เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 12 พฤศจิกายน 2024 at 17:13.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,342
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,521
    ค่าพลัง:
    +26,357
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_0569.jpeg
      IMG_0569.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      138.2 KB
      เปิดดู:
      9
  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,342
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,521
    ค่าพลัง:
    +26,357
    วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๑๒ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ กระผม/อาตมภาพโดน "เท" งานไป ๑ งาน ถือว่าเป็นเรื่องดี ไม่เช่นนั้นแล้วถ้าไปร่วมงาน ก็คงจะต้องสนับสนุนงานอีกหลายเงิน..!

    วันก่อนคุณครูรอยพิมพ์ สุทธิบานเย็น คณะกรรมการชุมชนคุณธรรมต้นแบบวัดท่าขนุน ได้ประกาศต่อญาติโยมทั้งหลายที่มาใส่บาตรตามโครงการ ๐วันเสาร์ใส่บาตรตลาดริมแคว ยลวิถีเมืองท่าขนุน" ว่า "อีกสักครู่ เมื่อรับบาตรเสร็จแล้ว ก็ได้ยินว่าหลวงพ่อท่านมีงานที่จะต้องไปต่ออีกแล้ว ท่านมีกิจนิมนต์มาก"

    กระผม/อาตมภาพจึงต้องทักท้วงคุณครูรอยพิมพ์ไปว่า "อย่าใช้คำว่ากิจนิมนต์ ถ้าไปกิจนิมนต์แล้วต้องได้เงิน แต่อาตมภาพไปทีไรต้องจ่ายเงินทุกที..!" คุณครูก็ยังเรียนถามกลับมาว่า "แล้วจะให้ใช้ว่าอะไรคะ ?" จึงบอกว่าให้ใช้คำว่า "ศาสนกิจก็ได้ กิจของสงฆ์ก็ได้ งานคณะสงฆ์ก็ได้" เพราะว่าไปทีไรก็ต้องไปจ่ายเงินสนับสนุนงานให้กับเขา โอกาสที่จะรับเงินนั้นมีน้อยเต็มที จึงกลายเป็นว่างานไหนก็ตาม ถ้าไปเขาก็จะยินดีต้อนรับเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าเป็นฝ่ายนำผลประโยชน์ไปให้นั่นเอง

    ในเมื่อโดน "เท" งาน กระผม/อาตมภาพก็ถือว่าโชคดีมาก ประการแรกก็คือ ไม่ต้องจ่ายสตางค์ที่ไม่ค่อยจะมีอยู่แล้ว ประการที่สองก็คือ ได้มีเวลาไปหาหมอเพื่อซ่อมสุขภาพ ญาติโยมทั้งหลายอาจจะเห็นว่ากระผม/อาตมภาพนั้นแข็งแรง ขอให้ท่านอย่าโดนรูปลักษณ์ภายนอกแหกตาเอา..! เนื่องเพราะว่ากระผม/อาตมภาพนั้น เจ็บไข้ได้ป่วย โดยเฉพาะโรคมาลาเรียเรื้อรัง เป็นมาเกิน ๔๐ ปีแล้ว..!

    ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายมัวแต่ประมาทอยู่ เดี๋ยวก็จะเข้าทำนองเดียวกับพระภิกษุ ตลอดจนกระทั่งญาติโยมวัดท่าซุง ที่ไปมั่นอกมั่นใจว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ นั้นจะต้องอยู่ถึง ๑๒๐ ปี แต่เมื่อสภาพร่างกายนั้นไม่ไหว พระเดชพระคุณหลวงพ่อก็ต้องจากไป ทำให้หลายต่อหลายท่านตั้งหลักไม่ทัน ทำใจไม่ได้ ถึงขนาดร้องไห้ร้องห่มก็มี..!

