เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 27 พฤศจิกายน 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,704
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,556
    ค่าพลัง:
    +26,395
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๖


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,704
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,556
    ค่าพลัง:
    +26,395
    วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ เป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ วันพระใหญ่ ซึ่งถ้าหากตามประเพณีไทยของเรา ก็เป็นวันลอยกระทงเพื่อขอขมาพระแม่คงคา หรือว่าลอยกระทงเพื่อบูชารอยพระพุทธบูชาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่่ริมแม่น้ำนัมมทานที ซึ่งประเพณีการลอยกระทงนี้ มีอยู่คู่ชนชาติไทยมาเนิ่นนาน มีหลักฐานปรากฏชัดในสมัยกรุงสุโขทัยเป็นต้นมา

    ทางด้านวัดท่าขนุนของเรา พระภิกษุสามเณรก็ยังคงออกบิณฑบาตตามปกติ เนื่องเพราะว่าวันลอยกระทง เป็นวันที่มีนักท่องเที่ยวมารอใส่บาตรในตลาดทองผาภูมิ เป็นจำนวนมากกว่าปกติ

    หลังจากที่กลับมาถึงวัด และได้ฉันเช้ากันเรียบร้อยแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ต้องเข้าสู่อุโบสถ ทำหน้าที่พระอุปัชฌาย์ ประชุมสงฆ์ ๔๑ รูป ทำการบรรพชาอุปสมบทนาค ซึ่งอาสาสมัครเข้ามาอุปสมบทหมู่ เพื่อปฏิบัติธรรมในช่วงวันลอยกระทง จำนวน ๑๑ ท่านด้วยกัน

    ครั้นเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว ก็ไปทำการเจริญพระพุทธมนต์ฉลองพระใหม่ ซึ่งประเพณีนี้เกิดจากการที่ญาติโยมทั้งหลายเห็นว่า พระเพิ่งบวชใหม่ ยังมีศีลบริสุทธิ์บริบูรณ์ ถ้าหากว่าได้ทำบุญด้วย ก็จะมีอานิสงส์มาก จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่ว่าที่ถูกต้องกว่านั้นก็คือ การที่ท่านทั้งหลายตั้งใจทำบุญเพื่อสงฆ์ อย่างที่เรียกกันว่าสังฆทาน

    สังฆทานนั้นไม่ใช่ว่าเราจะต้องหิ้วตะกร้า หิ้วปิ่นโต หิ้วถังเหลืองไปทำบุญที่วัด แต่ว่ามีสิ่งของอะไรเล็กน้อย อย่างเช่นว่าขนมชิ้นหนึ่ง ข้าวถ้วยหนึ่ง กับถ้วยหนึ่ง หรือว่าน้ำขวดหนึ่ง วางลงไปในท่ามกลางสงฆ์ซึ่งนั่งอยู่รวมกันตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป ถือว่าเป็นสังฆทานทั้งสิ้น

    สังฆทานนั้นมีอานิสงส์มาก ขนาดที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า แม้ถวายทานกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังมีอานิสงส์ไม่เท่ากับการได้ถวายสังฆทาน ๑ ครั้ง

    ดังนั้น..ถ้าเราตั้งใจถวายสังฆทาน แม้ว่าผู้รับจะมีเพศภาวะเปลือกนอกเป็นแค่พระภิกษุ ภายในไม่มีคุณงามความดีอะไรเลยก็ตาม อานิสงส์ของเราก็ได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เนื่องเพราะว่าผู้รับนั้นเป็นแค่ตัวแทนของสงฆ์เท่านั้น อานิสงส์ที่เราถวายสังฆทาน คือถวายแก่หมู่สงฆ์ ก็ยังได้เต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เช่นเดิม
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,704
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,556
    ค่าพลัง:
    +26,395
    หลังจากนั้นกระผม/อาตมภาพก็ได้มอบวัตถุมงคล ๑,๐๐๐ ชิ้นให้แก่นายชาคริต ตันพิรุฬห์ นายอำเภอทองผาภูมิ เพื่อนำไปจำหน่ายสมทบทุนในงานกาชาดประจำปี ๒๕๖๖ และท่านนายอำเภอชาคริตยังขอปรึกษาการงานหลายอย่าง ทั้งเกี่ยวกับชุมชนและเกี่ยวกับวัดท่าขนุนแห่งนี้

