เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 13 กุมภาพันธ์ 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,741
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,559
    ค่าพลัง:
    +26,399
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,741
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,559
    ค่าพลัง:
    +26,399
    วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๖ ช่วงเช้าอากาศที่ทองผาภูมิยังอยู่ที่ ๑๙ องศาเซลเซียส สำหรับคนทองผาภูมิก็คงรู้สึกกันว่าร้อน แต่ว่าคนที่มาจากที่อื่นนั้น บางทีก็รู้สึกว่าหนาวมาก เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าความไม่เคยชิน

    คำว่า ไม่เคยชิน ในที่นี้ ถ้าหากว่ามากล่าวถึงในเรื่องของการปฏิบัติธรรม ก็คือ การที่เข้าไม่ถึงกำลังใจที่มั่นคง ซึ่งเรียกว่า ฌาน

    การที่ไม่สามารถจะทรงฌานได้ ทำให้จิตใจของเรานั้นต้องขึ้น ๆ ลง ๆ ไปตามแรงของ รัก โลภ โกรธ หลง ที่เป็นกิเลสประจำของแต่ละคน บุคคลใดบุคคลหนึ่งที่สามารถทรงฌานสมาบัติได้ ถ้าหากว่าเป็นผู้หวังความหลุดพ้นแล้ว เขาย่อมที่จะไม่ละทิ้งซึ่งฌานสมาบัตินั้น เพราะว่าจะช่วยกด รัก โลภ โกรธ หลง ให้สงบลงได้ชั่วคราว ทำให้มีสติปัญญาที่แจ่มใส สามารถคิดพิจารณาเห็นช่องทางว่าจะก้าวต่อไปอย่างไร จึงจะสามารถที่จะเข้าถึงความหลุดพ้นตามความปรารถนาของตนเองได้

    สำหรับวันนี้ดูเหมือนกับว่าไม่มีภารกิจอะไร แต่ท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมว่า เมื่อวานนี้กระผม/อาตมภาพเพิ่งจะกลับมาถึง แล้ววันนี้ก็ยังต้องวิ่งไปเพื่อรองานต่อไปในกาลข้างหน้า ความจริงตั้งใจว่าจะไปจ่ายเงินสนับสนุนรายเดือนให้แก่นิสิตของอำเภอทองผาภูมิ ซึ่งกระผม/อาตมภาพนั้นส่งเรียนทุกคนทุกวัด

    ไม่ว่าจะเป็นวัดไหนก็ตาม ถ้าหากว่าเข้าเรียนที่วิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีศรีไพบูลย์ และเป็นนิสิตของอำเภอทองผาภูมิ กระผม/อาตมภาพจะสนับสนุนค่ารถให้เดือนละ ๓,๐๐๐ บาทต่อรูป/คน ซึ่งถ้านับการเดินทางก็คือเดินทางเดือนละ ๔ ครั้ง แปลว่าเดินทางอาทิตย์ละ ๑ ครั้ง ดังนั้น..ค่ารถจำนวน ๓,๐๐๐ บาทก็น่าที่จะเพียงพอสำหรับทุกคนในการเดินทางไปเรียน
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,741
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,559
    ค่าพลัง:
    +26,399
    ขณะเดียวกันก็ยังมีนิสิตจากที่อื่น ซึ่งถ้าหากว่าไม่เกรงใจผู้บังคับบัญชาก็คงขอย้ายมาอยู่ทองผาภูมิกันแล้ว เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่านโยบายของเจ้าคณะอำเภอและรองเจ้าคณะอำเภอของแต่ละอำเภอนั้นไม่เหมือนกัน บางอำเภอก็สนับสนุนให้เรียน ให้ทุนการศึกษา บางอำเภอก็แค่หาตัวบุคลากรไปเรียน แล้วก็ปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรมเท่านั้น ต้องบอกว่าแล้วแต่นโยบายของเบื้องบนว่าจะทำอย่างไร

    หลายท่านที่เห็นความสะดวกในการเรียนของพระภิกษุสามเณรอำเภอทองผาภูมิแล้ว ก็มีที่ขอย้ายเข้ามาสังกัดในอำเภอทองผาภูมิเลย แต่ท่านทั้งหลายที่มาปรึกษานั้น ส่วนใหญ่กระผม/อาตมภาพก็จะตักเตือนไปว่า อันดับแรก ท่านมีงานอะไรที่จะต้องช่วยเจ้าอาวาสเขาทำค้างคาอยู่หรือไม่ ? อันดับที่สอง ท่านมีตำแหน่งหน้าที่เป็นพระสังฆาธิการหรือว่าเลขานุการระดับใดระดับหนึ่งหรือไม่ ?

    ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายมีภาระหน้าที่เหล่านี้ก็ไม่ควรที่จะย้ายมา เพราะว่าอันดับแรก ถ้าหากว่าเป็นพระสังฆาธิการ ย้ายออกจากนอกพื้นที่ ท่านก็จะหลุดออกจากตำแหน่งไปโดยปริยาย อันดับที่สอง ตำแหน่งอย่างเลขานุการนั้น แม้ว่าจะอยู่ในพื้นที่ใดก็ได้ แต่ถ้าหากว่าย้ายไปอยู่ทองผาภูมิ การทำงานของท่านก็จะลำบากยิ่งขึ้น และโดยเฉพาะการเดินทางจากทองผาภูมิไปถึงวิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีศรีไพบูลย์นั้น เป็นระยะทางเกือบ ๑๗๐ กิโลเมตร..! ซึ่งถ้าหากกว่าเดินทางจากอำเภออื่นนอกจากอำเภอสังขละบุรีแล้ว ก็ไม่มีอำเภอใดที่จะไกลไปกว่านั้นอีก

    ดังนั้น..พวกท่านจะต้องพิจารณาให้ดีว่า ตำแหน่งหน้าที่ของตน ตลอดจนกระทั่งการเดินทางนั้นสะดวกสำหรับท่านทั้งหลายหรือไม่ ? ถ้าหากว่าเจ้าอาวาสหรือว่าผู้บังคับบัญชาไม่คัดค้านการเดินทางของท่าน คิดว่ารับได้ ก็สามารถที่จะย้ายไปสังกัดวัดใดวัดหนึ่งในเขตอำเภอทองผาภูมิได้ กระผม/อาตมภาพพร้อมที่จะจ่ายเงินสนับสนุนรายเดือนให้กับทุกคน

    แต่บังเอิญว่าการตั้งใจวันนี้เป็นการตั้งใจเสียเปล่า เพราะว่าวันนี้เป็นวันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๓ ซึ่งตรงกับ "วันพระ" จะดีจะชั่วอย่างไร วิทยาลัยสงฆ์ก็ยังหยุดวันพระอยู่ดี จึงไม่สามารถที่จะไปจ่ายเงินให้กับทางด้านนิสิตของอำเภอทองผาภูมิได้
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,741
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,559
    ค่าพลัง:
    +26,399
    ขณะเดียวกันก็ยังมีปัญหาใหญ่ว่า ขณะที่กำลังทำเอกสารเชิญคณะกรรมการสภาวัฒนธรรมอำเภอทองผาภูมิเข้าประชุมประจำเดือนในวันที่ ๑๖ นี้ ระหว่างที่ใช้ CS Scan ในการเปลี่ยน Word ให้เป็นไฟล์ PDF ไม่ทราบเหมือนกันว่าติดไวรัสมาตอนไหน ? เพราะว่าอยู่ดี ๆ ก็มีแอพพลิเคชั่นประหลาดเด้งขึ้นมา บอกว่าโทรศัพท์ของกระผม/อาตมภาพนั้นเม็มโมรี่จะเต็ม ขอให้ติดตั้งระบบล้างถังขยะทุก ๒ ชั่วโมงของแอพพลิเคชั่นนี้

    กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่สงสัยว่า เพิ่งจะล้างโทรศัพท์ไปเมื่อวานนี้ วันนี้จะเม็มโมรี่เต็มได้อย่างไร ? จึงไม่พยายามที่จะไปยุ่ง แต่ว่าแอพพลิเคชั่นนี้ก็หน้าด้านหน้าทน ขับไล่เท่าไรก็ไม่ไป แถมยังดุเสียอีกว่า "บอกหลายครั้งแล้วทำไมถึงไม่ยอมติดตั้งเสียที"

