เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 7 ธันวาคม 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,741
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,559
    ค่าพลัง:
    +26,399
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,741
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,559
    ค่าพลัง:
    +26,399
    วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ ไม่รู้เหมือนกันว่าหลายท่านได้ผลการตรวจสุขภาพมาหรือยัง ? กระผม/อาตมภาพได้มาแล้ว แต่ว่าก็เหมือนเดิม คำว่า เหมือนเดิม ในที่นี้ก็คือไตรกลีเซอไรด์สูงมาก ซึ่งเป็นเรื่องปกติ เพราะว่าเป็นกันทั้งบ้าน แบบที่เขาเรียกกันว่า "เป็นกรรมพันธุ์"

    เรื่องของไตรกลีเซอไรด์นั้น จะว่าไปแล้วขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล แล้วก็จะมีบรรดาแพทย์ที่ขาดจรรยาบรรณ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วได้รับผลประโยชน์จากบริษัทขายยา ก็จะมากำหนดว่าต้องเท่านั้นต้องเท่านี้ถึงจะดี ถ้ามากกว่านั้นแล้วไม่ดี เป็นต้น แล้วบริษัทยาก็จะขายยาลดไขมัน ซึ่งส่วนใหญ่กินเข้าไปแล้วก็กลายเป็นโรคไขมันพอกตับอีกต่างหาก ดังนั้น..ในเรื่องของคลอเรสเตอรอลอะไรก็ตาม เป็นธรรมชาติของแต่ละคนที่เหมือนกับนิ้วมือ ก็คือ ๕ นิ้วไม่เท่ากัน ไม่ใช่มีมาตรฐานสแตนดาร์ดว่าต้องเท่านั้นเท่านี้

    แต่ส่วนที่ควรระวังก็คือเรื่องของไขมัน LDL ซึ่งพวกเราเรียกง่าย ๆ ว่า ไขมันเลว เพราะว่าถ้าหากว่ามีสูง ก็จะทำให้เป็นโรคเส้นเลือดเปราะ แล้วก็ไขมันอุดตันในเส้นเลือดได้ง่าย วิธีที่ดีก็คือพยายามลดอาหารจำพวกนม เนย และของทอด ไม่ได้ห้ามแต่ให้ลดลง แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น

    ในส่วนนี้ถ้าหากว่าเป็นพระภิกษุสามเณรที่ตั้งใจปฏิบัติดีจริง ๆ ก็ไม่น่าจะมีปัญหา เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วเราต้องรู้ประมาณในการกิน คำว่า รู้ประมาณในการกินนี้ ทางครูบาอาจารย์สายวัดป่าท่านให้แนวทางเอาไว้ว่า พอรู้สึกว่าอิ่มก็หยุด ดื่มน้ำตามเข้าไปก็จะอิ่มพอดี

    แต่คราวนี้ คำว่ารู้สึกว่าอิ่มก็หยุดนั้น ต้องฉันแบบพระสายวัดป่า ก็คือท่านฉันช้า เคี้ยวละเอียด ระวังไม่ให้เกิดเสียงดังในขณะที่ฉัน แม้กระทั่งอาหาร ไม่ว่าจะเป็นผลไม้สด หรือว่าของทอดกรอบ ก็จะตั้งสติเคี้ยวไม่ให้เกิดเสียง

    สภาพร่างกายของเรานั้นจะรู้สึกว่ามีอาหารลงไปอยู่ในกระเพาะ ก็ต่อเมื่อผ่านการกินไปแล้วประมาณ ๑๒ - ๑๕ นาที คราวนี้ถ้าหากว่าฉันแบบพระวัดท่าขนุน กว่าจะรู้ว่ามีอาหารอยู่ในกระเพาะก็จุกไปเรียบร้อยแล้ว เพราะว่าพวกเราฉันแต่ละมื้อ ก็ใใช้เวลาประมาณไม่เกิน ๑๕ นาที แต่พระสายวัดป่าท่านฉันช้า กำหนดสติระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้อาหารลงไปอยู่ในกระเพาะแค่พอประมาณเท่านั้น เมื่อรู้สึกว่าอิ่มท่านก็เลยหยุด แต่ว่าพวกเรารอให้รู้สึกอิ่มไม่ได้ จะต้องกำหนดว่าเราจะฉันเท่าไร แล้วก็ตั้งสัจจะไว้ว่าแค่นี้
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,741
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,559
    ค่าพลัง:
    +26,399
    ดังนั้น...หลายท่านอาจจะสงสัยว่ากระผม/อาตมภาพเองป่วยจะตายแหล่ไม่ตายแหล่เพราะมาลาเรียเรื้อรัง แต่ดูสุขภาพแข็งแรงมาก ส่วนหนึ่งก็มาจากการประมาณในการกิน เพราะว่าการกินนั้นมีทั้งประโยชน์และโทษ ถ้าหากว่าพอเหมาะพอดีก็เป็นประโยชน์ เกินไปเมื่อไรก็จะเป็นโทษ

