เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 26 กันยายน 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,546
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,540
    ค่าพลัง:
    +26,377
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,546
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,540
    ค่าพลัง:
    +26,377
    วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๒๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ อีกไม่กี่วันพวกเราก็ต้องอบรมก่อนสอบนักธรรมชั้นตรี แล้วก็ต่อด้วยการสอบนักธรรมชั้นตรี ในเรื่องของการอบรมก่อนสอบนั้น ไม่ใช่เขามาสอนหนังสือเรา แต่เป็นการทบทวนความรู้เก่า พูดง่าย ๆ ก็คือิถ้าเป็นการสอนก็สอนแบบย่อ เอาเฉพาะใจความสำคัญ ดังนั้น..ถ้าหากว่าใครไม่มีความรู้เก่าอยู่ในหัวเลยก็จะตามไม่ทัน

    ส่วนในเรื่องของการเรียนบาลี นักเรียนทุกรูปต้องขวนขวายเอง เนื่องเพราะว่าอาจารย์เป็นเพียงผู้บอกเท่านั้น ส่วนเราเองมีความขยันเท่าไร ต้องเทลงไปทั้งหมด อาจจะต้องยืมความขยันในอนาคตมาใช้ด้วย..! เพราะว่าบาลีเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะหลักไวยากรณ์ ภาษาไทยของเราว่าไวยากรณ์เป็นเรื่องยากมากแล้วสำหรับชาวต่างชาติ บาลียากกว่านั้นอีก

    เนื่องเพราะว่าโดยปกติหลักไวยากรณ์ภาษาต่าง ๆ ก็จะมีแค่ อดีต ปัจจุบัน อนาคต เท่านั้น แต่บาลีมีทั้งอดีตใกล้ปัจจุบัน และปัจจุบันใกล้อนาคตด้วย แต่ว่าเป็นเรื่องดีที่ว่า ความละเอียดตรงนี้ทำให้เราสามารถวิเคราะห์ได้ว่า แต่ละศัพท์นั้นควรที่จะอยู่ในวิภัตติอะไร และควรที่จะใช้คำไหนในการแปล สรุปง่าย ๆ ว่า ไม่ว่าจะเป็นการเรียนทางโลก หรือว่าเรียนทางธรรม ต้องขยันเท่านั้น คนขี้เกียจแล้วได้ดีหายาก ประเภทขี้เกียจได้ดีน่าจะมีท่านอาจารย์จักรฤกษณ์ จันทร์ดำคนเดียว

    อาจารย์จักรฤกษณ์ท่านบวชอยู่ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งเป็นสำนักเรียนบาลีใหญ่ ท่านบวชตั้งแต่เป็นเณร สอบปีแรก - ปีสองได้ประโยค ๓ แล้ว กลายเป็นสามเณรเปรียญ ด้วยความที่อายุอยู่ในช่วงวัยรุ่น ก็เลยเตลิดเปิดเปิง พอคนอื่นเขายกย่อง ก็ไม่ใส่ใจที่จะท่องประโยค ๔ ต่อ เอาแต่เที่ยว เอาแต่เล่นอย่างเดียว..!

    หลวงพ่อเจ้าอาวาสซึ่งตอนนั้นเป็นเจ้าคณะจังหวัดพิษณุโลกด้วย ก็เลยดัดสันดานด้วยการบอกว่า "สามเณรจักรฤกษณ์ ให้สมัครสอบบาลีปีนี้ด้วย" สามเณรจักรฤกษณ์หน้ามืดสนิท หนังสือสักตัวก็ไม่ได้ดู แต่ในเมื่อได้รับคำสั่งให้สอบ ก็ต้องยึดภาษิตโบราณว่า "เราก็ชายหมายมาดว่าชาติเชื้อ ถึงปะเสือก็จะสู้ดูสักหน" คว้าตำรามาท่อง แต่..ไม่รู้เรื่อง ก็เพราะว่าไม่ได้เรียนเลย..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,546
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,540
    ค่าพลัง:
    +26,377
    อย่าลืมว่าในส่วนของประโยค ๔ นั้น ที่ยากก็คือการแปลไทยเป็นมคธ ในเมื่อท่องแล้วไม่รู้เรื่อง แกก็เปิดไปเรื่อย ปรากฏว่าพอไปถึงหน้าหนึ่ง ความรู้สึกบอกชัด ๆ เลยว่า "ออกตรงนี้" แกก็ดูแค่สองหน้านั่นแหละ แล้วออกจริง ๆ..! วันประกาศผลสอบ สามเณรจักรฤกษณ์ได้ประโยค ๔ กระผม/อาตมภาพจะทวนคำด่าของหลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัดตอนนั้นให้ฟัง ท่านบอกว่า "ไอ้เหี้..โลกนี้ไม่ยุติธรรม คนชั่วมันได้ดี..!" เพราะฉะนั้น..ถ้าหวังฟลุคแบบนั้น ในอดีตคุณจะต้องมีทิพจักขุญาณมาก่อน เพราะว่าสิ่งนั้นคือทิพจักขุญาณ แต่บางคนใช้คำว่าลางสังหรณ์

