เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 20 กันยายน 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,759
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,561
    ค่าพลัง:
    +26,401
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,759
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,561
    ค่าพลัง:
    +26,401
    วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๒๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ กระผม/อาตมภาพเข้าร่วมอบรมในโครงการผู้ประเมินบทความทางวิชาการ รุ่นที่ ๑/๒๕๖๕ ของวิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาศรีทวารวดี โดยที่ได้ลงเอาไว้ในฐานะผู้ประเมินว่า มีความชำนาญด้านการจัดการ ด้านทรัพยากรมนุษย์และด้านวิปัสสนากรรมฐาน

    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าหากว่าไม่ตรงกับความชำนาญของเราแล้วไปตรวจประเมิน ก็อาจจะสร้างความเสียหายให้เกิดกับผู้เขียนบทความได้ หรือไม่ก็อาจจะทำให้วารสารนั้น ๆ โดนประเมินว่าเป็นวารสาร "ไม่ถึงขั้น" ใครเอาบทความไปลงก็เสียเวลาเปล่า..ประมาณนั้น

    แต่ว่านี่ไม่ใช่ส่วนที่อยากจะพูดถึง ส่วนที่อยากจะพูดถึงก็คือว่า ในระหว่างที่รับการอบรมอยู่ เนื้อหาส่วนใดที่เข้าใจแล้ว ก็แบ่งความรู้สึกไปทำงานอื่นด้วย จึงได้เข้าไปตรวจการในเว็บวัดท่าขนุน แล้วก็เห็นว่ามีบุคคลเหมาเอาพระยอดขุนพลกาญจนบุรี พิมพ์ใหญ่ สีดำ เนื้อแก่ผงกากยายักษ์ ส่วนที่เหลือไปทั้งหมด

    สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ กระผม/อาตมภาพไม่ได้ดีใจเลย เนื่องเพราะว่าผู้ที่เหมาไปนั้น ถ้าเอาไปจำหน่ายต่อก็ว่าไปอย่างหนึ่ง แต่ถ้าเอาไปเก็บเอาไว้เพื่อความภาคภูมิใจเป็นส่วนตัวก็ดี หรือว่าตั้งใจจะช่วยวัดก็ตาม กระผม/อาตมภาพอยากจะบอกชัด ๆ ว่า "กรุณาอย่าเสือกยุ่งกับเรื่องของกู..!" เพราะว่ากระผม/อาตมภาพไม่ได้มีปัญหาในเรื่องการเงินแม้แต่นิดเดียว ต้องการเงินเท่าไร ถึงเวลาก็จะมีมาเอง

    ตัวของบุคคลที่เคยทำบุญจำนวนมาก ๆ กับวัดท่าขนุน แล้วมักจะโดนกระผม/อาตมภาพปฏิเสธไป อย่างเช่น ถามแล้วถามอีกว่า "มีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินในส่วนอื่นอีกหรือไม่ ?" จนกระทั่งมั่นใจแล้ว เขายืนยันว่า
    ถ้าหากว่าไม่มีเงินก้อนนี้แล้วไม่เดือดร้อน กระผม/อาตมภาพถึงได้รับเอาไว้

    หรือว่าบางรายทำบุญมาทีหนึ่งหลายล้านบาท..! กระผม/อาตมภาพบอกให้เอากลับไปก่อน "ให้เวลาคิด ๗ วัน ถ้าหากว่า ๗ วันไปแล้วยังไม่เปลี่ยนใจ ค่อยเอามาถวายใหม่" ในระหว่าง ๗ วันนั้นให้พิจารณาดูว่า ตัวเราก็ดี ลูกเมียก็ดี หน้าที่การงานก็ตาม มีส่วนใดที่จำเป็นต้องใช้เงินก้อนนี้บ้าง ? ถ้าหากว่า
    เมื่อเสียเงินก้อนนี้ไปแล้วไม่มีใครเดือดร้อนจริง ๆ ค่อยเอามาถวายใหม่
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,759
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,561
    ค่าพลัง:
    +26,401
    การทำบุญนั้น เราจะต้องทำบุญโดยมีปัญญาประกอบด้วย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวถึงหลักธรรมมากต่อมากด้วยกัน โดยที่ลงท้ายด้วยปัญญาเอาไว้เสมอ แม้กระทั่งสรุปลงมาเหลือแค่หลักไตรสิกขา ก็ยังเป็น ศีล สมาธิ และปัญญา

