เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 11 สิงหาคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,562
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,541
    ค่าพลัง:
    +26,380
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,562
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,541
    ค่าพลัง:
    +26,380
    วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๑๑ สิงหาคม พุทธศักราช ต้องบอกว่าเหมือนกับไม่มีปัญหา แต่ก็มีปัญหาที่ใหญ่มาก ก็คือมีผู้ที่มั่นใจว่าตนเองมีความรู้ในพระพุทธศาสนา อยู่ในระดับที่ถึงจะเป็นฆราวาส ก็สามารถที่จะมาสั่งสอนพระได้ มากล่าวว่าไม่ขอสนับสนุนในเรื่องของสมาธิ เนื่องเพราะว่าสมาธินั้นก่อให้เกิดโกสัชชะ คือ ความขี้เกียจ

    เรื่องนี้ต้องบอกว่าถ้าเป็นบุคคลที่เอาแต่อ่านตำรา แล้วไป "คิดว่า คาดว่า" อย่างเดียว ก็จะออกมาในแนวนี้ อย่าลืมว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้นทรงประกาศมัชฌิมาปฏิปทา คือ มรรคมีองค์ ๘ ประกอบไปด้วย ศีล สมาธิ และปัญญา อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ พอเหมาะ พอดี ที่จะทำให้เราท่านทั้งหลายสามารถหลุดพ้นจากกองทุกข์ไปสู่พระนิพพานได้

    แต่ว่าในปัจจุบันนี้ก็มีหลายสำนักด้วยกันที่สอนในเรื่องของสมาธิผิด ๆ อย่างเช่นว่าให้ใช้สมาธิแค่ระดับขณิกสมาธิ หรือว่าอุปจารสมาธิเท่านั้น เนื่องเพราะว่าสมาธิที่มากกว่านั้นมีแต่จะทำให้เกิดความขี้เกียจ เพราะว่านั่งสบายเป็นหัวหลักหัวตออยู่อย่างเดียว หรือไม่ก็สอนอยู่ในลักษณะที่ว่า สมาธินั้นถ้ามากจนเกินไปจะทำให้อินทรีย์ ๕ และ พละ ๕ ไม่เสมอกัน จึงต้องลดกำลังสมาธิลงมาให้พอเหมาะพอดี จึงจะทำให้สามารถที่จะรู้แจ้งเห็นจริงได้

    กระผม/อาตมภาพได้ฟังแล้วก็ได้แต่นั่งถอนหายใจ เนื่องเพราะว่าในเรื่องของ ศีล สมาธิ ปัญญา นั้น เปรียบเสมือนเชือก ๓ เกลียวที่ควั่นเข้าด้วยกัน จึงจะเป็นเส้นเชือกที่ใช้งานได้อย่างพอเหมาะพอดีที่สุด ถ้าขาดเส้นใดเส้นหนึ่งไป เชือกที่เหลือก็ไม่แข็งแรงพอ หรือถ้าพูดแบบไม่เกรงใจก็คือ ไม่สามารถที่จะเป็นเส้นเชือกได้..!

    แต่ก็ยังอุตส่าห์มีผู้ซึ่งมั่นใจว่าตนเองมีความสามารถมากกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปลดคุณค่าของสมาธิลงบ้าง ไปตำหนิติเตียนสมาธิบ้าง โดยกล่าวว่าเรื่องของสมาธินั้น โยคีบุคคลต่าง ๆ ทำมาตั้งแต่ก่อนสมัยพุทธกาลแล้ว ได้ถึงระดับสมาบัติ ๘ ก็ไม่ได้มรรคไม่ได้ผลอะไรเลย จนกระทั่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าถึงวิปัสสนาญาณอย่างแจ่มแจ้ง จึงทำให้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณได้
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,562
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,541
    ค่าพลัง:
    +26,380
    พูดไปแล้ว สำหรับบุคคลที่ฟังผ่านหูไปเฉย ๆ ก็เหมือนกับใช่ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ ท่านทั้งหลายลองไปศึกษาในมหากัมมวิภังคสูตรดูก็ได้ ว่าบุคคลนอกพระศาสนา ผู้สามารถทรงสมาธิ ทำให้จิตเหือดแห้งจากกามได้ ถ้าเราทำบุญด้วยมีอานิสงส์มากกว่าบุคคลทั่วไปเป็นแสนเท่า ก็แปลว่าสมาธินั้นมีคุณค่าอย่างมาก

    เพียงแต่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านำมาปรับให้พอเหมาะพอดีแก่การใช้งาน ไม่ได้เน้นสมาธิเพียงด้านเดียว เนื่องเพราะว่าพระองค์ท่านทรงใช้ศีล สมาธิ และปัญญา ประกอบเข้าหากันอย่างพอเหมาะพอดี จึงบังเกิดเป็นทางสายกลางที่ถูกต้องขึ้นมา