    ในช่วงบ่ายกระผม/อาตมภาพก็ต้องลงอุโบสถอีกครั้งหนึ่ง เพื่อทบทวนพระปาฏิโมกข์ ซึ่งเป็นการทวนศีลของพระ เป็นเรื่องสำคัญที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงกำหนดไว้เป็นระเบียบที่ต้องทำเลย ก็คือระบุว่าต้องมีการทบทวนพระปาฏิโมกข์ทุกกึ่งเดือน ก็คือทุก ๑๕ วัน ป้องกันบุคคลหลงลืมว่าศีลพระมีอะไรบ้าง แล้วไปทำผิดพลาดประการหนึ่ง ป้องกันพวกหน้าด้านใจด้าน อ้างว่าไม่รู้ศีลพระอีกประการหนึ่ง

    ดังนั้น..ในเรื่องของการลงพระปาฏิโมกข์จึงเป็นสังฆกรรมที่สำคัญมาก แม้แต่พระอรหันต์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังไม่เว้นให้ เรื่องนี้มีปรากฏในเถรประวัติของพระกัปปินเถระ ซึ่งท่านเคยเป็นพระมหากษัตริย์มาก่อน เมื่อบวชแล้วปฏิบัติธรรมจนเป็นพระอรหันต์

    วันนั้นท่านเดินจงกรมอยู่ เห็นว่าพระจันทร์เต็มดวง ท่านทั้งหลายอาจจะสงสัยว่า การเดินจงกรมนี้ ถ้าเป็นการเดินในเวลากลางวัน
    จะมองเห็นพระจันทร์เต็มดวงด้วยหรือ ? การที่พระจันทร์ขึ้นในวันเพ็ญนั้น ถ้าหากว่าคนช่างสังเกตจะเห็นว่า แม้ยังมีแสงตะวันอยู่ พระจันทร์ก็ขึ้นแล้ว โดยขึ้นแข่งกับพระอาทิตย์ที่ค่อย ๆ ลับฟ้าไป

    ดังนั้น..พระมหากัปปินะ เมื่อเห็นพระจันทร์เต็มดวง จึงคิดว่าวันนี้เป็นวันทบทวนพระปาฏิโมกข์ แต่ว่าเราเป็นพระอรหันต์ หมดจากกิเลส ได้รับการพยากรณ์จากองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์แล้ว เรื่องของการผิดศีลโดยเจตนานั้นไม่มี ไม่ต้องไปลงพระปาฏิโมกข์ ก็คงจะไม่เป็นอะไร

    องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทราบความคิดของพระมหากัปปินเถระ จึงสำแดงฉัพพรรณรังสี เหมือนพระองค์ท่านไปปรากฏอยู่เฉพาะหน้าแล้วตรัสว่า "ดูก่อน..กัปปินะ ถ้าหากว่าพระทุกรูปคิดอย่างเธอ พระพุทธศาสนานี้จักตั้งอยู่ไม่ได้" เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ต่อไปพระปุถุชนผู้มีกิเลสมาก ก็จะอ้างว่าพระเถระรูปนั้นยังไม่ลงพระปาฏิโมกข์ พระเถระรูปนี้ยังไม่ลงพระปาฏิโมกข์เลย เราก็จะไม่ลงพระปาฏิโมกข์บ้าง ถ้าหากว่าต่างคนต่างมีข้ออ้างแบบนี้ พระพุทธศาสนาจะตั้งอยู่ไม่ได้จริง ๆ..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,704
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,556
    ค่าพลัง:
    +26,395
    บุคคลที่ไม่ลงพระปาฏิโมกข์ อย่างเช่นว่าเจ็บไข้ได้ป่วย จนกระทั่งไปเข้าร่วมสังฆกรรมไม่ไหว หรือว่าได้รับภารกิจสำคัญจากทางคณะสงฆ์ต้องไปกระทำ ก็ให้มอบฉันทะ คือมอบอำนาจของตนให้แก่สงฆ์รูปใดรูปหนึ่ง หรือว่าให้แก่คณะสงฆ์ทั้งหมด เพื่อที่จะไปลงพระปาฏิโมกข์แทนตนเอง