    ดังนั้น..บางคนอาจจะไม่ได้คิดถึง ประมาณว่าหน้ามืดตามัว ไม่ได้ดูว่าตัวเองเป็นหนู จะเอาเนื้อไปปะให้ช้าง ช้างเกิดบาดแผลหน่อยหนึ่ง ไม่ถึงตายแน่นอน แต่ว่าหนูไปสงสารช้าง แล้วตัดเนื้อตัวเองไปปะให้ช้าง กว่าจะเต็มบาดแผลนั้น เนื้อก็คงจะหมดจากตัวหนู ถึงแก่ความตายพอดี จึงมีสำนวนว่า "เอาเนื้อหนูไปปะเนื้อช้าง" บรรดาสำนวนต่าง ๆ ของโบราณนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นภูมิปัญญาที่ตกผลึกมาทั้งสิ้น

    ดังนั้น..ในเมื่อท่านทำเช่นนี้ คนรอบข้างอาจจะเกรงใจไม่กล้าว่ากล่าว แต่ขอให้รู้ด้วยว่า ถ้าเขาเกิดความไม่ยินดี จิตใจเศร้าหมองขึ้นมา เท่ากับว่าท่านกำลังหาอบายภูมิให้กับคนรักรอบตัว ถ้าหากว่าคิดจะช่วยเหลือกระผม/อาตมภาพด้วยการหาเงินให้กับวัดท่าขนุน ขอใช้คำพูดเดิม ๆ ที่เคยบอกเสมอว่า "อะไรที่กูไม่ได้สั่ง..โปรดอย่าเสือก..!" เพราะว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ มีแต่จะทำให้ตัวเองและคนรอบข้างเดือดร้อน

    ถึงแม้ว่ากระผม/อาตมภาพไม่ได้เงินก้อนนี้มา ก็จะได้มาจากทางอื่น แต่ว่าท่านทั้งหลายที่ทำในลักษณะอย่างนี้ ถ้าหมดเงินก้อนนี้ไปอาจจะเดือดร้อนมากกว่าที่คิด คนที่ท่านรักอาจจะเกรงใจไม่กล้าพูด แต่กระผม/อาตมภาพไม่เคยเกรงใจใครที่ทำอะไรโง่ ๆ แบบนี้ ดังนั้น..จึงขอพูดตรงนี้ให้ชัดเจนไปเลย

    การทำบุญไม่ใช่ทำทีละมาก ๆ แล้วพระพุทธเจ้าจะสรรเสริญ เพราะว่าหลักของการทำบุญให้ทานนั้น คือการตัดความโลภจากจิตจากใจของตนเอง ไม่ใช่ว่าทำมาก ๆ ทีเดียวแล้วจะดี การทำบุญมาก ๆ ทีเดียวนั้น กำลังใจก็ตัดออกยาก ละออกยาก โอกาสที่เราจะ "ยินดีก่อนที่จะทำ ในระหว่างที่ทำมีความยินดี เมื่อทำไปแล้วนึกถึงเมื่อไรก็ยินดีเมื่อนั้น" ก็จะเกิดขึ้นได้ยาก

