เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๗ เมษายน ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 7 เมษายน 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,736
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,558
    ค่าพลัง:
    +26,399
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๗ เมษายน ๒๕๖๖


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,736
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,558
    ค่าพลัง:
    +26,399
    วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ กระผม/อาตมภาพต้องเดินทางไปยังสำนักสงฆ์สุธรรมาราม ตำบลกุดน้อย อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา ตั้งแต่ประมาณตี ๓ โดยอาศัย "พี่กู" นำทางไปเช่นเคย แล้วก็เจอ "พี่กู" นิสัยเสียเหมือนเดิม ก็คือทุกครั้งการเดินทางไปจะโดนพาเข้าป่าเข้าดง ประมาณว่าจะโดนฆ่าทิ้งฝังดินเมื่อไรก็ไม่รู้ จึงทำให้ละล้าละลัง

    เพราะว่าช่วงหลังนั้นหลงอยู่กลางไร่อ้อยที่เพิ่งจะตัดและไถใหม่ ๆ ไม่แน่ใจว่ารถจะไปติดเอาตรงช่วงไหน แต่ก็ยังสามารถผ่านไปได้ตลอดรอดฝั่ง เมื่อไปถึงสำนักสงฆ์สุธรรมารามแล้ว สมุห์นวย (พระสมุห์ฐิติ ฐิติโก) เจ้าสำนักสงฆ์บอกว่า เมื่อคืนก็มีรถหลายคันโดน "พี่กู" พาไปทางนั้น จนกระทั่งต้องเรียกรถไถไปช่วยลากออกมากลางดึกก็มี

    แต่พอเสร็จพิธีกรรมทุกอย่างแล้ว ขากลับ "พี่กู" ก็ทำนิสัยเดิม คือพากลับถนนใหญ่ ถ้าเป็นคนก็คงประมาณต้องตบให้หัวทิ่ม...! ด้วยความที่อยากจะอวดว่าตนเองรู้เส้นทางมากหรือว่าอย่างไรก็ไม่รู้ ทุกครั้งจะไปที่ไหน ขาไปจะโดนพาเข้าป่าเข้าดงไป ชนิดที่คนขับรถหมดความมั่นใจว่าจะไปดีหรือไม่ดี แต่ครั้นจะไม่ไป ก็ตามมาเกินครึ่งค่อนทางแล้ว จะย้อนกลับก็ไม่รู้ทางเช่นกัน จึงต้องไปตายเอาดาบหน้า ดังนั้น...จึงไม่แปลกใจว่าทำไมมีคนขับรถบางคนลงไปอยู่ในคลอง ก็เพราะว่า "พี่กู" นำทางในลักษณะอย่างนี้เอง

    ครั้นเมื่อกลับมาจากงานแล้ว ก็ต้องกลับมาจัดเตรียมกระเป๋า ช่วงนี้อยู่ในลักษณะเตรียมเครื่องช่วยชีวิต เพราะมีผู้นิมนต์และออกตั๋วเครื่องบินให้ไปลุยหิมะ แค่นี้ยังไม่พอ ปรากฏว่าปีนี้ยังมีอีก ๑ รายก็คือลูกกิฟท์ (นางสาวอันตรา ลักษณะ) ซึ่งทำทัวร์ไปลาวใต้ ได้นิมนต์หลวงตาให้ไปด้วยในจังหวะที่พอเหมาะพอดีว่ามีเวลาว่าง ๔ วัน

    ตั้งใจจะไปดูหลี่ผีและคอนพะเพ็ง ซึ่งเป็นน้ำตกใหญ่ ช่วยป้องกันลาวจากการยึดครองของฝรั่งเศสได้อยู่หลายปี แต่ว่ามหาน้ำตกขนาดนั้นก็สู้ความโลภในใจคนไม่ได้ ฝรั่งเศสก็เลยใช้เรือบรรทุกรางรถไฟมาขึ้นตรงบริเวณใกล้น้ำตก แล้วก็ต่อทางรถไฟอ้อมน้ำตก ขนเอาอาวุธยุทโธปกรณ์ เสบียงอาหารเข้าไปยึดประเทศลาวจนได้

