เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๖

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๖

​

 

วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๒๙ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ อากาศที่ทองผาภูมิ อยู่ที่ประมาณ ๑๕ องศาเซลเซียส กระผม/อาตมภาพและเลขานุการ ก็คือพระสมุห์ณัฐพสิษฐ์ ปญฺญาคโม เลขานุการรองเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ (๒) และพระมหาอินทรปกรณ์ ฐิตสุโภ ป.ธ.๔ เลขานุการเจ้าคณะตำบลลิ่นถิ่นเขต ๒ ซึ่งทางด้านหลวงพ่อพระครูปิยสีลสังวรการ เจ้าคณะตำบลลิ่นถิ่นเขต ๒ ขอยืมตัวจากวัดท่าขนุนไปทำหน้าที่เลขานุการของท่าน

ต้องเดินทางออกจากวัดท่าขนุนตั้งแต่ประมาณตี ๓ เพื่อไปร่วมงานด่วน ก็คือพิธีเปิดการตรวจข้อสอบนักธรรมชั้นโท (สนามหลวง) และธรรมศึกษาชั้นโท ในเขตปกครองคณะสงฆ์หนกลาง ที่วัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) โดยที่การตรวจข้อสอบนักธรรมชั้นโทนั้น ตรวจในวันศุกร์ที่ ๒๙ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ ส่วนการตรวจข้อสอบธรรมศึกษาชั้นโทนั้น จะตรวจในวันเสาร์ที่ ๓๐ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖

เมื่อไปถึงในเวลาประมาณ ๖ โมงครึ่ง ปรากฏว่าพระเดชพระคุณพระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าคณะภาค ๑๔ เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) รองประธานแม่กองธรรมสนามหลวงหนกลาง ได้มาดูความเรียบร้อยอยู่แล้ว เมื่อเข้าไปกราบ ท่านก็ออกปากว่า "ขอบใจมากที่อุตส่าห์เดินทางมาไกลขนาดนี้"

เรื่องนี้จะว่าไปแล้ว ทางวัดท่าขนุนก็กำลังจัดให้มีการบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ รุ่นที่ ๑/๒๕๖๗ อยู่ แต่ว่ากระผม/อาตมภาพมอบหมายให้พระมหาจักรพงษ์ ปญฺญาทีโป ป.ธ.๖ เจ้าอาวาสวัดพุทธบริษัท ทำการบวชเนกขัมมะ และนำญาติโยมปฏิบัติธรรมแทน เนื่องเพราะว่าท่านมีรายชื่อในการตรวจข้อสอบวันพรุ่งนี้ จึงได้อยู่ทำหน้าที่แทนกระผม/อาตมภาพไปก่อน

นี่เป็นเรื่องของการจัดลำดับความสำคัญของงานอย่างหนึ่ง ซึ่งกระผม/อาตมภาพจะเอางานคณะสงฆ์เป็นใหญ่กว่างานส่วนตัว แล้วในขณะเดียวกัน ความที่มีทีมงานที่เราได้ปลุกปั้นขึ้นมาเป็นระยะเวลาหลายปี บุคลากรที่มีอยู่ สามารถทำงานทดแทนกันได้ เนื่องเพราะว่าบรรดาเจ้าอาวาสต่าง ๆ นั้น ส่วนใหญ่ก็ไปจากวัดท่าขนุน เคยดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนมาก่อน เมื่อฝึกฝนตนเองจนทางคณะสงฆ์เห็นว่า สามารถที่จะใช้งานได้แล้ว ก็ขอตัวไปใช้งานบ้าง ญาติโยมทางด้านนั้นขอไปเป็นเจ้าอาวาสบ้าง เหล่านี้เป็นต้น

เรื่องของคณะสงฆ์ของเราจึงสำคัญที่สุดตรงที่ว่า จะต้องเป็นผู้ที่ใจกว้าง ถ้าหากว่าสิ่งหนึ่งประการใด สามารถสนับสนุนงานคณะสงฆ์ให้เป็นไปโดยคล่องตัวได้ ก็ต้องทำอย่างเต็มความสามารถ ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งปันทีมงานไปให้ก็ดี การไปร่วมด้วยช่วยกันด้วยตนเองก็ตาม

 

กระผม/อาตมภาพก็ต้องขออภัยต่อญาติโยมทั้งหลาย ซึ่งสมัครบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ รุ่นที่ ๑/๒๕๖๗ รุ่นนี้ เนื่องเพราะว่าท่านทั้งหลายก็หวังว่ากระผม/อาตมภาพจะเป็นผู้นำในการเจริญพระกรรมฐานตั้งแต่ตี ๓ ครึ่ง แต่ปรากฏว่ายังไม่ทันจะตี ๓ ครึ่ง หลวงพ่อเล็กหายออกจากวัดไปเรียบร้อยแล้ว..!

