มท่านมากนัก เหตุที่อาการกำเริบ ก็เพราะว่าทันทีที่ท่านออกจากถ้ำ หลังจากเข้ากรรมฐานมา ๓ ปี ๓ เดือน ๓ วัน ลูกศิษย์ไม่ได้เจอหน้ามานานมาก คิดถึงมาก จึงพาท่านตระเวนไปตลอด ๑๑ วันเต็ม ๆ เพื่อสงเคราะห์ญาติโยมเป็นพันเป็นหมื่นในแต่ละเมือง ไม่ได้พักผ่อนเพียงพอ จึงทำให้โรคมาลาเรียกำเริบขึ้นมาได้แล้วออกอาการอย่างที่เห็น


    นี่คือสิ่งหนึ่งที่อยากจะบอกอยากจะกล่าวกับญาติโยมทั้งหลายในตรงนี้ ให้ท่านได้ทราบว่า ต่อให้ตรวจไม่เจอเชื้อ เมื่อได้รับการพักผ่อนพอเพียง ร่างกายก็เหมือนกับคนปกติ อยู่ในลักษณะที่ว่า เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยก็ไม่มีเรี่ยวแรงจะทำงาน แต่พอหายดีขึ้นมาก็แข็งแรง กินได้ตามปกติ จนกระทั่งมีคนกล่าวว่าโรคมาลาเรียนั้นเป็น "โรคพ่อตาหน่าย แม่ยายชัง" เพราะว่าทำงานหนักไม่ได้ แถมยังเมื่อหายดีขึ้นมา ยังกินกระจายอีกต่างหาก..!

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องช่วยกันดูแลธาตุขันธ์ครูบาอาจารย์ ในแต่ละวันอย่างน้อยต้องให้ท่านได้พักผ่อนเพียงพอ ไม่เช่นนั้นแล้วอาการของโรคภัยไข้เจ็บนี้ก็จะกำเริบขึ้นมาได้อีก
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,759
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,561
    ค่าพลัง:
    +26,401
    อีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะบอกกล่าวกับทุกท่านก็คือว่า การภาวนาพระคาถาเงินล้าน ๑๐๘ จบครั้งที่แล้ว ซึ่งกระผม/อาตมภาพได้ขอให้เจ้าหน้าที่ทางวัดนำเอาข้าวปากหม้อมาเข้าพิธี เพื่อทำเป็นผงคำข้าววิเศษในการสร้างพระต่อไปตามที่พระท่านได้สั่งเอาไว้

    แต่ปรากฏว่าลูกศิษย์ไม่เข้าใจคำว่า "ข้าวปากหม้อ" จึงกลายเป็น "ข้าวทั้งหม้อ" โดยการอัดมาเสียจนกระทั่งแทบจะหายใจไม่ออก เมื่อถึงเวลาอบแห้งและทำเป็นผงแล้ว ได้ผงคำข้าวมาถึง ๘ ขีดครึ่ง เกือบ ๑ กิโลกรัมเต็ม ๆ..! งานในวันนี้จึงไม่ได้ทำการเสกคำข้าวเพิ่มเติม เพราะว่าผงที่มีอยู่นั้นก็เพียงพอแล้ว

    ในส่วนของการสร้างพระสมเด็จคำข้าวนั้น กระผม/อาตมภาพจะพยายามดึงเวลาออกไปให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เนื่องเพราะว่าพระสมเด็จคำข้าวของพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงนั้น ในท้องตลาดยังมีอยู่มากและพอที่จะหาได้ ถ้าหากว่าออกของใหม่มาแข่ง คนก็จะเลิกสนใจของเก่าแล้วก็มาหาบูชาของใหม่ ทำให้พระสมเด็จคำข้าวของวัดท่าซุงนั้นไปได้ไม่ไกลกว่านี้

    ประการต่อไปที่อยากจะบอกกล่าวกับทุกท่านก็คือว่า วัตถุมงคลของทางวัดท่าขนุนนั้น ถ้าเป็นวัดท่าขนุนสร้างเองจะมีอยู่ในทำเนียบของวัด ซึ่งปรากฏอยู่ในเว็บไซต์วัดท่าขนุน ท่านทั้งหลายสามารถเข้าไปดูได้ แต่อย่าพยายามไปหาไปสั่ง เพราะว่าวัตถุมงคลวัดท่าขนุน ส่วนใหญ่ออกมาแล้วก็มักจะหมดไปเลย


    ส่วนท่านทั้งหลายที่ไปเจอวัตถุมงคลที่กระผม/อาตมภาพไปเสกให้ตามวัดต่าง ๆ แล้วพยายามจะมาซื้อหาบูชาที่วัดท่าขนุน กระผม/อาตมภาพขอยืนยันว่าทางวัดไม่มี นอกจากบางวัดที่ท่านถวายพระเกจิอาจารย์ที่ร่วมงานปลุกเสกมา ส่วนใหญ่ก็จะถวายมาประมาณ ๑๐๐ - ๒๐๐ องค์เท่านั้น ไม่ได้มีมากมาย

    แล้วกระผม/อาตมภาพก็พยายามที่จะสร้างความต่างให้เกิด อย่างเช่นว่ามีการจารเพิ่มเป็นต้น จึงทำให้วัตถุมงคลส่วนนี้ไม่ใช่ราคาเดียวกับที่ทางวัดต้นสังกัดเขาออก ท่านไม่จำเป็นที่จะต้องมาต่อว่ากันที่นี่ แล้วขณะเดียวกัน ถ้าอยากได้ของถูกก็ให้ไปบูชาที่ทางวัดต้นสังกัด ไม่ใช่โทรมาเพื่อขอบูชาจากวัดท่าขนุน

    ส่วนที่น่าเกลียดที่สุดก็คือ โทรมาขอบูชาวัตถุมงคลวัดท่าซุงที่วัดท่าขนุน ไม่ทราบเหมือนกันว่าใช้อวัยวะส่วนไหนคิด...! ทำให้บรรดาเจ้าหน้าที่ที่รับโทรศัพท์ต้องปวดหัววันหนึ่งเป็นร้อยเป็นพันครั้ง


    จึงขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมทั้งหลายให้ทราบตามนี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอาทิตย์ที่ ๑๔ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...