เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 26 กันยายน 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,704
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,556
    ค่าพลัง:
    +26,395
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๖


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,704
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,556
    ค่าพลัง:
    +26,395
    วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๒๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ สถานการณ์วัดเราค่อนข้างแย่ เพราะว่าติดไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ไป ๑๙ รูป/คนแล้ว ท่านทั้งหลายจะเห็นว่า ถ้าออกงาน ส่วนใหญ่กระผม/อาตมภาพจะใส่หน้ากากตลอดเวลา ก็คือไม่สนใจหรอกว่าใครจะว่ากลัวหรือไม่กลัว เนื่องเพราะรู้ดีว่าตัวเองไม่มีภูมิคุ้มกัน เดินผ่านใครที่เป็นโรคติดเชื้อนี่ติดได้ทันทีเลย จึงต้องระวังตัวเองเอาไว้ก่อน

    คราวนี้พวกท่าน ถ้าหากว่าใครประมาท เดี๋ยวก็ได้รางวัล อย่าคิดว่าไข้หวัดใหญ่ไม่รุนแรง สมัยที่ระบาดใหม่ ๆ ตายกันเป็นล้าน ๆ คล้าย ๆ กับโควิด ๑๙ ที่ผ่านมา แล้วตอนนี้ถ้าหากว่าเราติดเชื้อโควิด ๑๙ ซ้ำเข้าไป ก็ต้องบอกว่าเจริญ..! จึงต้องระมัดระวังกันให้มากหน่อย ใครเจ็บไข้ได้ป่วย รู้ตัวก็ห่าง ๆ เพื่อนฝูงไว้หน่อย อย่ารักกันมาก ไปหากันอยู่ทุกวันเดี๋ยวก็พาเพื่อนเดือดร้อนไปด้วย..!

    สำหรับเรื่องหลวงตาชา (พระปรีชา อกิญฺจโน) ก็ช่วยกันดูแลสักนิดหนึ่ง โดยเฉพาะพระที่ได้รับการอบรมพระคิลานุปัฏฐากมา ไม่ใช่ไปยืนชี้นิ้วสั่งท่านที่เฝ้าอยู่ให้ทำอย่างโน้นอย่างนี้ เข้าไปแล้วเห็นว่าอะไรที่เราช่วยได้ให้ลงมือทำไปเลย ท่านเองก็ไม่ได้อยู่กับเรานานนักหรอก อีกไม่กี่วันก็ไปแล้ว

    แต่จริง ๆ ตรงส่วนนี้อยากจะบอกว่า พวกเราส่วนหนึ่งติดอยู่ที่คำอธิษฐาน คือเราไปอธิษฐานว่า "ขอเข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้" คราวนี้ตั้งใจจะไปให้ถึง แต่สิ่งที่ทำไม่ได้สมกับความตั้งใจ สังขารก็เลยต้องโดนรั้งเอาไว้ ต้องทรมานไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะทำใจได้แหละครับ..!

    ถ้าถามว่าแก้ไขได้ไหม ? ง่ายนิดเดียว พิจารณาวิปัสสนาญาณให้เห็นความเป็นทุกข์เป็นโทษของร่างกายนี้อย่างแท้จริง ถอนความปรารถนาในการเกิดได้ก็จบแล้ว ส่วนใหญ่แล้วพวกเราขาดการพิจารณา เอาแต่ภาวนาอย่างเดียว พอจิตสงบก็จบแค่นั้น เผลอเมื่อไรก็โดนกิเลสตีกลับหงายท้อง..!

    อีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะพูดก็คือ "ดราม่า" ที่เกิดขึ้นในช่วงการประชุมพระสังฆาธิการที่ผ่านมา เนื่องเพราะว่าทางสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดกาญจนบุรี เสนอให้วัดท่าขนุนให้รับรางวัลสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดดีเด่น ให้รับรางวัล อ.ป.ต. (หน่วยอบรมประชาชนประจำตำบล) ดีเด่น

    แต่ปรากฏว่าทางด้านพระเดชพระคุณพระเทพปริยัติโสภณ, ดร. (ปัญญา วิสุทฺธิปญฺโญ ป.ธ.๙) เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ท่านบอกว่าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเสนอไปนั้นใช้ไม่ได้ เพราะว่าเรื่องพวกนี้ต้องพิจารณาจากคณะสงฆ์แล้วส่งขึ้นไป ก็คือต้องเป็นมติของคณะสงฆ์ จึงได้ทำการพิจารณากันใหม่ แล้วหลวงพ่อพระครูวรกาญจนโชติ เจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ ท่านก็ขอสละสิทธิ์ ก็คือทางทองผาภูมิไม่ส่งเข้าชิงทั้งสองรายการ ก็เลยทำให้หลายคนเกิด "ดราม่า" ว่ามีการเตะสกัดไม่ให้กระผม/อาตมภาพได้รางวัล ถ้าหากว่าใคร "ดราม่า" หนัก แสดงว่าไม่รู้เลยว่าเรื่องการปกครองคณะสงฆ์เป็นอย่างไร เอาแต่ตัวเองล้วน ๆ..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,704
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,556
    ค่าพลัง:
    +26,395
    ท่านทั้งหลายอย่าลืมนะครับว่า กระผม/อาตมภาพทำงานทุกอย่างเพราะอยากทำ ไม่ใช่ทำงานทุกอย่างเพราะอยากดีหรืออยากได้รางวัล ผลงานแสดงออกมา ทุกคนเห็นอยู่แล้ว เอ่ยถึงชื่อวัดท่าขนุน เขายอมรับกันทั้งประเทศ ไม่ใช่ยอมรับแค่จังหวัดกาญจนบุรี โดยเฉพาะช่วงที่ออกไปตรวจประเมินเพื่อยกหมู่บ้านศีล ๕ ต้นแบบ คณะกรรมการจากทั่วประเทศ ใครเจอหน้าเขาก็ชื่นชมกันทั้งนั้น

    แล้วคราวนี้ปัญหาอยู่ตรงไหน ? ปัญหาอยู่ตรงที่ว่าคนที่ "ดราม่า" นั้นคิดแต่เรื่องตัวเอง ไม่ได้คิดถึงเรื่องการปกครองคณะสงฆ์ ท่านทั้งหลายอาจจะเคยได้ฟังกระผม/อาตมภาพที่นำเอากฐินปลดหนี้ไปทอดให้วัดโน้นบ้าง วัดนี้บ้าง วัตถุประสงค์สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ พอเรายืนได้เข้มแข็งมั่นคงแล้ว ต้องช่วยคนอื่นด้วย

    เจ้าคณะปกครองก็ต้องมองในพื้นที่ของตนเอง ว่าใครมีศักยภาพเพียงพอ แล้วก็พยายามดันเขาขึ้นไปให้รับรางวัลบ้าง เพื่อเป็นกำลังใจในการทำงาน รางวัลที่ได้มาแม้จะแค่หมื่นบาทสองหมื่นบาท แต่ว่าสำหรับบางวัดแล้วแทบจะเป็นรายได้ทั้งปี..! แต่พอเอามาให้วัดท่าขนุน ก็ไม่พออุดซอกฟัน..! แล้ววัดท่าขนุนคุณจะให้รับไปทำอะไร ? ได้มาทุกปีอยู่แล้ว โดยเฉพาะมีอยู่ช่วงหนึ่งรับมา ๓ ปีซ้อนติดกัน ปีที่แล้วก็เพิ่งรับรางวัลเจ้าสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดดีเด่น ปีนี้จะเอาอีกแล้ว..!