    ผลตรวจเขาบอกว่า สภาพร่างกายของ
    กระผม/อาตมภาพเหมือนคนอายุแค่ ๓๐ โดยเฉพาะเบาหวานเป็นศูนย์ ก็ไม่ได้เกิดจากอะไรเลย นอกจากหลังเพลไปแล้ว กระผม/อาตมภาพไม่ยุ่งกับพวกปานะต่าง ๆ เลย มีแต่น้ำร้อน ซึ่งหลังจากที่ท่านอาจารย์บ๊ะ (พระอาจารย์ศิริชัย ชยธมฺโม) แนะนำให้ฉันน้ำชา ก็กลายเป็นน้ำชา ซึ่งก็ไม่ได้มีอะไรนอกเหนือไปจากน้ำ ดังนั้น..ในเรื่องของน้ำตาลในเลือดจึงไม่ต้องเสียเวลามาระมัดระวัง เพราะว่ามีแต่ไม่พอจะใช้งาน ไม่ใช่มีมากเกินไปจนกลายเป็นเบาหวาน

    โดยเฉพาะในเรื่องของน้ำตาล เรื่องของหวาน ที่กระผม/อาตมภาพเตือนพระภิกษุสามเณรของเราบ่อยมากว่า ถ้าหากว่าน้ำตาลเข้าไปก็จะไปเพิ่มความดันเลือด พอเพิ่มความดันเลือดก็เพิ่มความคึกให้กับเราด้วย เพราะฉะนั้น..ใครก็ตามที่จะฉันของหวานหลังเพลไปแล้ว ก็ขอให้รู้ด้วยว่าไอ้ที่ตัวเองลำบาก ทุกข์ทรมานอยู่ทุกวันจากกามราคะกำเริบ เกิดจากการที่เราฉันไม่บันยะบันยังเอง ถ้ารู้จักลดลง ก็ลำบากน้อยหน่อย

    เรื่องพวกนี้อยู่ที่พวกเราจะเลือกปฏิบัติกันเอง จะยอมตามใจปากแล้วไปเดือดร้อนในเรื่องของการปฏิบัติธรรม หรือว่าจะยอมต่อต้านความอยาก แล้วก็ลำบากน้อยหน่อยในช่วงปฏิบัติธรรมก็เท่านั้นเอง

    แล้วอีกอย่าง เมื่อความดันเลือดสูงขึ้น เราก็จะหงุดหงิดมาก จะกลายเป็นคนคิดบวก..! ก็คือเรื่องอะไรเกิดขึ้น กูพร้อมบวกอยู่ตลอดเวลา กลายเป็นคนใจร้อนใจเร็ว เรื่องพวกนี้ยังไม่มีผลวิจัยรองรับ ถ้าหากว่ามีเวลา กระผม/อาตมภาพจะทำให้ดูเอง เสียดายว่าเวลาไม่มี แต่เพียงแต่ว่าการที่สังเกตตัวเองมาตลอดระยะเวลาการปฏิบัติธรรมมา ๔๐ กว่าปี ทำให้สามารถสรุปได้เลยว่าผลเกิดเป็นแบบนี้ เพราะฉะนั้น..การที่บางท่านสติแตก สมาธิแตก กรรมฐานแตก จิตตก ส่วนหนึ่งก็เกิดจากเรื่องการกินของหวานมากนี้เอง
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,741
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,559
    ค่าพลัง:
    +26,399
    เพียงแต่ว่าถ้าท่านทั้งหลายสามารถทรงฌานได้ ก็เป็นอันว่าจบ ถ้าหากว่ากำลังฌานไม่มั่นคงพอ ถึงเวลาทำโน่นทำนี่ไปเรื่อยแล้วกำลังตก คราวนี้ก็โดนกิเลสตีหงายท้อง แล้วเดี๋ยวก็จะต้องลาออกจากทีมงานแอดมินฯ วัดท่าขนุนอีก..! ปล่อยให้ลาออกไปก่อน เดี๋ยวสบายใจแล้วค่อยมาว่ากันใหม่

    เรื่องพวกนี้ความจริงแล้วเป็นเรื่องที่พวกเราจะต้องจับจุดให้ได้ เพื่อความอยู่สุข อยู่เย็น อยู่สบายในการปฏิบัติของเรา ไม่ใช่ไปแบกเอาไว้อยู่ตลอดเวลาในทุกเรื่อง ทำทานไปแล้วก็ยังแบกเอาไว้ว่า เราทำไปแล้ว พระท่านได้เอาไปใช้เอาไปฉันจริงหรือเปล่า ? บางรายถึงขนาดตามเช็ค เช็คแล้วยังไม่พอ พอเห็นว่าท่านไม่ใช้ไม่ฉันก็มาขอคืนอีกต่างหาก..! เรื่องพวกนี้เขาเจอกันมาเป็นปกติแล้ว

