เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 12 กันยายน 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,704
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,556
    ค่าพลัง:
    +26,395
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๖


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,704
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,556
    ค่าพลัง:
    +26,395
    วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๑๒ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ กระผม/อาตมภาพเดินทางไปยังวัดราษฎร์ประคองธรรมตั้งแต่เช้า เพื่อไปร่วมงานฉลองอายุวัฒนมงคล ๖๐ ปี หลวงพ่อตี๋ (พระครูกิตติวิริยาภรณ์) เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ประคองธรรม เจ้าคณะอำเภอบางใหญ่ และร่วมงานฉลอง ๓๑๐ ปี วัดราษฎร์ประคองธรรม ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่สร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา

    สำหรับหลวงพ่อตี๋นั้น ท่านเป็นลูกศิษย์ที่กระผม/อาตมภาพสอนตอนท่านเรียนปริญญาโทอยู่ที่วัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) ก็คือเรียนในขณะที่ยังเป็นหน่วยวิทยบริการ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ห้องเรียนวัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) ทุกคนตลอดจนกระทั่งกระผม/อาตมภาพก็เข้าใจว่าหลวงพ่อตี๋นั้นอายุกาลพรรษามากกว่ากระผมทั้งสิ้น

    วันนี้เพิ่งจะความลับแตกว่า ท่านเพิ่งจะอายุ ๖๐ ปี และพรรษาการบวชก็น้อยกว่ากระผม/อาตมภาพถึง ๗ พรรษา เจอหน้าถึงได้หัวเราะใส่กัน หลวงพ่อตี๋ออกปากว่า "นี่คิดว่าผมแก่กว่าละสิ..!" ก็แน่นอนละครับพระเดชพระคุณ ใครจะไปนึกว่า "ไป" แต่ใบหน้า อายุและพรรษาตามหน้าไม่ทัน..!

    งานวันนี้เป็นงานหลวง เนื่องเพราะว่าได้รับผ้าไตรพระราชทาน พวกเราจึงต้องเอาตาลปัตรพัดยศของแต่ละคนติดรถไปด้วย ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว พระราชาคณะและพระครูสัญญาบัตร ตลอดจนกระทั่งพระมหาเปรียญและพระฐานานุกรมที่ไปร่วมเจริญพระพุทธมนต์ในงานนี้นั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นกรรมการ หรืออนุกรรมการในโครงการหมู่บ้านรักษาศีล ๕ นั่นเอง ก็แปลว่าหลวงพ่อตี๋นั้นนิมนต์แต่พรรคพวกตัวเองล้วน ๆ..!

    เมื่อเสร็จพิธี ซึ่งทุกขั้นตอนต้องบอกว่าเรียบร้อยมาก ยกเว้นอยู่ขั้นตอนเดียว ก็คือเจ้าหน้าที่จากกองพิธีฯ สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนนทบุรี มัวแต่ก้มหน้าก้มตาดูงานในโทรศัพท์ พอพระท่านเจริญพระพุทธมนต์ ลงท้ายด้วย ภวตุ สัพฯ จึงต้องม้วนสายสิญจน์เก็บเอง ว่ากันไปตั้งครึ่งต้องค่อนแล้ว เจ้าหน้าที่เพิ่งจะเงยหน้าขึ้นมาดู แล้วก็วิ่งตาลีตาเหลือกมารับสายสิญจน์จากมือของพระเถระ จัดการม้วนเก็บให้ ซึ่งเรื่องนี้
    กระผม/อาตมภาพก็ไม่ได้ตำหนิอะไร เพราะว่าบางทีงานสำคัญของเขาก็เข้ามาในจังหวะเวลานั้นพอดี