    หรือถ้าจะเอาโชคดีอีกท่านหนึ่งก็โน่นเลย ท่านอาจารย์พระมหาสันติ โชติกโร ป.ธ. ๙ อดีตรองเจ้าคณะอำเภอห้วยกระเจา อดีตเจ้าอาวาสวัดราษฎร์ประชุมชนาราม (วัดท่ามะขาม) จังหวัดกาญจนบุรีนั้นว่างเว้นจากมหาประโยค ๙ ไป ๒๐ ปีเต็ม

    ท่านอาจารย์พระมหาสันติสอบได้ปีที่ ๒๑ ท่านไปติวบาลีที่วัดสร้อยทอง ไปนอนอ่านหนังสืออยู่หลังพระประธานในพระอุโบสถ ตอนนั้นท่านจะสอบประโยค ๗ ซึ่งประโยค ๗ เป็นประโยคที่ยากมาก เพราะว่าเนื้อหาจะต่างจากประโยค ๖ เยอะมาก โดยเฉพาะในส่วนการแต่งฉันท์ภาษาบาลีและโยชนาที่เราไม่คุ้นชินเลย

    อาจารย์สันติอ่านไปอ่านมาง่วง..กูหลับ..! เห็นเทวดารักษาองค์พระเดินออกจากพระประธานมา ชี้บอกว่า "ให้ดูหน้านี้" ตื่นขึ้นมาท่านจำได้ รีบทำเครื่องหมายไว้เลย แล้วก็ท่องเฉพาะตรงนั้น ออกจริง ๆ ด้วยครับ..! พอสอบประโยค ๘ ท่านก็เลยไปวัดสร้อยทองอีก แต่ตอนนี้นอนให้ตาย เทวดาก็ไม่มา "มึงมีบุญแค่นั้นแหละ ไปขวนขวายเอาเองก็แล้วกัน"

    เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของบาลี ถ้าหากว่าเราท่องก็ต้องทำอย่างหลวงพ่อพุธ ฐานิโย - ท่านเจ้าคุณพระราชสังวรญาณ วัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมา กระผม/อาตมภาพเวลาไปคุยกับท่านนี่ ท่านชวนคุยดึกดื่นเที่ยงคืน ตี ๑ ตี ๒ ไม่เลิกหรอก เพราะว่าพระสายวัดป่า โดยเฉพาะที่ทันหลวงปู่มั่นด้วย กลางคืนคือเวลาปฏิบัติธรรม ท่านยิ่งคุยก็ยิ่งตาใส
    กระผม/อาตมภาพเองนี่ ๕ ทุ่ม เที่ยงคืนก็หัวทิ่มพื้นไป ๓ - ๔ รอบแล้ว..!

    ท่านบอกว่าท่านก็ท่องบาลีตามปกติ แต่ท่องไปท่องมา "อ้าว..กูอยู่ตรงนี้ แล้วไอ้นั่นเป็นใครวะ ?" ก็คือกายในท่านหลุดออกไปเฉยเลย เห็นไอ้กายนอกนั่งท่องบาลีอยู่ "แล้วนี่กูเป็นใคร ?" บุคคลที่มีของเก่าอยู่ การท่องบาลีหรือท่องนักธรรมอะไรก็ตาม เท่ากับเป็นการภาวนาไปในตัว
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,546
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,540
    ค่าพลัง:
    +26,377
    ในเมื่อภาวนาไปในตัวก็คือสร้างสมาธิไปในตัว เพราะฉะนั้น..ท่านทั้งหลายจึงไม่ต้องไปกังวลเลยว่า "เรียนหนังสือแล้วเราจะไม่มีเวลาภาวนา" หนังสือทุกตัวนั่นแหละคือคำภาวนา พอสมาธิทรงตัวได้ที่ ของเก่าจะกลับมาเอง ท่านก็เลยถอดกายในได้ ทั้ง ๆ ที่ท่องบาลีนั่นแหละ..! ไม่เหมือนกระผม/อาตมภาพ ที่ต้องฝึกมโนยิทธิแทบตายกว่าที่จะทำได้ ท่านแค่ท่องบาลีก็ทำได้แล้ว