    ในเรื่องของสมาธินั้น คุณค่าใหญ่ก็คือสามารถที่จะระงับ รัก โลภ โกรธ หลง ลงได้ชั่วคราว เมื่อจิตของเราสงบจาก รัก โลภ โกรธ หลงแล้ว ก็ทำให้เกิดความผ่องใสขึ้น ปัญญาก็สามารถที่จะมองเห็นอะไรได้ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น ถ้าเปรียบไปแล้วก็คือว่าสมถกรรมฐาน หรือว่าสมาธินั้น เปรียบเหมือนการสร้างกำลังให้กับตนเอง

    วิปัสสนากรรมฐานหรือว่าปัญญานั้น เป็นอาวุธที่มีความคมกล้า ถ้าเราไม่มีกำลัง ก็ไม่สามารถที่จะยกอาวุธขึ้นตัดฟันอะไรได้ หรือถ้าเรามีแต่กำลัง แต่ปราศจากอาวุธ ก็ไม่สามารถที่จะตัดอะไรให้ขาดไปได้เช่นกัน

    ยกเว้นว่าท่านมีอายุขัยที่ยืนยาวและมีกำลังสมาธิที่สูงสุดจริง ๆ สามารถกดกิเลสให้นิ่งสนิทได้ในระยะเวลาที่ยาวนานพอ จนกระทั่งสามารถทำให้กิเลสนั้นตายไปจากใจของท่านได้ ก็จะบรรลุโดยอาการที่เรียกว่าเจโตวิมุติ ก็คือ บรรลุด้วยการใช้กำลังใจในการกดกิเลส เหมือนอย่างกับการใช้หินทับหญ้า ถ้าหากว่าทับได้เนิ่นนานพอ หญ้าก็สามารถที่จะตายได้

    ในขณะเดียวกัน ในเรื่องของปัญญาวิมุตินั้น ก็คือการที่เราตัดรากถอนโคนหญ้านั้นเลย ก็ทำให้หญ้านั้นสามารถที่จะตายลงไปได้เช่นกัน แต่ถ้าเรามีทั้งอาวุธ มีทั้งกำลัง จะตัดจะโค่นอะไรก็สะดวกสบายมากขึ้นหลายเท่า

    บุคคลที่บอกว่าใช้แค่อุปจารสมาธิ หรือว่าใช้แค่ขณิกสมาธินั้น เมื่อถึงเวลาปฏิบัติธรรมแล้ว ท่านทั้งหลายก็จะพบกับความทุกข์ทรมานเป็นอย่างยิ่ง เนื่องเพราะว่ากำลังไม่เพียงพอที่จะกดกิเลสให้สงบลงได้ชั่วคราว ก็จะโดนกิเลสกระหน่ำตีอยู่เสมอ ทำให้บุคคลที่ปฏิบัติสายนี้พบแต่ความทุกข์ความทรมานอยู่ตลอดเวลา จนหลายต่อหลายท่านก็เข็ดไป หรือจนกระทั่งหลายท่านสามารถที่จะทรงสมาธิได้ แต่ไม่บอกกับครูบาอาจารย์ เนื่องเพราะเห็นประโยชน์ว่าสมาธิสามารถระงับกิเลสได้ในเบื้องต้น

    บางทีท่านก็จะยกตัวอย่างว่า ครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งบวชตั้งแต่อายุ ๒๐ ปี ค่อย ๆ พิจารณาด้วยกำลังของอุปจารสมาธิ รู้เท่าทันกิเลสอยู่ตลอดเวลา จดจ่อต่อเนื่องอยู่ไม่ขาดสาย จนกระทั่งอายุ ๘๐ ปีก็สามารถที่จะบรรลุอรหัตผล เป็นอริยบุคคลสูงสุดในพระพุทธศาสนาได้
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,562
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,541
    ค่าพลัง:
    +26,380
    กระผม/อาตมภาพเองอยากจะบอกว่าคนพูดนั้นเข้าใจผิด เนื่องเพราะว่าการตัดกิเลสนั้นต้องมีกำลังสมาธิในการช่วยปัญญา ถ้ากำลังสมาธิถึงระดับปฐมฌานละเอียด ท่านจะมีกำลังตัดได้ในระดับพระโสดาบันและพระสกทาคามี แต่ถ้าตั้งแต่พระอนาคามีขึ้นไป สมาธิของท่านต้องถึงระดับฌาน ๔ ละเอียดคล่องตัว ไม่เช่นนั้นแล้วกำลังก็ไม่เพียงพอที่จะช่วยปัญญาในการตัดกิเลสได้

    หลวงปู่ท่านนั้น เมื่อพิจารณาจดจ่อต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ต่อให้ท่านดำเนินในลักษณะของขณิกสมาธิ หรือว่าอุปจารสมาธิก็ตาม ท้ายที่สุดก็จะสั่งสมจนกระทั่งกลายเป็นระดับฌาน ๔ เพียงพอที่จะตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน เป็นพระอรหันต์ อริยบุคคลในพระพุทธศาสนา