    เมื่อฉันเพลเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว กระผม/อาตมภาพก็เดินทางต่อไปยังวัดชลประทานรังสฤษดิ์ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เพื่อที่จะตรวจประเมินชุมชนบางตลาดพัฒนา ยกขึ้นเป็นชุมชนหมู่บ้านรักษาศีล ๕
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,704
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,556
    ค่าพลัง:
    +26,395
    เมื่อไปถึง พระเดชพระคุณพระราชวัชรธรรมภาณี, ดร. (สง่า สุภโร ป.ธ. ๓) เจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษดิ์ พระอารามหลวง หรือท่านเจ้าคุณอาจารย์สง่า ได้นำพาพวกเราเดินดูการบริหารจัดการวัด ซึ่งท่านทำได้เรียบร้อย ร่มรื่น น่าอยู่มาก อาคารทุกอย่างดูเรียบร้อยแข็งแรง และโดยเฉพาะ สะอาด สว่าง สงบ

    ท่านเจ้าคุณอาจารย์สง่านั้น ตั้งแต่ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดปัญญานันทาราม ยังมีสมณศักดิ์ที่พระครูสีลวัฒนาภิรม ท่านก็เป็นอาจารย์สอนเทศน์ให้กระผม/อาตมภาพมาแล้ว ภายหลังเมื่อสิ้นหลวงพ่อปัญญานันทะแล้ว ท่านก็ได้รับการโยกย้ายมาเป็นเจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษดิ์ พระอารามหลวง แล้วก็เจริญด้วยสมณศักดิ์ขึ้นมาตามลำดับ จนเป็นเจ้าคุณชั้นราชเมื่อไม่นานนี้เอง

    ในเรื่องฝีมือการบริหารจัดการ ตลอดจนการเทศน์การสอนประชาชนนั้น ถือว่าอยู่ในระดับสุดยอดผู้หนึ่งของประเทศไทย เนื่องเพราะว่าได้รับกลเม็ดเด็ดพรายต่าง ๆ จากพระเดชพระคุณพระพรหมมังคลาจารย์ หรือที่พวกเราเรียกกันติดปากว่าหลวงพ่อปัญญานันทะ ดังนั้น..งานที่ท่านทำไม่ใช่งานระดับชุมชนรักษาศีล ๕ หากแต่เป็นงานศีล ๕ รักษาโลก ก็คือโลกทั้งใบ ถ้าหากว่าทุกคนมีศีล ๕ ก็แปลว่าโลกเราจะมีแต่ความสงบร่มเย็น

    โดยเฉพาะในส่วนของเด็กน้อย คือเด็กหญิงฌาโป ซึ่งญาติโยมทั้งหลายตลอดจนกระทั่งพระภิกษุสามเณรต้องไปหาข้อมูลกันเอง ว่าชื่อจริงนามสกุลจริงคืออะไร น้องหนูมาบรรยายธรรมเกี่ยวกับศีล ๕ เป็นที่ประทับใจมาก พิธีกรยังไม่ทันจะบอกให้ปรบมือ ทั้งพระทั้งฆราวาสก็ปรบมือกันดังสนั่นลั่นอาคารปัญญานันทานุสรณ์ไปแล้ว..!

    โดยเฉพาะทางด้านพยาบาล ซึ่งเป็นอิสลามิกชน ก็เข้ามาร่วมงานด้วย และชี้แจงแสดงเหตุเกี่ยวกับการทำงานร่วมกับชุมชนชาวพุทธ ซึ่งมีศีล ๕ เป็นเครื่องอยู่ บอกว่าทุกอย่างไม่มีอะไรต่างกันกับศาสนาอิสลามเลย ยกเว้นศีลข้อแรก ก็คือทางศาสนาพุทธห้ามฆ่าสัตว์ แต่ทางศาสนาอิสลามอนุญาตให้ฆ่าสัตว์ได้ โดยเฉพาะบุคคลที่ได้รับอนุญาตจากทางด้านศาสนาของตนเท่านั้น ดังนั้น..การที่จะกินเนื้อสัตว์ ต้องเป็นเนื้อสัตว์ที่ได้รับการเชือดอย่างถูกต้องตามหลักอิสลาม แต่เราก็ประเภท
    "หาจุดร่วม สงวนจุดต่าง" แล้วก็ทำงานร่วมกัน โดยที่ไม่มีอะไรมาขัดขวาง