    คราวนี้ถ้าหากว่าเทียบผลงาน วัดอื่นที่เขาเสนอขึ้นไปอาจจะอยู่ในระดับ ๖๐ - ๗๐ เปอร์เซ็นต์ ของวัดท่าขนุนอาจจะ ๙๙ หรือว่า ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ สิ่งนี้เอามาวัดกันไม่ได้ ถ้าคุณจะให้ทุกวัดมีมาตรฐานเดียวกัน ประเทศไทยจะเจริญเกินไป..! อย่าลืมว่า ๖๐ - ๗๐ เปอร์เซ็นต์ก็คือเกินครึ่ง นับว่าเข้ามาตรฐานเขาแล้ว

    แล้วโดยเฉพาะครูบาอาจารย์ หรือว่าเจ้าคณะปกครอง ท่านมองภาพรวม ก็คือดันทุกวัดให้ขึ้นไปด้วยกัน ต่อให้ไม่สามารถที่จะไล่วัดท่าขนุนทัน ขอให้เห็นหลังไว ๆ ก็ยังดี เขาจะได้มีกำลังใจในการทำงาน อย่างที่กระผม/อาตมภาพบอกแล้วว่า พวกเรามักจะบ้าไม่พอ ถ้าหากว่าบ้าพออย่างพระครูเทพ (พระครูปฐมสาธุวัฒน์) วัดสี่แยกเจริญพร ก็จะไม่สนใจดินฟ้าอะไรหรอก เป็นหนี้กูก็จะทำ นั่นเป็นปัญหาของเจ้าหนี้ ไม่ใช่ปัญหาของกู..!

    ดังนั้น..ในเมื่อเราเองไม่ได้ต้องการกำลังใจตรงนี้ รับรางวัลหรือไม่รับก็เหมือนกัน เพราะว่ารางวัลที่ใหญ่ที่สุดก็คือ คณะสงฆ์ทั้งประเทศเขายอมรับเราอยู่แล้ว โดยเฉพาะหลวงพ่อพระครูวรกาญจนโชติ ท่านสนับสนุน
    กระผม/อาตมภาพมาตลอด ตั้งแต่ยังเป็นเลขานุการเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ กระผม/อาตมภาพไม่ยอมขอสัญญาบัตรสักที เนื่องเพราะมีนิสัยว่า "ถ้าจะให้ก็ให้มาเลย แต่ถ้าให้ขอเอง ผมไม่ทำ" ท่านเองต้องเป็นคนทำประวัติให้ เพราะว่าอาวุโสของกระผม/อาตมภาพไปค้ำคนอื่น พอส่งขึ้นไป ผู้บังคับบัญชาระดับสูงก็จะถามว่า "แล้ววัดท่าขนุนอยู่ที่ไหน ?" คราวนี้วัดท่าขนุนไม่ยอมทำเอง ท่านก็ต้องทำให้เอง
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,704
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,556
    ค่าพลัง:
    +26,395
    แม้กระทั่งการเป็นเจ้าคณะตำบลชะแล เขต ๒ หรือว่าเจ้าคณะตำบลท่าขนุน เขต ๒ ท่านก็เป็นคนผลักดันให้ แล้วแบบนี้ท่านจะเสียเวลามาเตะสกัดกระผม/อาตมภาพไปทำอะไร ? เพราะว่าทุกวันนี้ก็มีคุณูปการเหนือเจ้านายอยู่แล้ว มีอะไรท่านก็ต้องพึ่งวัดท่าขนุน

    ดังนั้น..ถ้าหากว่าเรามองสั้น ๆ ก็คือเอาเฉพาะวัดของตัวเอง หรือว่าเอาเฉพาะตัวเอง ก็จะเห็นว่าเขาเตะสกัด แต่ถ้าหากว่ามองในสายตาของเจ้าคณะปกครอง ก็คือต้องเฉลี่ยกันไป ให้ทุกคนเขาได้รับบ้าง ถึงเวลาท่านจะได้มีกำลังใจในการทำงาน