    บางท่าน
    เมื่อรับความลำบากขึ้นมา กำลังใจถดถอย ก็จะไปคำนึงถึงว่า ถ้าเราไม่เสียเงินก้อนนี้ไป เราอาจจะไม่ลำบากแบบนี้ ทำให้จิตใจเศร้าหมอง ถ้าตายลงไปตอนนั้น มีโอกาสลงสู่อบายภูมิสูงมาก..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,759
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,561
    ค่าพลัง:
    +26,401
    เรื่องของการทำทานนั้น ในเมื่อเป็นการทำเพื่อตัดความโลภ ก็ให้ทำบ่อย ๆ "ทำน้อย ๆ แต่บ่อยครั้ง ดีกว่าทำมาก ๆ ครั้งเดียว" การทำน้อย ๆ แต่บ่อยครั้ง เราได้จาคานุสติ ได้ทานบารมีทุกครั้ง เมื่อทำไปนาน ๆ เข้า กำลังใจเข้มแข็งมากขึ้น ก็สามารถที่จะสละออกได้มากขึ้น แต่เป็นการสละออกแบบคนมีปัญญา ไม่ใช่ว่าเรามี ๒๐ บาท เราก็ทำบุญ ๒๐ บาท เพราะเห็นว่าคนอื่นทำทีเป็นพันเป็นหมื่น หรือว่ามหาเศรษฐีพันล้านทำบุญทีหนึ่งตั้งล้านบาท..!

    ถ้าหากว่าเรามี ๑๐ บาท เราทำไป ๑ บาท นั่นเท่ากับ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ที่เรามีอยู่ แต่มหาเศรษฐีพันล้าน ทำบุญหนึ่งล้าน คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ยังไม่ได้เลย แล้วจะไปเปรียบเทียบกำลังใจได้อย่างไร ?

    การทำทานนั้น ถ้าหากว่าเนื้อนาบุญอยู่ในระดับเดียวกัน เราก็ได้เกิดเป็นมหาเศรษฐีเหมือนกัน เพียงแต่ว่าเราอาจจะมีทรัพย์แค่ ๘๐ โกฏิ ส่วนคนที่ทำมาก เพราะมีความคล่องตัวกว่า เขาอาจจะมีสัก ๒๐๐ - ๓๐๐ โกฏิ แต่ก็จัดอยู่ในเกณฑ์ของมหาเศรษฐีเช่นเดียวกัน

    ดังนั้น..ในเรื่องของการทำทานจึงควรที่ต้องพินิจพิจารณา ดูว่าทำแล้วตัวเราและคนรอบข้างเดือดร้อนหรือไม่ ? ให้ระลึกอยู่เสมอว่า ทานใดที่ทำไปแล้ว ตัวเราและคนรอบข้าง มีผู้หนึ่งผู้ใดเดือดร้อน นั่นไม่ใช่ทานที่พระพุทธเจ้าสรรเสริญ ต้องใช้ปัญญาให้มากเข้าไว้ ไม่ใช่ทำกันแบบบ้าเลือด แล้วก็พาให้เกิดการ "บ้านแตกสาแหรกขาด..!"

    แบบเดียวกับที่บางคนไปเจอการทำบุญแบบแชร์ลูกโซ่ คนหนึ่งต้องหาเพิ่มให้ได้ ๕ คน จาก ๕ คนต้องหาให้ได้ ๒๕ คน ลักษณะของการกระทำก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าเจตนาไม่บริสุทธิ์ ในเมื่อเจตนาในการทำบุญไม่บริสุทธิ์ วัตถุทานที่ได้มาก็ไม่บริสุทธิ์ ผู้ให้ก็ไม่บริสุทธิ์ ต่อให้ผู้รับบริสุทธิ์ อย่างไรทานนั้นก็มีผลน้อย ทำมากเท่าไรก็ได้บุญแค่เฟื้องแค่สลึง

    แบบเดียวกับที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) วัดระฆังโฆสิตาราม หรือที่เรียกสั้น ๆ ตามภาษาชาวบ้านว่า หลวงปู่โต วัดระฆัง ไปรับโมทนาวิหารทานจากยายแฟง ซึ่งสร้างวัดถวายเอาไว้ในพระพุทธศาสนา จัดเป็นวิหารทานที่สูงกว่าสังฆทานเป็นร้อยเท่า