    การท่องบาลี ผลที่ปรากฏชัดอีกท่านหนึ่งก็คืออดีตพระมหาทองดี โชติปญฺโญ ป.ธ. ๖ อดีตเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี และอดีตเจ้าอาวาสวัดหัวนา ด้วยความที่ท่านเป็นเลขาฯ เจ้าคณะจังหวัด เวลาพระเดชพระคุณพระเทพเมธากร (ณรงค์ ปริสุทฺโธ ป.ธ. ๔) หลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัดสมัยนั้นไม่อยู่ คนเอารถมาให้เจิม ท่านก็เจิมไป ปรากฏว่าไปได้ดี

    ก็คือในช่วงนั้น ส่วนใหญ่ถ้าคนไม่ไปให้หลวงพ่อลำใย (พระมงคลสิทธิคุณ) วัดทุ่งลาดหญ้าเจิม ก็จะมาที่วัดท่ามะขาม ปรากฏว่าเขาไปลือกันว่า "มหาทองดีเจิมรถแล้วอยู่รอดปลอดภัย ไม่เหมือนหลวงพ่อลำใย เจิมเมื่อไรชนเมื่อนั้น..!" ความจริงคนที่ไปเจิมรถกับหลวงพ่อลำใยไม่รู้เคล็ดลับ ก็คือพอจะออกจากวัดก็ให้ชนอะไรสักอย่างหนึ่งก่อน พุ่มไม้ดอกไม้อะไรก็ได้ ถือว่าชนแล้ว แล้วหลังจากนั้นก็จะปลอดภัยไปตลอด แต่ของมหาทองดีนี่ ไม่ต้องไปเสียเวลาทำอย่างนั้น แกเจิมไปแล้วอยู่รอดปลอดภัยตั้งแต่ต้นยันปลายเลย..!

    กระผม/อาตมภาพก็สงสัย ถามว่า "อาจารย์มหา..ใช้คาถาอะไรครับ ?" ก็คืออยากจะขโมยวิชาบ้าง ท่านบอก "ไม่มีอะไรหรอกครับ ไอ้ผมเองประเภทเรียนบาลีมาแต่ต้น ผมก็ สิ โย, อัง โย, นา หิ, สะ นัง ฯลฯ ไปเรื่อย แล้วก็จิ้มจนกระทั่งครบ ๙ จุดก็จบแล้ว..!" เห็นหรือยังว่าท่องบาลีก็ขลังได้..!

    ท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมนะครับ สมัยก่อนที่เขาเรียนบาลีกัน ครูบาอาจารย์เขาเขียนเป็นตัวหนังสือด้วยชอล์ก ไม่ว่าจะบนกระดาษเขียวหรือกระดานดำก็เถอะ พอถึงเวลาเขียนไป
    ลบไป เขียนไปลบไป ฝุ่นชอล์กกองหนาเป็นนิ้ว รู้หรือเปล่าว่าเขาโกยไปทำผงสร้างพระกัน แล้วโคตรขลังเลยครับ..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,546
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,540
    ค่าพลัง:
    +26,377
    ผมเองเรียนคาถากับหลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ (พระครูพัฒนกิจจานุรักษ์) วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม คาถาท่านตั้งหลายบทก็คือไวยากรณ์บาลีครับ กะ ขะ คะ ฆะ งะ, จะ ฉะ ชะ ฌะ ญะ, ฏะ ฐะ ฑะ ฒะ ณะ ฯลฯ แต่ละบทใช้อย่างไรมีคำบรรยายไว้เสร็จสรรพเรียบร้อย แล้วจะไม่เชื่อว่าบาลีขลังได้อย่างไร ?

