เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 11 สิงหาคม 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,759
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,561
    ค่าพลัง:
    +26,401
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,759
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,561
    ค่าพลัง:
    +26,401
    วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๑๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ งานใหญ่ของเราก็คือ งานอุปสมบทหมู่เฉลิมพระเกียรติ ในวโรกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเจริญพระชนมายุ ๙๐ พรรษา แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าแม้จะมีผู้สมัครอุปสมบท ๓๑ รูป แต่ว่าตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ แล้ว ไม่ผ่านไป ๓ รูป ก็เลยเหลืออยู่แค่ ๒๘ รูป ถือว่าเป็นเลขมงคลไปก็แล้วกัน

    คราวนี้ในส่วนที่ท่านทั้งหลายบวชเข้ามา แม้ว่าขั้นตอนจะยุ่งยาก แต่ก็ถือว่าไม่ยากจนเกินไป ส่วนที่ยากจริง ๆ ก็คือทำอย่างไรที่จะให้พวกเราอยู่ในสภาพของพระภิกษุโดยไม่ฟุ้งซ่าน เพราะว่าโดยปกติแล้ว พวกเราจะมีสภาพจิตที่ไหลไปในทางต่ำได้ง่าย ต่อให้ตั้งใจประคับประคองขนาดไหนก็ตาม เผลอเมื่อไร กิเลสก็จะชวนเราไป รัก โลภ โกรธ หลง อยู่ตลอดเวลา วิธีที่ดีที่สุดก็คือการอยู่กับลมหายใจเข้าออกตรงหน้า

    อย่าลืมที่พระอุปัชฌาย์อาจารย์ให้กรรมฐานเราไว้ ก็คือเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ บางท่านก็เรียกว่า มูลกรรมฐาน คือกรรมฐานที่เป็นพื้นฐานของกรรมฐานทั้งปวง บางท่านก็เรียกว่า ตจปัญจกกรรมฐาน คือกรรมฐาน ๕ อย่าง มีหนังเป็นที่สุด เพราะว่าเกสาคือผม โลมาคือขน นขาคือเล็บ ทันตาคือฟัน ตโจคือหนัง ๕ อย่างนี้เป็นส่วนที่สกปรกง่ายที่สุดในร่างกายของเรา ไม่ได้ทำความสะอาดชำระสะสางแค่วันสองวัน เราเองก็ทนไม่ไหว ไม่ใช่คนอื่นทนไม่ไหวเท่านั้น

    คราวนี้ถ้าหากว่ารู้จักพินิจพิจารณา เราก็จะเห็นว่าสภาพร่างกายของเราก็เป็นเช่นนี้ ของคนอื่นก็เป็นเช่นนี้ ของสัตว์อื่นก็เป็นเช่นนี้ มีความสกปรกโสโครกเป็นปกติธรรมดา สภาพจิตที่ฟุ้งซ่านไปในกามราคะ ถ้าหากว่าเห็นตามความเป็นจริง ก็จะเกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ถอนจิตออกมาจากการยึดมั่นถือมั่น ถ้าอยู่ในลักษณะอย่างนั้น บางท่านใช้คำว่า ตณฺหกฺขโย ถอนเสียซึ่งตัณหา วิราโค ดับซึ่งราคะ นิโรโธ เข้าถึงความดับอย่างแท้จริง นิพพานัง เข้าสู่สภาพของธรรมชาติที่หาความทุกข์ไม่ได้

    กิเลสไปไหนหรือเปล่า ? ไม่ได้ไปไหน อยู่กับเราครบถ้วนสมบูรณ์ทุกตัว รัก โลภ โกรธ หลง มีเต็มตัว เพียงแต่ว่าเราเห็นโทษ แล้วก็ไม่ไปแตะต้องอีก เหมือนอย่างฟืนกับไฟ ในเมื่อไม่เอาไฟไปแหย่ ฟืนก็ลุกไหม้ไม่ได้
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,759
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,561
    ค่าพลัง:
    +26,401
    ทำอย่างไรที่เราจะแยกแยะให้ออกว่า รัก โลภ โกรธ หลง เป็นคุณสมบัติของร่างกายนี้ แต่อยากจะมีก็มีไป เราไม่ไปยุ่งเกี่ยวด้วย การที่เราจะไม่ยุ่งเกี่ยวด้วย เราต้องหยุดการนึกคิดปรุงแต่งให้เป็น

    เพราะว่ารูปคือร่างกายนี้

    เวทนาคือความรู้สึกสุข ทุกข์หรือว่ากลาง ๆ ไม่สุข ไม่ทุกข์

    สัญญา คือความรู้ได้หมายจำทั้งปวง

    สังขาร บางคนไปเข้าใจว่าเป็นร่างกาย แต่ไม่ใช่ ร่างกายคือรูป สังขารคือความนึกคิดปรุงแต่ง บาลีหลายแห่งใช้คำว่าจิตสังขาร คือการปรุงแต่งของใจ