    การบรรยายวิธีการทำงานต่าง ๆ ทำให้พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณอาจารย์ประสิทธ์ (พระเทพปวรเมธี, รศ.ดร.) ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการหมู่บ้านรักษาศีล ๕ หนกลาง ไม่มีข้อสงสัยอะไรหลงเหลือแล้ว จึงกลายเป็นกล่าวสัมโมทนียกถาไปแทน
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,704
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,556
    ค่าพลัง:
    +26,395
    เมื่อกระผม/อาตมภาพส่งใบประเมินแล้วก็ต้องรีบวิ่งกลับที่พัก แต่ก็ยังไม่รอด เจอฝนเข้าไปเต็ม ๆ โดยเฉพาะในส่วนของการที่กรำงานต่อเนื่องมาหลายวัน เมื่อกระทบไอฝนเข้า อาการน้ำมูกไหลก็เริ่มปรากฏอีกแล้ว หลังจากที่บันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนนี้เสร็จสิ้น ก็จะไปฉันยาและนอนพัก

    ในส่วนที่อยากจะกล่าวเพิ่มเติมในวันนี้ก็คือ มีพระผู้เฒ่ารูปหนึ่ง ซึ่งลงไปนั่งอยู่ในบาตรสเตนเลสขนาดยักษ์ แล้วก็ฉันอาหารอยู่ในนั้น โดยที่กล่าวว่า "ฉันในบาตร" กระผม/อาตมภาพและเพื่อนพระสังฆาธิการทั้งหลายเห็นแล้วก็ออกอาการ "น้ำตาจิไหล..!"
    นี่แหละคือการที่ขาดครูบาอาจารย์คอยอบรมให้ความรู้ แล้วตนเองก็ไม่ขวนขวายในการเรียนรู้เพิ่มเติมด้วย นอกจากตีความไปเรื่อยเปื่อยตามความเข้าใจของตนเอง

    การฉันในบาตรนั้นก็คือการที่เราตักเอาอาหารทั้งคาวทั้งหวาน ทั้งข้าวทั้งกับ ในจำนวนที่กะแล้วว่าพอประมาณที่เราจะฉันอิ่ม ใส่รวมกันไว้ในบาตร เรียกง่าย ๆ ว่าฉันภาชนะเดียว ฉันอาสนะเดียว ก็คือส่วนใหญ่ผู้ที่ฉันในบาตรก็มักจะฉันมื้อเดียวไปด้วย แล้วโปรดอย่าได้คิดว่าอาหารแบบนั้นจะไม่อร่อย เมื่อคลุกเคล้าเข้าไปจนกระทั่งสีสันเละเทะดูไม่ได้แล้ว เป็นเรื่องประหลาดมากว่า ตักเข้าปากแล้วกลับอร่อยผิดปกติ ไม่ทราบว่าเป็นที่กระผม/อาตมภาพรูปเดียวหรือเปล่า ?

    สมัยที่ปฏิบัติเข้มงวดอยู่ในวัดท่าซุงนั้น พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านให้โอวาทว่า
    "พวกคุณสามารถที่จะถือธุดงควัตรได้หลายข้อ โดยที่ไม่ต้องออกป่า อย่างเช่นว่าการถือผ้า ๓ ผืนเป็นวัตร การบิณฑบาตเป็นวัตร การบิณฑบาตไปตามลำดับบ้านเป็นวัตร การฉันมื้อเดียวเป็นวัตร เหล่านี้เป็นต้น" ซึ่งมีกระผม/อาตมภาพกับท่านอาจารย์สมปอง สุธมฺมสนฺตจิตฺโต อยู่ ๒ รูปที่ใช้ผ้า ๓ ผืนเป็นวัตรอยู่นานมาก แล้วในส่วนของการบิณฑบาตเป็นวัตร การบิณฑบาตไปตามลำดับบ้านเป็นวัตร และฉันอาหารมื้อเดียวเป็นวัตร กระผม/อาตมภาพก็ทำอยู่ตลอดจนถึงวันนี้ ยกเว้นการฉันอาหารมื้อเดียว