    อย่างที่กระผม/อาตมภาพมอบฉันทะให้กับทางคณะสงฆ์วัดท่าขนุนว่า "วันพระปาฏิโมกข์นี้ กระผมติดภารกิจสำคัญ ไม่สามารถที่จะลงทบทวนศีลร่วมกับท่านทั้งหลายได้ ขอมอบอำนาจในการพิจารณาสังฆกรรมต่าง ๆ ให้แก่คณะสงฆ์ หากว่าคณะสงฆ์หมู่มากมีความเห็นอย่างไร กระผม/อาตมภาพยอมรับตามความเห็นนั้น

    แม้จะลงความเห็นปลดกระผม/อาตมภาพออกจากเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน โทษฐานที่ไม่ยอมลงอุโบสถ ทบทวนพระปาฏิโมกข์ กระผม/อาตมภาพก็ยินดีออกจากตำแหน่งตามที่คณะสงฆ์ว่ามา"


    ดังนั้น..ท่านทั้งหลายจะเห็นได้ว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ว่างเว้นให้กับบุคคลใดบุคคลหนึ่งว่า ไม่ต้องลงอุโบสถทบทวนพระปาฏิโมกข์ แม้แต่บุคคลที่เจ็บป่วย หรือว่าติดภารกิจสำคัญทางคณะสงฆ์ ก็ยังต้องมอบฉันทะให้กับเพื่อนพระภิกษุสงฆ์ ไปลงอุโบสถทบทวนพระปาฏิโมกข์แทน

    เมื่อเสร็จจากการทบทวนพระปาฏิโมกข์ ออกจากโบสถ์มาแล้ว บรรดาพระภิกษุสงฆ์วัดท่าขนุน ก็พร้อมใจกันวางผางประทีป มีทั้งแปรภาพและแปรอักษร ซึ่งในแต่ละครั้งของการวางผางประทีปเพื่อถวายเป็นพุทธบูชานั้น ได้รับการออกแบบโดยพระจิตศิลป์ เหมรํสี, ดร. ประธานสงฆ์สำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี ซึ่งท่านเป็นผู้ที่ออกแบบให้ทุกครั้ง พวกเราเมื่อวางผางประทีปเสร็จเรียบร้อยแล้ว ครั้นถึงเวลา ๕ โมงเย็น ก็เริ่มจุดถวายเป็นพุทธบูชา

    หลายท่านอาจจะเห็นว่า ในเรื่องของการลอยประทีปนั้นเป็นประเพณีของชาวฮินดู แต่ว่าเมื่อมาถึงประเทศไทย พวกเราก็ดัดแปลงมา เป็นการลอยประทีปเพื่อบูชารอยพระพุทธบาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ริมแม่น้ำนัมมทานที เป็นการระลึกว่า "ข้าพเจ้าขอลอยประทีปนี้ ถวายเป็นพุทธบูชา ต่อรอยพระพุทธบาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น"

    ก็คือ
    เป็นเครื่องโยงจิตให้ระลึกถึงพุทธานุสตินั่นเอง ถ้าลำพังให้ระลึกอย่างเดียว ก็อาจจะไม่ชัดเจน จึงต้องมีเครื่องมือคือกระทงเข้ามาช่วยแล้วกระผม/อาตมภาพเองยังอาศัยว่าเป็นวันพระขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ จึงทำการตามประทีป ๑๐,๐๐๐ ดวงเป็นพุทธบูชาไปในเวลาเดียวกัน
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,704
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,556
    ค่าพลัง:
    +26,395
    ครั้งจุดผางประทีปไปแล้ว กระผม/อาตมภาพก็มามอบรางวัลให้กับเด็กนักเรียนชุมนุมนาฏศิลป์ โรงเรียนทองผาภูมิวิทยา ที่ไปประกวดรำวงตามบทร้อง (พื้นบ้าน) เนื่องในงานส่งเสริมวัฒนธรรมของจังหวัดสมุทรสงคราม ชิงถ้วยพระราชทานของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้รางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๑ มา มอบรางวัลให้กับเด็ก ๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว กระผม/อาตมภาพจึงได้มาทำการบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนอยู่ในขณะนี้