    แต่เมื่อยายแฟงได้ถามถึงอานิสงส์ พระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ วัดระฆัง ได้ตอบว่า "ทำเป็นล้านอานิสงส์ก็ได้แค่สลึงเฟื้อง เพราะว่าเจตนาไม่บริสุทธิ์ วัตถุทานไม่บริสุทธิ์ แล้วจะเอาบุญเต็มที่มาจากไหน ?"
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,759
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,561
    ค่าพลัง:
    +26,401
    เรื่องนี้จึงควรเป็นตัวอย่างที่เราทั้งหลายได้ระลึกถึงอยู่เสมอว่า พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้อย่างไร ? บุญนั้นต้องบริสุทธิ์ด้วยเจตนา ด้วยวัตถุทาน ด้วยทายกคือผู้ให้ ด้วยปฏิคาหกคือผู้รับ ถ้าบริสุทธิ์โดย ๔ ส่วนจะเป็นบุญมากน้อยแค่ใดก็ตาม ก็จะมีผลเต็มร้อยทุกรายไป แต่ถ้าหากว่าส่วนใดส่วนหนึ่งขาดไป ก็เท่ากับโดนตัดลดไปส่วนละ ๒๕ เปอร์เซ็นต์อยู่เสมอ

    ขอให้ทุกคนทราบว่ากระผม/อาตมภาพนั้น ไม่ได้มีความยินดีเลยที่เห็นท่านทั้งหลายทำบุญเป็นจำนวนมาก หลายคนทำบุญทีละ ๕๐๐ บาท ทีละ ๑,๐๐๐ บาท กระผม/อาตมภาพยังถามว่า "ไม่จำเป็นต้องใช้อย่างอื่นหรือ ? ไม่ใช่ว่ามาทำตรงนี้แล้วไปเดือดร้อนทางด้านอื่นนะ"

    เด็ก ๆ บางคนยังเรียนหนังสืออยู่ ต้องเจียดค่าขนมประจำเดือนมาทำบุญ กระผม/อาตมภาพบางทีรับมาแล้วก็คืนให้ แล้วยังแถมค่ารถกลับบ้านให้อีก พร้อมกับบอกเขาว่า "ถ้าหากว่ายังไม่มีเงินเหลือพอที่จะทำบุญ ก็ให้มาวัดอย่างเดียว ถือศีลปฏิบัติธรรมไป ไม่จำเป็นต้องทำบุญก็ได้ มาวัดแล้ว ถ้าไม่มีค่ารถกลับบ้าน ให้มาบอกหลวงพ่อ เดี๋ยวหลวงพ่อจะให้ค่ารถกลับบ้านเอง"

    สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันและเป็นพยานบุคคลที่ชัดเจนว่า กระผม/อาตมภาพนั้น ไม่ได้มุ่งหวังในเรื่องปัจจัยไทยธรรมที่ญาติโยมทั้งหลายได้ถวายมา ตัวเองก็พอกินพอใช้ เนื่องจากว่าถ้าอยู่วัดก็บิณฑบาตทุกวันอยู่แล้ว เรื่องของงานการต่าง ๆ ก็ทำไปตามที่ครูบาอาจารย์ หรือว่าพระท่านสั่ง โดยมีข้อตกลงกันตั้งแต่แรกแล้วว่า กระผม/อาตมภาพมีหน้าที่ทำอย่างเดียว ภาระในการหาเงินเป็นภาระของครูบาอาจารย์ ไม่ใช่ภาระของกระผม/อาตมภาพเอง..!

    ท่านทั้งหลายจึงไม่จำเป็นที่จะต้องมากังวล ไม่จำเป็นที่จะต้องมาช่วยเหลือ ต่อให้ทุกคนไม่คิดที่จะทำบุญพร้อม ๆ กัน กระผม/อาตมภาพก็ยังมีทองคำอยู่ไม่รู้ว่ากี่หมื่นกี่แสนตัน..! พร้อมที่จะไปขุดมาใช้งานอยู่เสมอ จึงเป็นมหาเศรษฐีมือเปล่า ที่ไม่ได้มีความเครียดในเรื่องเงินทองกับใคร ถ้ายังสามารถหาได้ก็หา ถ้าหาไม่ได้ก็จะไปปล้นจากเทวดาที่เฝ้าทองอยู่ ถ้าไม่ให้ก็คงจะต้องลงมือลงไม้กัน เพราะเขายืนยันว่าเป็นของอาตมาเอง..!

    สำหรับวันนี้ ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมให้ทราบโดยทั่วกันแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอังคารที่ ๒๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...