    กระผม/อาตมภาพเองไม่เคยประมาท พยายามที่จะกอบโกยฝึกฝนความรู้ทุกอย่างของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ เอาไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ วันไหนดินฟ้าอากาศผิดปกติ ก็รีบลุกขึ้นนั่งกรรมฐาน เพื่อดูว่าพระเดชพระคุณหลวพ่อท่านไปหรือยัง ?!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,342
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,521
    ค่าพลัง:
    +26,357
    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถึงเวลาความรู้ต่าง ๆ ที่ได้ฝึกฝนและจดจารเอาไว้ ก็กลายเป็นว่าพระพี่พระน้องมาขอยืมตำรากันอุตลุด ก่อนหน้านี้ก็ไม่เห็นประโยชน์ ไม่คิดที่จะทำ ขออนุญาตออกชื่อก็คือ เมื่อกระผม/อาตมภาพเองโดนใช้ให้ทำโน่นทำนี่มาก ๆ เข้า ก็เกิดอารมณ์ฉิวขึ้นมาตามประสาพระใหม่พรรษาน้อย บ่นว่า "พี่ ๆ อยู่กับหลวงพ่อมากันเป็น ๑๐ พรรษา ไม่ฝึกอะไรไว้บ้างเลยหรือ ?" หลวงพ่อโอ (พระครูสมุห์พิชิต ฐิตวีโร) ตอบแบบหน้าตาเฉยว่า "เป็นแล้วมันเหนื่อย..!"

    เมื่อถึงเวลาสิ้นหลวงพ่อลงอย่างกะทันหัน ท่านแรกที่มาขอยืมตำราเลยก็คือหลวงพ่อชัยวัฒน์ ที่กระผม/อาตมภาพเรียกว่าหลวงพี่ชัยวัฒน์ ซึ่งหลวงพ่อชัยวัฒน์ อชิโตนั้น ท่านเป็นพระรูปแรกของวัดท่าซุง ซึ่งเก็บข้อมูลต่าง ๆ เป็นไฟล์คอมพิวเตอร์ ในสมัยนั้นต้องบอกว่าท่านทันสมัยที่สุด เนื่องเพราะว่ายุคนั้นยังเป็นการใช้เวิร์ดจุฬา ซึ่งเป็นตัวหนังสือสีเขียวค่อนข้างจะเรืองแสง ต้องใช้ฮาร์ดดิสก์สอดเข้าไปเพื่อจะเดินเครื่องเปิดเครื่อง แล้วถึงจะสามารถลงข้อมูลได้

    กระผม/อาตมภาพเองไม่มีโอกาสที่จะไปเรียน เนื่องเพราะว่าติดภาระต้องเฝ้าหน้าตึกให้กับพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านวันละ ๖ ชั่วโมง ก็คือถ้าไม่ใช่ ๖ โมงเช้าถึงเที่ยง ก็จะเป็นเที่ยงถึง ๖ โมงเย็น ยังโชคดีที่ท่านพระครูปลัดสิทธิ์วัฒน์ คือ หลวงพ่อสมปอง สุธมฺมสนฺตจิตฺโต ท่านไปเรียนแล้วก็ยังเมตตามาบอก

    แต่บอกแบบเหมือนกับไม่เต็มใจสอน หรือจะเป็นเพราะท่านมั่นใจว่ากระผม/อาตมภาพความจำดีก็ไม่แน่ เพราะท่านจะมาบอกว่า เสียบปลั๊กอย่างนี้ กดปุ่มเปิดเครื่องตรงนี้ เมื่อเดินเครื่องแล้ว ก็เสียบฮาร์ดดิสก์เข้าไป ลงโปรแกรมแบบนี้ แล้วก็เปิดขึ้นมาใช้งานอย่างนี้ รวมเวลาที่ท่านบอกทั้งหมดไม่ถึง ๑๕ นาที แล้วก็ไม่โผล่มาให้เห็นหน้าอีกเลย..!