    ญาติโยมทั้งหลายจะเห็นว่า ในแต่ละวันนั้น กระผม/อาตมภาพมีแต่งานกับงาน เนื่องเพราะว่าตำแหน่งหน้าที่ ตามที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการนั้น ก็มีถึง ๓๕ ตำแหน่งแล้ว ยังมีตำแหน่งหน้าที่ชั่วครั้งชั่วคราว ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการ อย่างเช่นในวันที่ ๒๙ - ๓๐ พฤศจิกายน และ ๑ - ๒ ธันวาคม ๒๕๖๖ นี้ ก็ต้องเป็นคณะกรรมการอำนวยการสอบนักธรรมชั้นโท - ชั้นเอก ของคณะสงฆ์จังหวัดกาญจนบุรี เป็นต้น ตำแหน่งชั่วคราวเหล่านี้มักจะลอยมาเป็นระยะไป ส่วนตำแหน่งหลัก ๆ นั้น แค่ประชุมอย่างเดียวก็แย่แล้ว

    เพียงแต่ว่าถ้าเราท่านทั้งหลายมีสติสัมปชัญญะมั่นคง รู้จักแยกแยะความสำคัญ ก่อน หลัง เร็ว ช้า ของงานได้ งานไหนมาก่อน เราก็ทำงานนั้นก่อน ตรงหน้าของเราก็จะมีงานอยู่เพียงงานเดียว แล้วไม่เกินกำลังของเรา แต่น่าเสียดายที่ญาติโยมทั้งหลาย ส่วนมากแล้วก็มักจะนำเอาปัญหาต่าง ๆ มาหมกรวมกันเป็นก้อนใหญ่ ไหนจะเรื่องของครอบครัว ไหนจะเรื่องของหน้าที่การงาน ไหนจะลูก ไหนจะผัว ไหนจะเมีย ไหนจะพ่อ ไหนจะแม่ แถมยังพ่อตา - แม่ยาย และพรรคพวกเพื่อนฝูงอีกต่างหาก ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ปัญหาของท่านทั้งหลายก็จะหนักมาก จนบางทีก็มืดแปดด้าน คิดอะไรไม่ออก..!

    กระผม/อาตมภาพจึงขอแนะนำไว้ในที่นี้ว่า ถ้าหากว่าเกิดปัญหาขึ้นมา ให้ทุกคนหายใจลึก ๆ จับลมหายใจเข้าออก ๓ ฐาน จมูก - อก - ท้อง ท้อง - อก - จมูก ภาวนาพุทโธ สัก ๕ นาที ๑๐ นาที จนกระทั่งกำลังใจของเราสงบลง แล้วค่อยแยกแยะดูว่า ปัญหาไหนสำคัญมาก ปัญหาไหนสำคัญน้อย ปัญหาไหนมาก่อน ปัญหาไหนมาทีหลัง แล้วจัดการแก้ไขไปตามลำดับ ปัญหาของท่านทั้งหลายก็จะไม่หนักเกินกำลัง และสามารถแก้ไขไปได้ทีละเปลาะ

    นี่คือความสำคัญในการที่เราท่านทั้งหลายฝึกปฏิบัติกรรมฐานมาแล้ว ต้องเอามาใช้ในชีวิตจริงได้ ไม่เช่นนั้นแล้วท่านทั้งหลายฝึกไปก็เท่ากับเสียเวลาเปล่า

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเราและบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันจันทร์ที่ ๒๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...