    เนื่องเพราะว่าการฉันมื้อเดียวนั้น กระผม/อาตมภาพฉันมากกว่า ๒ มื้อหลายเท่า อาจจะเป็นเพราะว่าถึงเวลาหิวมากก็ฉันไปเรื่อย โดยที่ไม่ได้ระมัดระวัง กว่าที่ร่างกายจะรู้ว่าได้รับอาหารเข้าไปแล้ว อาหารที่ตักมาครึ่งค่อนบาตรเบอร์ ๘ ครึ่ง ก็หายลงไปอยู่ในท้องจนหมดแล้ว ถ้านับเป็นข้าวปลาอาหารตักมาในจานมาตรฐาน ก็น่าจะได้ ๖ - ๗ จานทีเดียว แต่ถ้าหากว่าฉัน ๒ มื้อ มื้อละจานเดียว รู้สึกว่าลดลงไปมากกว่า กระผม/อาตมภาพจึงเลิกในการฉันมื้อเดียวตั้งแต่ช่วงนั้น
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,704
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,556
    ค่าพลัง:
    +26,395
    แต่คราวนี้ว่าหลวงตารูปนี้ท่านไปเข้าใจว่าการฉันในบาตร ก็คือการลงไปนั่งฉันอยู่ภายในบาตร ซึ่งในปัจจุบันนี้หลายวัดได้รับความนิยมตรงที่สร้างบาตรสเตนเลสขนาดใหญ่ เพื่อให้ญาติโยมได้ทำบุญใส่บาตร แต่คราวนี้หลวงตาท่านเห็นว่าบาตรใหญ่พอ จึงลงไปนั่งฉันอยู่ข้างใน เป็นเรื่องของบุคคลที่ขาดการศึกษา แล้วตั้งใจที่จะทำความดี แต่กลายเป็นทำผิดพลาดไป

    ดังนั้น..แทนที่จะก่อให้เกิดศรัทธาขึ้นในหมู่พุทธศาสนิกชน ก็กลายเป็นคนเขาเห็นว่า บุคลากรของศาสนาพุทธนั้น ช่างเป็นบุคคลที่มาจากระดับต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาก ขาดทั้งการศึกษา ขาดทั้งการอบรมจากครูบาอาจารย์ จึงมาทำอะไรที่ผิดที่พลาดให้ญาติโยมได้เห็นแล้วรู้สึกสมเพชเวทนา

    แต่จะว่าไปแล้ว ก็เป็นภาระของพระอุปัชฌาย์อาจารย์ หรือว่าเจ้าอาวาส ที่จะบอกจะกล่าวให้ทราบว่าสิ่งที่ถูกต้องแท้จริงนั้นเป็นอย่างไร แต่ถ้าหากเจ้าอาวาสบอกว่า "กระผมก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะว่าพระอุปัชฌาย์อาจารย์บวชให้แล้วก็ไม่ได้อยู่อบรมสั่งสอน ท่านกลับวัดของท่านไป กระผมก็อยู่กันมาด้วยความรู้แบบงู ๆ ปลา ๆ ถ้าหากว่าอย่างนี้" พระพุทธศาสนาของเราก็เป็นที่น่าสงสารมาก..!

    เนื่องเพราะว่าส่วนหนึ่งในปัจจุบันนี้ที่พระภิกษุสามเณรของเราไปทำผิดทำพลาด ก็เพราะว่าขาดการอบรมจากพระอุปัชฌาย์อาจารย์อย่างหนึ่ง ขาดการศึกษาเพิ่มเติมความรู้ด้านนักธรรมบาลี หรือว่าศึกษาพระไตรปิฎกอีกอย่างหนึ่ง จึงควรที่จะเร่งรัดในเรื่องของการอบรมสั่งสอนจากพระอุปัชฌาย์อาจารย์ ตลอดจนกระทั่งเรียนความรู้เพิ่มเติม เพื่อที่ถึงเวลาจะได้ไม่ทำผิดทำพลาดกันแบบนี้อีก

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอังคารที่ ๑๒ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...