    กระผม/อาตมภาพนั้นเป็นบุคคลที่ค่อนข้างจะบ้า เนื่องเพราะว่าตั้งแต่สมัยที่เรียนวิชาทหารอยู่ ตอนนั้นเป็นปีแรกที่ปืนต่อสู้อากาศยานเข้าไปสู่หน่วยทหารราบ เมื่อกระผม/อาตมภาพสามารถทำคะแนนเต็มได้ทุกวิชา ครูฝึกซึ่งเป็นช่างอาวุธ จึงได้นำเอา ปตอ. ซึ่งความจริงแล้วก็คือปืนกลหนัก ๙๓ ที่มีขนาดกระสุน .๕๐ นิ้วนั่นเอง เพียงแต่ว่าเมื่อนำมาเป็นปืนต่อสู้อากาศยาน ก็พอที่จะใช้งานได้แบบกล้อมแกล้มอยู่บ้าง

    ครูฝึกท่านก็อ่านตำรา โดยที่ให้กระผม/อาตมภาพเป็นผู้ถอดประกอบ โดยที่ขู่เอาไว้ว่า "ใส่คืนให้ได้นะมึง ไม่อย่างนั้นกูจะซ่อมให้อานเลย..!" กระผม/อาตมภาพนั้นคิดในใจว่า "ไม่ใช่ของพ่อของแม่กู ทำไมกูจะต้องกลัวมันพังด้วย..!" ว่าแล้วก็รื้อกระจายไปเลย เพียงแต่ว่าวิชาอาวุธศึกษานั้นมีหลักการง่าย ๆ ว่า "อะไรที่ถอดก่อนให้ใส่ทีหลัง อะไรที่ถอดทีหลังให้ใส่ก่อน"

    กระผม/อาตมภาพจึงกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในการถอดประกอบปืนกลหนัก ๙๓ เมื่อถึงเวลาก็เลยโดนครูฝึกท่านลากไปตามหน่วยต่าง ๆ ที่รับเอาอาวุธชนิดนี้เข้าไปประจำการ ไปทำหน้าที่เป็นครูสอนในการถอดประกอบให้เขา ช่วงนั้นต้องบอกว่าได้รับการยกย่องเป็นอย่างมาก เนื่องเพราะว่าส่วนใหญ่แล้วก็คือ เพิ่งจะเคยเห็นอาวุธหนักชนิดนี้เป็นครั้งแรกกันแทบทุกคน
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,342
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,521
    ค่าพลัง:
    +26,357
    ในเมื่อมีนิสัยที่ไม่กลัวอะไร เมื่อถึงเวลาพระครูปลัดสมปองท่านสอนด้วยวิธีนั้น ก็คือบอกกล่าวแล้วก็ไปเลย กระผม/อาตมภาพก็คิดเหมือนเดิมว่า "ไม่ใช่ของพ่อของแม่กู ในเมื่อท่านไม่กลัวพัง แล้วกูจะกลัวทำไม..?" แล้วก็จัดการใช้งานไปตามที่จดจำขั้นตอนนั้นได้

    ปรากฏว่าสามารถใช้งานได้จริง ๆ ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายอยากทราบว่าผลงานครั้งแรก ๆ ของการใช้คอมพิวเตอร์ของกระผม/อาตมภาพนั้นคืออะไร ? ก็คือบันทึกอดีตที่ผ่านพ้นทั้ง ๘๐ เรื่องนั่นเอง ถ้าใครมีเวลาก็ไปอ่านดูในเว็บไซต์วัดท่าขนุน หรืออาจจะมีผู้นำไปลงโซเชียลต่าง ๆ มากมายมหาศาลไปนานแล้ว

    เมื่อหลวงพี่ชัยวัฒน์ท่านเป็นบุคคลแรกที่เก็บข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์ของวัดท่าซุง ถึงเวลาท่านก็รีบมาบอกว่า "เล็ก..ขอยืมตำราของหลวงพ่อหน่อย" คำว่า "ตำราหลวงพ่อ" ความจริงก็คือสมุดบันทึกของกระผม/อาตมภาพนั่นเอง พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านสอนอะไร แม้จะจดจำได้แต่ก็พยายามที่จะเขียนเอาไว้เพื่อป้องกันการลืมหรือว่าสูญหาย ตามหลักโบราณที่ว่า "สุ จิ ปุ ลิ วินิมุตฺโต กถํ โส ปณฺฑิโต ภเว" ก็คือ การฟัง คิด ถาม เขียนนั้น เป็นแนวทางแห่งบัณฑิต หรือที่กล่าวกันเป็นภาษาไทยว่า