    วิญญาณคือประสาทรับความรู้สึก

    เราจะเห็นว่าขันธ์ ๕ คือสิ่งทั้ง ๕ นี้ เมื่อรวมเข้ามาเป็นตัวตนแล้ว เรามาอาศัยอยู่ตามเวรตามกรรมที่ได้สร้างไว้ แล้วเราก็ไปยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวกูของกู แล้วก็ยังไม่พอ ยังยึดมั่นไปทั่ว โน่นก็พ่อกู นี่ก็แม่กู นั่นก็เมียกู นี่ก็ลูกกู ยิ่งยึดเกาะก็ยิ่งมาก ยิ่งมากก็ยิ่งถ่วงเราจมอยู่กับวัฏสงสาร ไปไหนไม่ได้ แล้วทำอย่างไรเราถึงจะหลุดพ้นได้ ? ก็ต้องหยุดการนึกคิดปรุงแต่งให้ได้

    ถ้าหากว่าเห็นอย่างโทรศัพทืเครื่องนี้ เราเห็นว่าเป็นโทรศัพท์ก็แย่แล้ว เพราะว่าสภาพจิตเริ่มปรุงแต่งไปแล้ว วันก่อนเจอสาวสวยถูกใจ ขอเบอร์เขาเอาไว้ เดี๋ยวโทรไปหาหน่อย นี่..ราคะมาแล้ว เห็นประกาศโปรโมชั่นพิเศษ ๘.๘ น่าสนใจ เดี๋ยวสั่งซื้อสักหน่อย นี่..โลภะมาแล้ว โลภอีกแล้ว วันก่อนไอ้นั่นทำไม่ถูกใจเรา เดี๋ยวโทรไปด่า เดี๋ยวส่งไลน์ไปด่ามันหน่อย นี่..โทสะมาอีกแล้ว เห็นหรือยังว่า ถ้าเราสักแต่เห็นว่าเป็นรูปเป็นธาตุ กิเลสก็ทำอะไรเราไม่ได้ แต่ถ้าเราคิดเมื่อไร รัก โลภ โกรธ หลง จะเจริญงอกงามทันที..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,759
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,561
    ค่าพลัง:
    +26,401
    ทำอย่างไรที่เราจะหยุดคิดให้ได้ ? ก็แปลว่า อันดับแรก สติ ความรู้ตัวจะต้องเกิดขึ้น เมื่อรู้ตัวว่าเราฟุ้งซ่านแล้วทำอย่างไร ? ก็ต้องหยุด เราจะหยุดความฟุ้งซ่านนั้นได้ ต้องอาศัยกำลังของสมาธิ ก็แปลว่า ถ้ากำลังสมาธิของเราพอ เราจะสามารถหยุดการปรุงแต่งได้ชั่วคราว ทำให้เราปลอดจาก รัก โลภ โกรธ หลง ได้ชั่วคราว เผลอปรุงเมื่อไรก็เดือดร้อนอีก

    การที่เราจะหยุด อันดับแรกเลย ต้องเห็นโทษว่าคิดแล้วเราเดือดร้อนอย่างไร ถ้ายังไม่เห็นโทษ ก็ยังเบื่อ ๆ อยาก ๆ ดีชั่วรู้หมดแต่อดไม่ได้ แต่ถ้าเห็นโทษว่าสร้างความเดือดร้อนให้กับเราในทุกด้าน เกิดแล้วเกิดอีกนับชาติไม่ถ้วน ก็ยังทุกข์ยากลำบากอยู่ ที่บาลีใช้คำว่า ปุนัปปุนัง คือซ้ำ ๆ ซาก ๆ เห็นโทษแล้วต้องเข็ดด้วย ถ้าไม่เข็ดก็ยังไปทำอีก เมื่อเห็นโทษแล้ว เข็ดแล้ว สภาพจิตก็จะเลิกสนใจเรื่องอื่น หันมาหยุดอยู่กับปัจจุบัน

    เราจะสังเกตว่าการที่เราฟุ้งซ่าน ถ้าไม่ไปหวนหาอาลัยในอดีต ก็จะไปฟุ้งถึงอนาคต อดีตเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ ไม่น่าจะเป็นอย่างนี้ ไม่น่าจะเป็นอย่างนี้ ควรจะเป็นอย่างนั้น ควรจะเป็นอย่างนี้ อนาคตอยากมี อยากได้ อยากเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ หลุดจากปัจจุบันเมื่อไรก็เดือดร้อนเมื่อนั้น แล้วจะอยู่กับปัจจุบันได้อย่างไร ก็อยู่ที่ลมหายใจเข้าออกตรงนี้

    ตราบใดที่ความคิดของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป ไหลตามลมหายใจออกมา สภาพจิตก็ปรุงแต่งไม่ได้ เพราะว่างานตรงหน้าก็คือตามลมเข้าไป ตามลมออกมา อยู่กับปัจจุบันตรงนี้ อดีตก็ไม่ไป อนาคตก็ไม่ไป หยุดได้เมื่อไร รัก โลภ โกรธ หลง ทุกอย่างหยุดหมด ดับหมด ต่อให้ดับเพียงชั่วคราวก็ยังดี บุคคลที่โดนไฟเผาอยู่ตลอดเวลา อยากจะให้ไฟดับ สักวินาที ๒ วินาทีก็ยังเอา แล้วเราที่โดนไฟกิเลสเผามานับชาติไม่ถ้วน แล้วจะไม่พยายามลองหยุดดูบ้างหรือ ?