    ด้วยความที่อยากจะรู้ว่า แม่น้ำโขงทั้งสายหักลำลงไปกลายเป็นน้ำตกได้อย่างไร จึงได้รับปากลูกกิฟท์ว่าหลวงตาจะไปด้วย แต่ว่าเหมือนเดิม ก็คือกฎเกณฑ์กติกาการไปต่างประเทศของกระผม/อาตมภาพ จะไม่จ่ายเงินแม้แต่บาทเดียว ใครนิมนต์ไปต้องรับผิดชอบค่ากิน ค่าอยู่ ค่าเครื่องบินทั้งหมด ถ้าแถมพ็อคเก็ตมันนี่ให้ก็จะยิ่งดี ไม่เช่นนั้นแล้วจะไม่ยอมเดินทางไปด้วย

    เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าปัจจัยไทยธรรมที่ญาติโยมถวายมานั้น ถวายมาในขณะที่เราเป็นพระภิกษุสงฆ์ ต่อให้ระบุว่าถวายส่วนตัว ก็ต้องนึกอยู่เสมอว่าเราได้มาในขณะที่เป็นพระสงฆ์
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,736
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,558
    ค่าพลัง:
    +26,399
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงท่านบอกเอาไว้ว่า เงินส่วนตัวให้ใช้พอสมควรแก่สมณสารูปเท่านั้น เมื่อกราบเรียนถามท่านว่าพอสมควรแก่สมณสารูปคือใช้อย่างไร ? ท่านบอกว่าใช้เป็นค่ารถ ค่าอาหาร ค่ารักษาพยาบาล ช่วยเหลือคนหรือสัตว์ ส่วนที่เหลือนอกจากนั้นถ้าไม่ทำสาธารณประโยชน์ ก็ผลักเข้ากองบุญการกุศลเพื่อเพิ่มอานิสงส์ให้แก่ผู้ถวาย

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น กระผม/อาตมภาพจึงมีหลักการว่าเงินสงฆ์ไม่ได้มีเอาไว้เที่ยว อยากจะไปที่ไหนก็รอบุญพาวาสนาช่วย ถ้ามีคนนิมนต์และพอเหมาะพอดีกับจังหวะเวลาที่ว่าง ก็จะยินดีเดินทางไปด้วย

    เนื่องเพราะว่าตั้งแต่เรียนหนังสือระดับมัธยม ได้อ่านนิทานเวตาลแล้วก็ติดใจ ตอนที่บรรดาหนุ่ม ๆ ทั้งหลายไปแสดงข้อคิดความเห็นของตนเอง เพื่อที่จะครองใจสาว ๆ ได้กล่าวถึงเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ไว้ประมาณว่า ชายใดไม่เที่ยวเทียวไป ทุกแคว้นแดนไพร มิอาจประสบพบสุข ชายใดอยู่เหย้าเนาทุกข์ ไม่ด้นซนซุก ก็ชื่อว่าชั่วมัวเมาฯ

    บางท่านก็แสดงความเห็นว่า จงจรเที่ยว เทียวบทไป พงพนไพร ไศละลำเนา ดั้นบถเดิน เพลินจิตเรา แบ่งทุกขะเบา เชาวนะไวฯ ซึ่งอยู่ในลักษณะสรรเสริญการเดินทางท่องเที่ยวทั้งสิ้น

    โดยเฉพาะภาษิตจีนที่บอกว่า เดินทางหมื่นลี้ดีกว่าอ่านหนังสือหมื่นเล่ม เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าการอ่านหนังสือนั้น เราได้แค่จินตนาการเท่านั้น แต่การเดินทาง เราจะพบประสบเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่แท้จริง เรื่องราวทั้งหลายอาจจะแตกต่างกับที่ตำราเขียนเอาไว้มากมายมหาศาล ตามแต่ประสบการณ์ของแต่ละคน จึงได้กล่าวเอาไว้ในลักษณะสรรเสริญว่า การเดินทางนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่า

    โดยเฉพาะท่านทั้งหลายที่อ่านยุทธจักรนิยายตั้งแต่ยุคแรก ๆ บุคคลใดก็ตาม ถ้าหากว่าเดินทางไปเหนือ ๖ ใต้ ๗ รวม ๑๓ มณฑลได้ทั่วถึง สามารถที่จะคุยไปได้ทั้งยุทธจักรว่าเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมในประสบการณ์เป็นอย่างยิ่ง สมัยนี้แม้ว่าขยายเพิ่มขึ้นมาเป็น ๒๐ กว่ามณฑลแล้วก็ตาม คาดว่าน้อยคนนักที่จะเดินทางไปได้ทั่วแผ่นดินจีนอันกว้างใหญ่ไพศาล