    สุตตะ จงฟังเขาอย่าขี้เกียจ
    จิตตะ คิดให้ละเอียดที่สงสัย
    ปุจฉา หลงจงถามอย่าเกรงใจ
    ลิขิต เขียนไว้ได้จะดีเอย

    หลังจากที่หลวงพี่ชัยวัฒน์ท่านทำการบันทึกเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ยังมีพระพี่พระน้องอีกหลายท่านยืมต่อ ๆ กันไป ในระยะนั้นก็มีเวลาบ้าง ไม่มีเวลาบ้าง เนื่องเพราะว่าต้องรับผิดชอบงานการต่าง ๆ ตามที่คณะสงฆ์มอบหมาย เนื่องเพราะว่าต้องจัดงานถวายพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านตลอด ๑๐๐ วัน เมื่อครบ ๑๐๐ วัน กระผม/อาตมภาพออกจากวัดมา ธุดงค์เข้าป่าเข้าดงไปเป็นเดือน ๆ ท้ายที่สุดมาปักหลักอยู่ที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมเกาะพระฤๅษี

    ครั้นเวลาผ่านไปหลายเดือน เพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ ย้อนกลับไปไล่ตามหาตำราก็ไม่เจอแล้ว ท่านนี้ก็บอกว่า "ท่านนั้นยืมต่อ" ท่านนั้นก็บอกว่า "ท่านโน้นยืมต่อ" ท่านโน้นก็ออกจากวัดหายเข้าป่าไปแล้ว ทุกวันนี้กระผม/อาตมภาพเจ้าของตำรา ก็เลยได้แต่จดจำเอาเท่าที่จำได้ ถ้าหากว่าไม่สามารถที่จะบอกกล่าวอะไรได้มากเหมือนสมัยก่อนก็ต้องขออภัยด้วย
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,342
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,521
    ค่าพลัง:
    +26,357
    มีวิชาหนึ่งที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านบอกเอาไว้ ก็คือวิชานะ ปัดตลอด ที่ท่านบอกว่าท่านไม่มีโอกาสเรียน ท่านเห็นแต่ว่าหลวงประธานถ่องวิจัยนั้น ตัดเอาผ้าขาวมา ๒ ถาด แบกไปหาหลวงปู่ปานที่กำลังคุมการก่อสร้างอยู่ บอกว่าเป็นเรื่องรีบด่วน เพราะว่าช่วงนั้นเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ ขอยันต์จากพระเดชพระคุณหลวงพ่อด้วย หลวงปู่ปานท่านเห็นฉุกเฉินแบบนั้น จึงสั่งให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ นำไม้เท้ามา ท่านเคาะลงไปบนผ้าทั้งถาด ถาดละ ๑ ครั้งเท่านั้น ปรากฏว่ามียันต์ขึ้นครบทุกแผ่น แล้วท่านก็บอกว่าเป็นวิชา นะ ปัดตลอด

    การที่จะเรียนนั้น พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเรียนไม่ทัน เมื่อทราบว่าครูหอมหวล ซึ่งเป็นลิเก ลูกศิษย์หลวงปู่ปาน ท่านได้เรียนวิชานี้เอาไว้ ก็ตั้งใจที่จะไปศึกษาต่อ แต่ปรากฏว่าลิเกนั้นเมื่อออกพรรษาก็ตระเวนเล่นไปทั่วประเทศ ถึงเวลาเมื่อเข้าพรรษาจึงจะหยุดอยู่กับที่ เพราะว่าเป็นฤดูฝน ไม่มีงาน และไม่เหมาะที่จะไปเล่นลิเก