    ท่านต้องไม่ลืมว่าหลวงปู่ท่านบวชตั้งแต่อายุ ๒๐ ปี ปฏิบัติต่อเนื่องอยู่ตลอด ๖๐ ปีแล้วถึงบรรลุ เนื่องเพราะว่าใช้สมาธิไม่เพียงพอ หรืออยากจะบอกว่าปฏิบัติในเบื้องต้นแบบผิด ๆ ก็กล่าวได้ แต่ถ้าหากว่าเราเองอายุไม่ยืนยาวเท่าหลวงปู่ ก็มีสิทธิ์ที่จะตายฟรี โดยปราศจากคุณงามความดีใด ๆ เลย เนื่องเพราะว่ากำลังของเราไม่เพียงพอที่จะตัดกิเลส ถ้าสภาพจิตเกาะความดีได้ ก็มีสุคติเบื้องต้นเป็นที่ไป แต่ถ้าเกาะความดีไม่ได้ เกิดไม่พอใจอะไรขึ้นมาแม้แต่เล็กน้อย โอกาสที่จะลงสู่อบายภูมิก็มีมาก

    ในเมื่อมีวิธีการที่เหมาะสม ก็คืออ้างถึงอินทรีย์ ๕ และพละ ๕ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ โดยที่กล่าวว่าทุกอย่างต้องเสมอกันถึงจะบังเกิดผล กระผม/อาตมภาพก็ไม่ได้ถกเถียง หากแต่อยากจะเรียนถามกลับไปว่า ในเมื่อเรามีกำลังสมาธิสูง แล้วทำไมถึงไม่ปรับอินทรีย์ตัวอื่นขึ้นมา ? ก็คือยกเอา ศรัทธา วิริยะ สติและปัญญาขึ้นมาให้เท่าเทียมกับสมาธิ ไม่ใช่ว่าบังคับให้ลดสมาธิลงไป แล้วก็ไปทุกข์ทรมานด้วยการปฏิบัติผิดวิธีที่โง่เขลาแบบนั้น..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,562
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,541
    ค่าพลัง:
    +26,380
    แล้วสมัยนี้ครูบาอาจารย์ประเภทนี้ก็มีมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะบางท่านที่มั่นอกมั่นใจว่าตนเองมีความรู้มากกว่าพระภิกษุสามเณรที่ศึกษามาน้อยกว่า ถึงขนาดตั้งแง่รังเกียจว่าประพฤติอย่างนั้นก็ไม่ถูก ประพฤติอย่างนี้ก็ไม่เคร่งครัด ต้องอย่างที่ท่านเห็นว่าใช่เท่านั้น

    กระผม/อาตมภาพอยากจะบอกว่า ถ้าหากว่าท่านเข้าใจว่าท่านมีความสามารถที่แท้จริง ท่านก็ทำตัวของท่านให้เข้าถึงที่สุดไปเถิด ไม่ต้องเสียเวลามายุ่งเกี่ยว ทำให้คนอื่นเขา "เนิ่นช้า" ตามตัวของท่านไปด้วย เนื่องเพราะว่าถ้าเดินผิดทาง กลายเป็นมิจฉาทิฏฐิ ก็จะมีแต่เวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบ

    ในขณะเดียวกัน กิเลสต่าง ๆ ที่ยังร้อยรัดตนเองอยู่อย่างเต็มที่ แต่เราไปเข้าใจว่าเป็นผู้ไม่มีกิเลส เนื่องจากว่าเป็นคนแก่ ทำให้ รัก โลภ โกรธ หลง จืดจางเบาบางลงไปตามอายุ แต่ขณะเดียวกัน มานะถือตัวถือตนก็ยิ่งมีมากยิ่งขึ้น จึงทำให้ท่านทั้งหลายมีความเข้าใจผิดไปได้ว่าตนเองใกล้มรรคใกล้ผลแล้ว ตนเองมีความสามารถเหนือกว่าพระภิกษุสามเณรทั่ว ๆ ไปแล้ว เพราะว่าสามารถเห็นข้อบกพร่องของคนอื่น แต่การมองออกไปสู่คนอื่นนั้นเป็นการมองง่าย การมองย้อนกลับมาเพื่อสั่งสอนตนเอง แก้ไขตนเองนั้นเป็นเรื่องยาก

    กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่ตั้งกุศลจิตปรารถนาดีว่า ท่านคงจะสามารถกลับตัวกลับใจได้ก่อน "วินาทีสุดท้าย" เพื่อที่อย่างน้อย ๆ ท่านจะได้มีสุคติเป็นที่ไป หาไม่แล้วก็อาจจะต้องเดือดร้อนวุ่นวายจากการเวียนว่ายตายเกิดในทุคติอีกนานเหลือที่จะนับคณา..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอาทิตย์ที่ ๑๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...