    พวกท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมว่าอักขระบาลี ๑ ตัว เหมือนกับพระพุทธเจ้า ๑ องค์ ใครเรียนบาลีมาจะได้ยินคำนี้เสมอ เพราะว่าบาลีเป็นตัวอักษรที่รักษาไว้ซึ่งพระธรรม บาลี มาจาก ปาลธาตุ = ในความรักษา รักษาอะไร ? รักษาไว้ซึ่งพระธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในเมื่อรักษาสิ่งที่สำคัญขนาดนั้นได้ ทำไมจะรักษาตัวเราไม่ได้ ?

    เพราะฉะนั้น..เรื่องของเคล็ดลับต่าง ๆ เหล่านี้ ถ้าหากว่าเราเข้าถึงได้ จะใช้คาถาได้ขลังมาก แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกท่าน ปัญญาที่จะคิดไปให้ถึงไม่ค่อยมี ก็ได้แค่สมาธิเบื้องต้นเท่านั้นเอง เลยเข้าไม่ถึง เหมือนอย่างกับรหัสเปิดล็อคชั้นสุดท้ายไม่มี ก็เลยทำให้พวกท่านทำคาถาไม่ค่อยจะขึ้นกัน ต้องอาศัยกำลังสมาธิอย่างเดียว

    เรื่องพวกนี้ก็เลยกลายเป็นสิ่งที่เป็นของแถมในการศึกษา เรียนแล้วอย่าเรียนทิ้งไปเฉย ๆ ดูตัวอย่างท่านทั้งหลายที่กระผม/อาตมภาพยกมานี้ด้วย บาลีทำให้ขลังได้ เกิดอภิญญาก็ได้ เอาไปใช้เป็นคาถาอาคมก็ได้ สามารถลบผงสร้างพระได้อีกต่างหาก ฉะนั้น..ไม่ว่าเราจะเรียนนักธรรมหรือบาลีก็ตาม ความขยันต้องมาก่อน ถ้าจิตใจมุ่งมั่นจดจ่ออยู่เมื่อไร โอกาสที่จะสำเร็จมีสูงมาก

    ท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมที่หลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อุปเสณมหาเถร) ป.ธ.๙ อดีตผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร สมัยโน้นท่านให้
    กระผม/อาตมภาพไปหาท่านอย่างน้อยเดือนละ ๑ ครั้ง แล้วท่านมักจะยกกระผม/อาตมภาพเป็นตัวอย่างให้กับพระวัดสระเกศในยุคนั้น ไม่ว่าจะเป็นท่านเจ้าคุณพระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขญาโณ) ท่านเจ้าคุณพระพรหมสุธี (เสนาะ ปญฺญาวชิโร ป.ธ. ๖) อะไรก็ตาม ฟังตัวอย่างอาจารย์เล็กวัดท่าขนุนไปจนเบื่อแล้ว..!

    สมัยนั้นท่านเจ้าคุณพระเทพรัตนมุนี (สุรชัย สุรชโย ป.ธ. ๗) หรือท่านเจ้าคุณสุรชัย ที่เป็นเจ้าอาวาสวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลกปัจจุบันนี้ ตอนนั้นยังเป็นเจ้าคุณชั้นสามัญอยู่เลย ท่านจะยกตัวอย่างการปฏิบัติของกระผม/อาตมภาพให้พระวัดสระเกศฟัง เผื่อว่ามีใครสนใจจะได้ปฏิบัติตามก็คือ "ทางโลกก็ได้ ทางธรรมก็เอา"

    ท่านเตือน
    กระผม/อาตมภาพในเรื่องการเรียนบาลี ท่านบอกว่า "ท่านเล็ก เรียนบาลีห้ามทิ้งสมาธิอย่างเด็ดขาด ทิ้งเมื่อไร เดี๋ยวท่านจะท้อแล้วเรียนต่อไม่ไหว" ก็คือถ้าสมาธิเราไม่เพียงพอ กำลังใจที่จะมุ่งมั่นต่อสู้จะไม่มี แล้วในที่สุดก็ไปไม่ถึงจุดมุ่งหมายของตน พวกเราก็ให้ถือโอวาทนี้เป็นตัวอย่าง ไม่ว่าจะศึกษาอะไรก็ตาม ถ้าไม่สามารถใช้เรื่องที่เราศึกษาเป็นคำภาวนาได้ ก็ต้องหาเวลาภาวนาเป็นการส่วนตัวของเราด้วย

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพฤหัสบดีที่ ๒๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...