    แต่ว่าพระก็คือพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ นั้น เมื่อถึงเวลาเข้าพรรษา ท่านก็ไม่สามารถที่จะหาข้ออ้างไปศึกษาวิชาได้ ด้วยความเคร่งครัดที่ว่า ไม่มีข้อที่จะอ้างได้ในการขอสัตตาหกรณียะ เนื่องเพราะว่าเขาอนุญาตไว้แค่ "๑. พ่อป่วย แม่ป่วย พระอุปัชฌาย์อาจารย์ป่วย ไปเพื่อรักษาพยาบาล ๒. เพื่อนสหธรรมิกกระสันจะสึกไปเพื่อห้ามปราม ๓. วัดพัง ไปหาทัพสัมภาระมาซ่อมวัดได้ ๔. ได้รับกิจนิมนต์ไปเพื่อเจริญศรัทธาได้"

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่าน เมื่อเวลาลิเกหอมหวลอยู่กับบ้าน ท่านก็ไม่ได้ไปเรียน เมื่อถึงเวลาจะไปเรียน สามารถออกจากวัดได้ ลิเกหอมหวลก็ตระเวนไปทั่วประเทศไทยอีกแล้ว..!

    กระผม/อาตมภาพเองก็ไม่ได้เรียน แต่ว่าเมื่อมาอยู่ดูแลพระเดชพระคุณหลวงปู่มหาอำพัน - พระภาวนาปัญญาวิสุทธิ์ (อำพัน อาภรโณ บุญ-หลง) ที่กุฏิ ต.๓ คณะเหนือ วัดเทพศิรินทราวาส มีโอกาสที่ไปกราบสักการะหลวงปู่วิเวียร (พระวิมลธรรมภาณ) วัดดวงแข ท่านบอกว่าวิชานะ ปัดตลอดนั้น เราจะต้องภาวนา กำหนดจิตให้นิ่ง เขียนตัวนะเอาไว้ในฝ่ามือ แล้วตบให้ติดกระดาษก่อน เมื่อถึงเวลาสามารถตบติดกระดาษได้แล้ว ก็ให้เอากระดาษนั้นวางบนวัสดุอีกชั้นหนึ่ง โดยที่รองกระดาษไว้ด้านใต้อีกแผ่น แล้วตบจากกระดาษแผ่นบน ให้ทะลุวัสดุนั้นลงไปที่แผ่นล่าง ถ้าทำแบบนี้ได้ จึงจะได้ชื่อว่าสำเร็จวิชานะ ปัดตลอด

    คาถานั้นก็คือ "นะ ปะถะมัง พินธุกังชาตัง โม ทุติยัง ทัณฑะเมวะ จะ พุท ตะติยัง เภทะกัณเจวะ ธา จะตุตถัง อังกุส สัมภะวัง ยะ ปัญจะมัง สิระสังชาตัง นะ ปฏิสนธิกาโร โหติ สัมภะโว" ภาวนาแบบนี้จนกำลังใจมั่นคงแล้ว จึงได้ตบลงไปในกระดาษนั้น
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,342
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,521
    ค่าพลัง:
    +26,357
    กระผม/อาตมภาพเองก็เคยทดลองทำแค่ไม่กี่ครั้ง โชคดีที่ว่ามาทำเอาในสมัยที่สมาธิดีแล้ว ถ้าเป็นสมัยแรก ๆ ที่ยังไม่ได้เรียนสมาธิ ก็คงที่จะต้องใช้เวลาหลายปีเช่นกัน..!

    ส่วนวันที่จะใช้ฝึกฝนนั้น ท่านให้ใช้ตามฤกษ์พรหมประสิทธิ์วันอมฤตโชค
    ซึ่งความจริงตำราไม่ได้บอกอย่างนั้น แต่กระผม/อาตมภาพไล่ดูแล้ว เป็นฤกษ์อมฤตโชคของพรหมประสิทธิ์ทั้งสิ้น เพราะโบราณท่านกล่าวว่า

    "จันทร์ตรีศรีสิทธิ์ เก้าภุมเมนทร์ พุธทวะอัฏฐสุริเยนทร์ พฤหัสจตุรเกณฑ์ ศุกร์ค่ำหนึ่งนา เสาร์ห้าสถาพร พันโชคใช้ได้เสมอ ฯลฯ"