    รักษาศีล แทนที่จะรักษาเพื่อควบคุมกายวาจาให้เรียบร้อย ก็กลายเป็นรักษาศีลอวดชาวบ้าน เอากิเลสไปชนกับคนอื่นเขาว่ากูเป็นคนดี กูเป็นคนมีศีล แต่เสียดายว่ามีศีลอย่างเดียว ไม่มีธรรมเลย จึงต้องกระทบกระทั่งกับคนอื่นอยู่ตลอดเวลา

    ปฏิบัติธรรม ก็เพราะอยากให้คนอื่นเขาเคารพยกย่อง เห็นว่าตัวเราเป็นคนดี ก็อยู่ในลักษณะของการเอากิเลสนำหน้า เอาตัณหานำทาง แล้วก็เอาดีไม่ได้ เพราะว่าตั้งกำลังใจไว้ผิด

    จึงเป็นเรื่องที่พวกเราทั้งหลาย ไม่ว่าจะพระภิกษุสามเณร แม่ชีหรือว่าฆราวาส ต้องระมัดระวังไว้เป็นอย่างสูงว่า การปฏิบัติธรรมนั้น ยิ่งทำต้องยิ่งดีขึ้น ยิ่งทำ กำลังใจต้องยิ่งละเอียดขึ้น รู้ระมัดระวังมากขึ้น แต่ไม่ใช่อย่างที่สายกรรมฐานบางสายว่า ปฏิบัติธรรมแล้วต้องยิ่งช้า ถึงจะดี พวกนั้นเป็นประเภทหลงทาง ประมาณว่ากราบ ๓ ครั้ง ภายใน ๑๕ นาที..!

    ทำไมถึงหลงทาง ? ก็เพราะว่าบุคคลที่ปฏิบัติธรรม ถ้าหากว่ามาถูกทาง สติ สมาธิ ปัญญา มีแต่แหลมคมว่องไว ไม่เช่นนั้นแล้วจะไม่เท่าทันกิเลสที่เข้ามาในใจของเราที่เร็วพอ ๆ กับสายฟ้าแลบ
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,741
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,559
    ค่าพลัง:
    +26,399
    ในเมื่อ สติ สมาธิ ปัญญา แหลมคมว่องไว การกระทำทุกอย่างก็จะเร็วขึ้น แต่เป็นความเร็วที่ไม่ผิดพลาด หรือว่าผิดพลาดน้อย ตามแต่ระดับกำลังใจของตนเอง ไม่ใช่ยิ่งทำยิ่งช้า ถึงจะดี ถึงจะถูก แล้วก็มักจะยกตัวอย่าง หลวงปู่พระอัสสชิเถระว่า ไม่ว่าจะก้ม จะเงย จะยกแขน เหยียดแขน คู้แขน จะก้าวจะเดินอะไร มีสติอยู่ทุกอิริยาบถ แล้วก็ไปคิดว่าการมีสติคือต้องช้า ๆ พระสารีบุตรเห็นแล้วถึงได้เลื่อมใส ถ้าหากว่าลักษณะอย่างนั้น อย่าลืมว่าท่านบิณฑบาตอยู่นะ ถ้ามัวแต่ค่อย ๆ ย่องอยู่ กระผม/อาตมภาพว่า เลยเพลก็ไม่ได้ฉันหรอก เพราะว่าเดินไม่ถึงจุดหมายสักที..!

    เรื่องพวกนี้
    กระผม/อาตมภาพเคยไปดัดจริตกับเขามาแล้ว ระยะทางประมาณ ๗๐ เมตร ใช้เวลาเดินครึ่งชั่วโมง ทำได้..ไม่ใช่ทำไม่ได้ แต่อยากรู้ว่ามีอะไรดีจริงไหม ? กระผม/อาตมภาพก็เลยลองทำดู ไปปฏิบัติอยู่ ๑๘ วัน กลายเป็นธรรมทูตสายวิปัสสนารุ่นแรก เข้าฝึกด้วยกัน ๘๗ รูป ผ่านแค่ ๑๕ รูป แล้วกระผม/อาตมภาพก็ไม่รู้ว่าตัวเองได้ที่ ๑ สงสัยอยู่อย่างเดียวว่าทำไมเขาสัมภาษณ์แล้วก็ถ่ายคลิปวีดีโอไว้ตลอด มารู้ทีหลังตอนรับเกียรติบัตรแล้ว โดยที่ไม่รู้หรอกว่าได้ที่ ๑ แค่ดัดจริตตามเขาไปอย่างนั้นแหละ เพราะเป็นคนอยากรู้ว่าปฏิบัติแล้วเป็นอย่างไร ? ดีจริงหรือไม่จริงอย่างไร ?

    เรื่องพวกนี้จึงขอย้ำว่า ถ้าทำดีทำถูก มีแต่จะเร็วขึ้น แต่เป็นความเร็วที่ไม่ผิดพลาด ไม่ใช่ยิ่งทำยิ่งช้าถึงจะถูก

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพุธที่ ๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...