สำหรับงานวันนี้พระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (สุชิน อคฺคชิโน) กรรมการมหาเถรสมาคม เลขานุการในองค์สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก แม่กองธรรมสนามหลวง ได้มาเป็นประธานในพิธีเปิด และขั้นตอนสำคัญก็คือการมอบหนังสือแต่งตั้งกรรมการตรวจข้อสอบกองธรรมสนามหลวง

การมอบหนังสือแต่งตั้งกรรมการตรวจข้อสอบกองธรรมสนามหลวง ให้กับคณะกรรมการที่เดินทางมาตรวจข้อสอบในครั้งนี้นั้น เป็นคณะกรรมการใหม่ กระผม/อาตมภาพเองได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการตรวจข้อสอบมาเกินกว่า ๒๐ ปีแล้ว แต่ว่าบรรดารุ่นเพื่อน รุ่นน้องทั้งหลาย ซึ่งยังไม่ได้รับหนังสือแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ จึงได้มารับการแต่งตั้งในครั้งนี้ โดยวันนี้ได้เข้ารับจากพระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ จำนวน ๑๙๑ รูป พรุ่งนี้จะเข้ารับจากพระเดชพระคุณพระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. อีก ๒๓๐ รูป

โดยที่หนังสือนี้ลงพระนามโดยสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (อมฺพรมหาเถร) ประทับตรา "คณาธิเบศร สกลมหาสังฆปริณายก" ซึ่งเป็นตราประจำพระองค์สมเด็จพระสังฆราช นับว่าเป็นเกียรติประวัติส่วนตัวของท่านทั้งหลาย ซึ่งมารับตราตั้งและทำหน้าที่ในวันนี้

โดยที่พระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์นั้น ได้ยกเอาพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ซึ่งได้ตรัสเอาไว้ว่า "เราไม่สามารถที่จะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ แต่เราต้องพยายามทำให้คนส่วนใหญ่ในประเทศชาติเป็นคนดี ส่งเสริมให้คนดีมีอำนาจในการปกครองบ้านเมือง ฯลฯ"

ซึ่งตรงนี้ท่านเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ได้กล่าวว่า "การสอบธรรมศึกษาของบรรดาเด็กนักเรียนทั้งหลาย ซึ่งปีนี้เข้าสอบถึงสองล้านกว่าคนนั้น เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างคนดีให้เกิดขึ้นในสังคมของเรา เนื่องเพราะว่าเด็กทั้งหลายเหล่านี้เมื่อศึกษาไปแล้ว ก็จะได้นำเอาหลักธรรมไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน"

ตรงจุดนี้แม้พระเดชพระคุณท่านประคุณแม่กองธรรมสนามหลวงจะกล่าวเอาไว้ว่า "เป็นงานที่ยากมาก เนื่องเพราะว่ากระแสทางโลก ก็พยายามที่จะดึงเยาวชนของเราให้ไหลตามกิเลสไป แต่เราท่านทั้งหลายก็จะท้อไม่ได้ จะเหนื่อยไม่ได้ ต้องทำหน้าที่ของตนให้เต็มที่ เต็มสติกำลัง ให้สมกับที่ได้รับความไว้วางใจจากคณะกรรมการมหาเถรสมาคม ที่เสนอชื่อของพวกเราขึ้นไปจนได้รับการแต่งตั้งจากสมเด็จพระสังฆราช"

 

ตรงจุดนี้กระผม/อาตมภาพก็เห็นด้วยกับพระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณแม่กองธรรมสนามหลวง เนื่องเพราะว่าการที่พระภิกษุของเราซึ่งเป็นครูพระ จะเข้าไปสอนในโรงเรียนแต่ละแห่งนั้น เป็นเรื่องที่ยากเหลือเกิน อันดับแรกเลยก็คือว่า เจ้าอาวาสซึ่งรับผิดชอบโรงเรียนนั้น ๆ ต้องมีบารมีพอ ไม่เช่นนั้นแล้วบางทีทางโรงเรียนรู้สึกเหมือนกับว่า "คณะสงฆ์เอางานไปเพิ่มให้" ทั้ง ๆ ที่แค่แบ่งเวลามา แล้วทางคณะสงฆ์ส่งครูพระสอนศีลธรรมเข้าไปสอนนักเรียนให้ฟรี ๆ แต่ก็อยู่ที่มุมมองของผู้อำนวยการโรงเรียนแต่ละท่าน ว่ามีความยินดีกับเรื่องดี ๆ ทั้งหลายเหล่านี้หรือไม่