    แม้แต่พระเดชพระคุณพระเทพปริยัติโสภณ, ดร. เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ท่านก็สนับสนุนกระผม/อาตมภาพมาตลอด ตั้งแต่ยังเป็นพระมหาปัญญา วิสุทฺธิปญฺโญ ป.ธ. ๙ แม้แต่การมาเป็นเจ้าอาวาสที่วัดท่าขนุนนี้ ท่านก็โทรมากำชับทางคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิว่า "วัดท่าขนุนให้อาจารย์เล็กเขาไป" ทุกวันนี้มีอะไรท่านก็ช่วยดันหลังให้ อะไรที่สมควร ท่านจับนั่งลงได้ ยัดเยียดให้ได้ ท่านก็รีบให้ แล้วเจ้านายแบบนี้ท่านจะเตะสกัด
    กระผม/อาตมภาพไปทำอะไร ? พวกเราส่วนใหญ่แล้วสายตาคับแคบ แล้วก็ไม่ได้มองเหตุมองผล คิดอยู่อย่างเดียวว่าเราควรที่จะได้

    เรื่องพวกนี้มีทั่วไป หลายต่อหลายคนก็ทำงานแบบซังกะตาย แต่ถึงเวลาพิจารณาความดีความชอบ "กูจะเอาสองขั้น" แล้วจะไปเอาที่ไหน ? ก็ในเมื่อผลงานคุณไม่ได้ เรื่องพวกนี้พูดออกไปก็วัดได้เลยว่ากำลังใจของตัวเองเป็นอย่างไร ? มีหลักธรรมเพียงพอรักษาตนหรือไม่ ? โบราณเขาบอกแล้วว่า สำเนียงส่อภาษา กริยาส่อสกุล ในโคลงโลกนิติเขาก็บอกชัดเจนว่า

    ก้านบัวบอกลึกตื้น ชลธาร
    มารยาทส่อสันดาน ชาติเชื้อ
    โฉดฉลาดเพราะคำขาน ควรทราบ
    หย่อมหญ้าเหี่ยวแห้งเรื้อ บอกร้าย แสลงดิน
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,704
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,556
    ค่าพลัง:
    +26,395
    พูดออกไป คนอื่นเขาก็รู้แล้วว่ากำลังใจของคุณมีแค่ไหน ? เพราะฉะนั้น..เรื่องนี้ขอให้จบ ๆ ลงไป ใครเขาว่ามาก็อย่าไปใส่อารมณ์ตามเขา ไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากกำลังใจของเราเสียเอง..!

    กระผม/อาตมภาพเคยบอกกับตัวเองว่า ที่ต้องรักษากำลังใจเอาไว้ทุกวันนี้ ก็เพราะว่าเวลากำลังใจเสียไปแล้ว เอาคืนได้ยากที่สุด แล้วถ้าตายตอนนั้น โอกาสลงนรกก็มีมาก..!

    ดังนั้น..สิ่งที่กระผม/อาตมภาพเสียดายที่สุดก็คือกำลังใจที่เศร้าหมองลงไป ต่อให้เอาเงินเป็นแสนเป็นล้านมากองเอาไว้ แล้วกำลังใจเสีย กระผม/อาตมภาพก็ไม่เอา..!

    คนที่รักษากำลังใจได้ เท่ากับประกันอนาคตตัวเองว่า คุณจะมีสุคติเป็นที่ไป ไม่ใช่ไปเห็นแก่เล็กแก่น้อย แล้วทำให้กำลังใจของเราเสีย ยิ่งวิพากษ์วิจารณ์ร่วมกับคนอื่นมากเท่าไร ก็พาคนอื่นเขาเสียหายไปด้วย แทนที่จะลงนรกคนเดียว ก็พาคนอื่นเขาลงไปด้วย แล้วไอ้คนอื่นก็โง่พอที่จะโดดตามลงไปอย่างเต็มอกเต็มใจ..!

    เรื่องพวกนี้จึงเป็นเรื่องที่ท่านทั้งหลายต้องเปิดโลกทรรศน์ให้กว้างกว่านี้ อย่าทำตัวเป็นกบ หรือว่าหิ่งห้อยอยู่ในกะลา คิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่แทบจะเต็มกะลาอยู่แล้ว ไอ้นั่นไม่ใช่โลกทั้งใบนะ เปิดกะลาขึ้นมาเมื่อไรแล้วจะเห็นว่าโลกที่แท้จริงนั้นกว้างใหญ่แค่ไหน

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอังคารที่ ๒๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...