    คำว่าจันทร์ตรี ก็คือ จันทร์ ๓ เก้าภุมเมนทร์ ก็คือ อังคาร ๙ พุธทวะ ก็คือ พุธ ๒ อัฏฐสุริเยนทร์ ก็คือ อาทิตย์ ๘ พฤหัสจตุรเกณฑ์ ก็คือ พฤหัส ๔ ศุกร์ค่ำ หนึ่งนา ก็คือ ศุกร์ ๑ ค่ำ เสาร์ห้าสถาพร ก็คือ วันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำ นั่นเอง

    เมื่อลองไล่ดูแล้ว ตรงกับฤกษ์พรหมประสิทธิ์อมฤตโชคทั้งหมด กระผม/อาตมภาพจึงใช้วิธีจำง่าย ๆ ว่า ถ้าหากจะเสกนะ ปัถมัง ปัดตลอด ก็ต้องเสกตามฤกษ์อมฤตโชคดังนี้ ถึงจะกลายเป็นปัดตลอดได้
     
  7. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,342
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,521
    ค่าพลัง:
    +26,357
    ท่านใดที่คิดว่าจะศึกษาวิชานี้ ต้องใช้ความเพียรพยายามเป็นอย่างสูง ครั้งสุดท้ายที่จะถือว่าสำเร็จจริง ๆ ท่านให้ใช้ฤกษ์วันอังคาร ๙ ค่ำ โดยเฉพาะถ้าเป็นข้างแรมได้ยิ่งดี ให้เข้าไปในป่าช้า หาศพที่ตายวันเสาร์หรือว่าวันอังคาร เสร็จแล้วก็พยายามกำหนดดูว่าศีรษะอยู่ทางด้านไหน แล้วเอากระดาษรองไว้ใต้โลง ถ้าสามารถตบนะ ปัดตลอดทะลุโลง ทะลุผ่านศีรษะศพ ทะลุพื้นโลงลงไปที่กระดาษได้ เขาถึงเชื่อว่าสำเร็จได้อย่างแท้จริง..!

    บุคคลที่สำเร็จวิชานี้ที่กระผม/อาตมภาพเห็นอย่างชัดเจนก็คือหลวงปู่โต๊ะ อินฺทสุวณฺโณ วัดประดู่ฉิมพลี หรือในสมณศักดิ์ที่พระราชสังวราภิมณฑ์ ท่านไม่สามารถที่จะขึ้นไปเจิมบ้านให้กับญาติโยมได้ เนื่องเพราะว่าอายุของท่านตอนนั้นก็ ๙๐ ปีแล้ว ท่านก็เลยใช้วิธีวางแผ่นทองเอาไว้ในมือ แล้วตบหลังมือ แผ่นทองนั้นก็ลอยขึ้นไปติดที่ขอบประตูด้านบน ญาติโยมที่ไม่เกรงใจคนแก่ เตรียมบันไดเอาไว้ให้เจิม ถึงกับตะลึงไปตาม ๆ กัน..!

    วิชาเหล่านี้จะใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างไรก็ได้ แต่ขอให้ทำสำเร็จก่อน จากนั้นก็อธิษฐานตามอัธยาศัย ถ้าตามหลักวิชาจริง ๆ นั้นเป็นการแคล้วคลาด แต่ลิเกหอมหวลกลับอธิษฐานใช้ทางเมตตามหานิยม ถึงเวลาแล้ว มีคนแห่มาดูลิเกกันมืดฟ้ามัวดิน..!

    ท่านใดต้องการจะศึกษา ก็ลองว่ากันตามตำราดู
    ถ้าทำของยากได้สำเร็จ ของง่ายก็จะสามารถทำได้ง่ายเช่นกัน โดยเฉพาะเป็นการเจริญสมาธิภาวนา ถ้าหากว่าสมาธิทรงตัวเมื่อไร ท่านจะเข้าถึงปัญญา เพื่อที่จะตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหานได้ง่ายขึ้นในภายหลัง

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอังคารที่ ๑๒ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...