กระผม/อาตมภาพนั้น ต้องบอกว่าแบกภาระในเรื่องของธรรมศึกษาเอาไว้ถึง ๕ โรงเรียนด้วยกัน ก็คือโรงเรียนทองผาภูมิวิทยา โรงเรียนอนุบาลทองผาภูมิ โรงเรียนเทศบาลทองผาภูมิ โรงเรียนวัชรวิชญ์ และโรงเรียนบ้านเสาหงษ์ ซึ่งในปัจจุบันนี้พยายามที่จะผลักดันโรงเรียนบ้านเสาหงษ์ให้เปิดสนามสอบของตนเอง แล้วมอบให้ทางด้านท่านพระครูกาญจนชินธรรม เจ้าอาวาสวัดเสาหงษ์ รับผิดชอบในส่วนนั้นไป เนื่องเพราะว่าโรงเรียนอื่นนั้น รายล้อมอยู่รอบวัดท่าขนุน ในระยะไม่เกิน ๑ กิโลเมตร แต่ว่าโรงเรียนบ้านเสาหงษ์นั้น ห่างออกไปเกือบ ๔ กิโลเมตร..!

เมื่อได้พูดคุยเรื่องนี้กับหลวงพ่อเสริฐ (พระครูสิทธิกิจจานุวัตร) เจ้าอาวาสวัดทุ่งลาดหญ้า รองเจ้าคณะอำเภอศรีสวัสดิ์ ท่านปรารภว่า ผมเคยโดนไป ๗ โรงเรียน ว่าแล้วท่านก็บรรยายให้ฟังว่ามีโรงเรียนใดบ้าง โดยที่เจ้าอาวาสซึ่งอยู่ในเขตใกล้ชิดติดกับโรงเรียนนั้น ๆ ซึ่งสมควรต้องรับภาระของโรงเรียนนั้นไป มักอ้างว่าไม่มีบุคลากรบ้าง ไม่มีทีมงานบ้าง ภาระหนักจึงมาตกอยู่ที่วัดทุ่งลาดหญ้าของหลวงพ่อเสริฐ

กระผม/อาตมภาพจึงได้บอกกับหลวงพ่อเสริฐท่านไปว่า ถ้านับแบบนี้ วัดท่าขนุนก็ยังต้องแบกโรงเรียนบ้านจันเดย์ ซึ่งทางวัดพุทธบริษัทรับผิดชอบอยู่ โดยส่งพระไปช่วยงาน แล้วขณะเดียวกันก็ยังมีโรงเรียนใหญ่ก็คือโรงเรียนสมาคมป่าไม้แห่งประเทศไทยอุทิศ ซึ่งทางวัดวังปะโท่รับผิดชอบอยู่ แต่เนื่องจากว่าวัดวังปะโท่มีพระภิกษุอยู่แค่ ๕ - ๖ รูปเท่านั้น ไม่สามารถที่จะรับผิดชอบโรงเรียนใหญ่ขนาดนั้นได้ ทางวัดท่าขนุนจึงต้องส่งทีมงานไปช่วยเช่นกัน

ถ้าอย่างนั้นในปัจจุบันนี้ กระผม/อาตมภาพก็แบกภาระอยู่ไม่น้อยกว่าหลวงพ่อเสริฐเช่นกัน เสร็จแล้วคนแก่สองคนก็นั่งปลอบใจกันว่า "เราจะท้อไม่ได้ เพราะว่าถ้าเราท้อเมื่อไร บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายก็จะถอยไปเลย มีอยู่อย่างเดียวก็คือสู้กันจนตายคาสนามรบ ให้สมกับที่เป็นธรรมเสนา ก็คือทหารในกองทัพธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า..!"