    ประเทศจีนนั้นก็เป็นประเทศหนึ่งที่กระผม/อาตมภาพได้ร่างกำหนดการคร่าว ๆ ไว้ในใจ ว่าจะเขียนประสบการณ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับ "พินิจเกล็ดมังกร" คำว่า เกล็ดมังกร ในที่นี้ก็คือแต่ละเมือง แต่ละมณฑลของจีน ตอนนี้ที่เขียนเอาไว้ก็มีไข่มุกพญามังกร ดวงใจพญามังกร ได้ไปประมาณ ๒ หรือ ๓ ตอนแล้ว

    ส่วนที่ไหนที่ไปแล้วเป็นไข่มุกพญามังกร หรือดวงใจพญามังกร ปล่อยให้พวกเราคาดเดากันไปเอง ถ้าหากว่าประกอบเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ขึ้นมาจนครบถ้วนสมบูรณ์เมื่อไร พินิจเกล็ดพญามังกรก็จะเป็นสารคดีท่องเที่ยวประเทศจีนที่ครบเครื่องจริง ๆ
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,736
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,558
    ค่าพลัง:
    +26,399
    แต่ไม่แน่ใจว่าอายุที่มีอยู่ ตลอดจนกระทั่งความว่างที่มีน้อย จะทำให้สามารถไปประเทศจีนได้สักปีละครั้งสองครั้งหรือไม่ ถ้าหากว่าไปได้ก็คงจะเขียนจบก่อนที่จะถึงแก่ชีวิต แต่ถ้าหากว่าไปไม่ได้ ท่านใดที่รู้เรื่องนี้แล้ว ก็โปรดอาสาดำเนินหน้าที่ต่อไปด้วย พยายามประกอบเกล็ดมังกรให้ครบถ้วนสมบูรณ์ เพื่อที่ท่านทั้งหลายจะได้อ่านเรื่องราวเหล่านั้นได้ครบถ้วน กลายเป็นไกด์บุ๊ค สำหรับบุคคลที่เดินทางตามไปทีหลัง แม้ว่าสภาพสังคม ตลอดจนกระทั่งเศรษฐกิจการเมืองต่าง ๆ อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามระยะเวลา แต่ว่าสถานที่ต่าง ๆ ก็คงจะไม่ได้เปลี่ยนไปด้วย

    ปกติแล้วกระผม/อาตมภาพมีความฝันตั้งแต่เป็นฆราวาส ก็คือว่าจะแบกเป้เดินทางท่องเที่ยวไปเรื่อย เงินหมดเมื่อไรก็หางานทำ ได้เงินมาก็เที่ยวต่อไป อยู่ในลักษณะที่เรียกว่าเป็นนักท่องเที่ยวสะพายเป้ ศึกษาหาความรู้ไปเรื่อย ๆ ถึงขนาดวางโครงการเอาไว้ว่า เมื่อเป็นพระแล้ว จะเดินธุดงค์ ในลักษณะที่ว่าเข้าไปทางประเทศพม่า เดินทะลุไปอินเดียทางด้านยะไข่ แล้วก็วนมาขึ้นเนปาล เข้าสู่ทิเบต ลงมาประเทศจีน เข้าเวียดนาม เข้าลาว ลงไปเขมร แล้วทะลุกลับประเทศไทย

    แต่ว่าแผนการที่วางเอาไว้ต้องล่มสลายไปเสียก่อน เนื่องเพราะภาระหน้าที่ต่าง ๆ มีมาก การเดินธุดงค์ในลักษณะอย่างนั้นต้องใช้ระยะเวลาเป็นปี ๆ ไม่ใช่เป็นเดือน ถ้าหากว่าหายไปเป็นปี ก็คาดว่าญาติโยมทั้งหลายอาจจะมีการลงแดงตาย เพราะไม่ได้ฟังบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน

    คราวนี้ในเรื่องของการเดินทางนั้น ต้องอาศัยหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่สำคัญที่สุด ก็คือความไม่ประมาท อะไรที่สามารถนำติดตัวไปได้ ต้องคิดไว้เสมอว่าเราหาที่อื่นไม่ได้ โดยเฉพาะยารักษาโรคประจำตัว ตลอดจนกระทั่งข้าวของเครื่องใช้จำเป็น

    สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ บางทีกระผม/อาตมภาพเคยเจอมาด้วยตนเองแล้ว ในที่ขาดแคลนนั้น ราคาแพงกว่าปกติ ๖ - ๗ เท่าก็ต้องไปซื้อเขา จึงทำให้ค่อนข้างที่จะสามารถจัดกระเป๋าได้กระชับ ก็คือมีแต่ของที่จำเป็นเท่านั้น ส่วนที่ไม่จำเป็นก็ไม่ได้ติดตัวไปเลย

    ดังนั้น...เวลาเดินทางไปต่างประเทศ ถ้าระยะเวลาอยู่ในช่วงประมาณ ๑ อาทิตย์ หลายท่านจะเห็นว่า กระผม/อาตมภาพมีกระเป๋าหิ้วขึ้นเครื่องใบเดียวเท่านั้น น้ำหนักก็ตกอยู่ประมาณ ๖ - ๗ กิโลกรัม เพราะว่าส่วนที่หนักที่สุดก็คือคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กที่ติดไปเพื่อทำงาน ส่วนอื่นก็เพียงพอที่จะใช้งานตลอดระยะเวลาที่เดินทางอยู่
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,736
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,558
    ค่าพลัง:
    +26,399
    แต่ว่างวดนี้ สถานที่ไปนั้นตั้งใจไปลุยหิมะกัน จึงต้องมีกระเป๋าสำหรับเครื่องกันหนาวต่างหากอีก ๑ ใบ คาดว่าน้ำหนักรวมกันแล้ว ทั้ง ๒ ใบก็น่าจะอยู่ที่ไม่เกิน ๑๒ - ๑๕ กิโลกรัม ยังสามารถเฉลี่ยน้ำหนัก เผื่อมีใครคิดที่จะซื้อข้าวของกลับมาด้วย

    ความจริงจะว่าไปแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นให้พระเรามีแค่บริขาร ๘ เท่านั้น ก็คือสบง จีวร สังฆาฏิ ซึ่งอยู่ในส่วนของเครื่องนุ่งห่ม เป็น ๓ อย่างไปแล้ว เมื่อบวกประคตเอวเข้าไปก็เป็น ๔ อย่าง แล้วก็ยังมีบาตร มีมีดโกน มีหม้อกรองน้ำ มีเข็มและด้าย ซึ่งเข็มและด้ายนี้จัดรวมเป็นอย่างเดียว

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ไม่ทราบเหมือนกันว่ากองทัพธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ประกอบด้วยต้นทุนน้อยขนาดนั้น ทำไมถึงสามารถเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้กว้างใหญ่ไพศาล จนกลายเป็นศาสนาอันดับที่ ๔ ของโลก ก็คือรองจากศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์และศาสนาฮินดูเท่านั้น

    ตรงจุดนี้จะว่าไปแล้ว ศาสนาฮินดูซึ่งเผยแผ่ โดยเฉพาะมีศาสนิกหนาแน่นอยู่แค่ประเทศเดียวคืออินเดีย แต่กลับมีศาสนิกชนนับถือศาสนาฮินดูตั้ง ๙๐๐ กว่าล้านคน ส่วนศาสนาพุทธเผยแผ่ไปทั่วโลก นับถือกันหลาบสิบประเทศ รวมแล้วเพิ่งจะมีศาสนิกอยู่ประมาณ ๔๐๐ กว่าล้านคนเท่านั้น

    ดังนั้น...ในส่วนนี้จะว่าไปแล้ว เราลงทุนน้อยมากคือแค่บริขาร ๘ แต่สามารถเผยแผ่พระพุทธศาสนาจนกลายเป็นอันดับ ๔ ของโลก ก็ต้องบอกว่าค้ากำไรเกินควร การลงทุนอยู่ในระดับ D หรือระดับ C แต่ว่าผลงานที่ออกมาอยู่ในระดับ A+ เลยทีเดียว เป็นเรื่องที่กล่าวไว้เป็นข้อคิดสำหรับท่านทั้งหลาย เผื่อที่จะคิดฟุ้งซ่านแบบกระผม/อาตมภาพบ้าง ก็จะได้มาพินิจพิจารณาว่า ทำไมพุทธศาสนาของเราลงทุนน้อยแล้วถึงได้ผลมาก

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้


    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันศุกร์ที่ ๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...