    ถ้าหากว่าเราหยุดอยู่กับปัจจุบันได้ สภาพจิตจะผ่องใสมาก เหมือนอย่างกับน้ำที่ตกตะกอน ความใสเริ่มปรากฏ ไม่มีกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง มากวนให้ขุ่น สภาพจิตยิ่งผ่องใสเท่าไร สติก็ยิ่งแหลมคมว่องไวเท่านั้น ปัญญาก็จะเกิด ให้เราเห็นว่าทำอย่างไรเราถึงจะรักษาความสุขที่เกิดจากการที่ รัก โลภ โกรธ หลง ดับลงชั่วคราวนี้เอาไว้ได้ ก็แปลว่าการกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกตรงหน้าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่านี้อีกแล้ว
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,759
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,561
    ค่าพลัง:
    +26,401
    แล้วทำอย่างไรเราถึงจะรักษาสภาพไว้ให้นาน ? เพราะว่าส่วนใหญ่ก็คือเมื่อนั่งสมาธิจะทำได้ แต่ขยับลุกเมื่อไรก็หลุดหายหมด ก็ต้องซักซ้อมบ่อย ๆ ไปให้ถึงจุดที่รู้ลมหายใจและคำภาวนาโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องบังคับก็รู้ลมเอง ไม่ต้องบังคับก็ภาวนาเอง ซึ่งถ้าหากว่าจะนับก็อยู่ในระดับอย่างน้อยเป็นปฐมฌานละเอียด

    เมื่อถึงตรงจุดนี้ก็เบาแรงแล้ว เหมือนอย่างกับเราเข็นเรือบนบก พอเรือลงน้ำได้ คราวนี้เบาแรงแล้ว มีน้ำช่วยพยุงอยู่ เราก็แค่เอาสติไปคอยประคับประคองระมัดระวังไว้ จะหลับ จะตื่น จะยืน จะนั่ง อย่าให้หลุดไปจากตรงนี้


    ถามว่าหลับก็รู้ได้ด้วยหรือ ? รู้ได้ ถ้าสติสมบูรณ์พร้อม หลับอยู่ก็รู้ว่าหลับ จะตื่นยังต้องสั่งตัวเองว่าตื่นได้แล้ว ลืมตา พลิกตัว ลุกนั่ง เหมือนอย่างกับสั่งหุ่นยนต์ แต่ด้วยสภาพจิตที่สั่งงานเร็วมาก ถ้าคนทั่วไปก็คือเห็นเราลืมตา พลิกตัวแล้วก็ลุกนั่งเลย

    ถ้าสามารถทำมาถึงตรงนี้ได้ โอกาสชนะกิเลสของเราถึงจะมี ก็คือหลับและตื่นจะมีสติรู้เท่ากัน ถ้าถึงตอนนี้มีบาลียืนยัน ท่านเรียกว่าพุทโธ คือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ทั้งหลับและตื่น รู้เท่าทันกิเลสทั้งปวงว่า ธรรมดาของร่างกายนี้มี รัก โลภ โกรธ หลง เป็นปกติ เจ้าอยากจะมีก็จงมีไปเถิด ข้าแค่ไม่ไปยุ่งด้วยก็จบแล้ว ก็จะย้อนกลับไปที่เดิมอีก ก็คือทำอย่างไรที่จิตจะไม่ไปปรุงแต่ง ก็ต้องกลับมาหาลมหายใจเข้าออกและคำภาวนา วนเวียนกันไปอยู่ในลักษณะอย่างนี้

    ถ้าหากว่าพิจารณาไม่เป็น ก็อย่าให้หลุดไปจากตรงนี้เป็นอันขาด หลุดเมื่อไรกิเลสตีตายเมื่อนั้น..! แต่ถ้าพิจารณาเป็น ต้องรีบพิจารณาให้เห็นความไม่เที่ยง เห็นความเป็นทุกข์ เห็นความไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา จนกระทั่งสภาพจิตยอมรับ ไม่ไปแตะต้องในสิ่งที่สร้างทุกข์ให้กับเราอีก ทุกอย่างก็จะดับลง นิโรธ คือความเข้าถึงความดับอย่างแท้จริงก็จะเกิดขึ้นกับพวกเรา

    วันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพฤหัสบดีที่ ๑๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...