 

เรื่องดี ๆ ทั้งหลายเหล่านี้ ส่วนใหญ่แล้วสื่อมวลชนจะไม่นำเสนอ หากแต่ว่าไปนำเสนอเรื่องเหลวไหลอะไรหลายต่อหลายอย่าง ที่คิดว่าขายได้ อย่างเช่นหลวงพี่ท่านหนึ่งที่ไปไลฟ์สดเที่ยวญี่ปุ่น ตีข่าวกันเสียจนทั่วไปหมด แต่การที่พระของเราพากเพียรเข้าไปอบรมสั่งสอนกุลบุตรต่าง ๆ ในโรงเรียน จนสามารถส่งสอบธรรมศึกษาในปีนี้ไปถึงสองล้านกว่าคน แม้ว่าจะขาดตกบกพร่องบ้าง ทำได้เต็มที่บ้าง ก็ถือว่าคณะสงฆ์ได้เพียรพยายามทำในสิ่งที่ดี ๆ ให้แก่สังคมแล้ว และเป็นเพียงส่วนหนึ่งในด้านของการศึกษาเท่านั้น

คณะสงฆ์ของเรายังต้องรับผิดชอบในด้านการปกครอง ด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ด้านการสาธารณูปการ คือบูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอารามไม่ให้ทรุดโทรมจนเป็นที่ดูเศร้าใจ เรื่องของการศึกษาสงเคราะห์ ช่วยเหลือในเรื่องของทุนการศึกษา เรื่องของอาคารสถานที่ เรื่องของเครื่องกีฬา เครื่องใช้ในการขีดเขียนหนังสือของเด็ก ๆ เป็นต้น

ตลอดจนกระทั่งในเรื่องของสาธารณสงเคราะห์ ซึ่งวันนี้กำลังระดมปัจจัยและข้าวของ เพื่อที่จะมอบถวายให้กับพระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ (ปสฤทธ์ เขมงฺกโร) ประธานการสาธารณสงเคราะห์คณะสงฆ์ไทย เพื่อช่วยพี่น้องไทยซึ่งโดนน้ำท่วมหนักอยู่ที่ปักษ์ใต้

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ บรรดาผู้สื่อข่าวทั้งหลายได้นำออกไปให้ญาติโยมทั้งหลายทั่วประเทศ หรือว่าทั่วโลกได้เห็นบ้างหรือไม่ ? ส่วนใหญ่กระผม/อาตมภาพจะเห็นว่า นำเสนอในเรื่องของเลขเด็ดอย่างโน้นบ้าง เลขเด็ดอย่างนี้บ้าง เอาอบายมุขมามอมเมาให้กับชาวบ้านทั้งหลาย จะต้องหัวทิ่มหัวตำอยู่กับการพนันที่ลม ๆ แล้ง ๆ ส่วนที่น่าเกลียดที่สุดก็คือถึงขนาดไปเล็งรถพระที่นั่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบ้าง สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีบ้าง แล้วนำเสนอออกไปเป็นเลขเด็ดประจำงวด..!

กระผม/อาตมภาพอยากให้ท่านผู้เกี่ยวข้องเล่นงานผู้นำเสนอนี้ในลักษณะของการผิดมาตรา ๑๑๒ เสียด้วยซ้ำไป เพราะว่าท่านทั้งหลายนอกจากไม่ส่งเสริมคุณงามความดีในสังคมแล้ว ยังส่งเสริมให้บุคคลจมปลักอยู่กับอบายมุข ซึ่งมีแต่จะพาตัวให้ตกต่ำลงไปทุกวัน ไม่ได้สนใจว่าสภาพสังคมของเราจะเละเทะขนาดไหน ขออยู่อย่างเดียวก็คือให้ขายข่าวได้เท่านั้น..!

กระผม/อาตมภาพและเพื่อนพระสังฆาธิการทุกท่าน เมื่อเห็นข่าวแบบนี้ก็รู้สึกสลดใจทุกครั้ง ได้แต่หวังว่าญาติโยมทั้งหลายจะมีสติ ระลึกรู้ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้นั้น เป็นอบายมุขที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่สรรเสริญ มีสมาธิ คือกำลังในการหักห้ามใจตนเอง ไม่ให้หลงใหลไปกับอบายมุขเหล่านี้ และมีปัญญา เห็นทุกข์เห็นโทษของสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ที่สร้างความเดือดร้อนให้ทั้งตนเอง ครอบครัว และสังคม อย่างรุนแรง แล้วพยายามลด ละ เลิก ให้ได้ เพื่อที่ท่านทั้งหลายจักได้เป็นคนดีในการช่วยกันสนับสนุนค้ำจุนสังคมของเราให้เข้มแข็งต่อไป

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันศุกร์ที่ ๒๙ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)