    กระผม/อาตมภาพจึงต้องหาเครื่องใหม่เพื่อมาบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนในครั้งนี้ ถ้าหากว่ามีสุ้มเสียงที่แปลกประหลาดไปจากปกติ ก็ขอให้รู้ว่าเกิดจาการใช้เครื่องมือใหม่ ๆ อาจจะทำให้มีอะไรที่เปลี่ยนแปลง ไม่ตรงกับของเดิมบ้าง

    ในขณะที่เดินทางเพื่อที่จะมารองานนั้น กระผม/อาตมภาพได้อ่านหนังสือ "พลิกประวัติศาสตร์มหาอำนาจต้าหมิง" อ่านไปแล้วก็เกิดความสะท้อนใจ ว่าการเป็นผู้บังคับบัญชา โดยเฉพาะระดับสูงสุดอย่างฮ่องเต้ก็ดี ระดับที่ต่ำกว่านั้น แต่ว่าต้องดูแลผู้คนจำนวนมาก ๆ ก็ตาม "ทำไมถึงได้น่าสงสารขนาดนั้น ?" เพราะว่าแต่ละคนนั้นต้องระมัดระวังอยู่เสมอ ถ้าหากว่าใช้ศัพท์วัยรุ่นสมัยนี้ก็คือ "แค่หันหลังให้ก็พรุนแล้ว" แปลว่าโดนแทงข้างหลังอยู่ตลอดเวลา

    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ทำให้มานึกถึงบรรดาเจ้าคณะปกครองทางคณะสงฆ์ ซึ่งมีอยู่ ๒ ประเภทด้วยกัน ประเภทที่ ๑ ก็คือ กลัวคนอื่นจะมาแย่งชิงตำแหน่งแห่งที่ของตน ไม่ว่าจะทำอะไร ก็ต้องระมัดระวังคำนึงถึงผลได้ผลเสียอยู่เสมอ จะแต่งตั้งเจ้าอาวาสสักรูปหนึ่ง จะแต่งตั้งเจ้าคณะตำบล ก็ต้องคิดว่าจะส่งผลดีหรือว่าผลร้ายแก่ตนเอง

    ยิ่งผู้บังคับบัญชาระดับสูงมากกว่านั้น ก็ยิ่งต้องคิดและวางแผนมาก จึงเป็นสาเหตุให้ท่านเหล่านั้นแก่ไปอย่างทันตาเห็น บางทีถ้าหากว่าเราดูหน้าบรรดาผู้ปกครองทางโลก อย่างเช่นว่านายกรัฐมนตรีก็ดี หรือว่ารัฐมนตรีก็ตาม ถ้าหากว่าใช้ระบบ Before & After อย่างที่ทางฝรั่งเขาทำกัน ก็จะเห็นว่าหน้าตาก่อนที่จะรับตำแหน่งเป็นอย่างหนึ่ง ในปัจจุบันนี้แก่ไปจนผิดหูผิดตาเลย..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,741
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,559
    ค่าพลัง:
    +26,399
    ส่วนผู้บังคับบัญชาอีกประเภทหนึ่งนั้นคือ ผู้บังคับบัญชาที่หวังความเจริญจะเกิดขึ้นกับคณะสงฆ์ จึงทุ่มเททำการทำงานทุกอย่างเพื่อคณะสงฆ์ แต่ว่าหาบุคคลที่จะมาแบ่งเบาภาระ หรือว่ามาสนองงานได้น้อยมาก เพราะว่างานคณะสงฆ์นั้น จะว่าไปแล้วเป็นงานที่ทำเพื่อเอากล่อง ก็คือต้องการบุญ ต้องการกุศล ต้องการเห็นความเจริญในพระพุทธศาสนา

    ในเมื่อทำไปแล้วประโยชน์มีน้อย แถมยังต้องเสียประโยชน์ของตนเป็นอย่างมาก ผู้บังคับบัญชาหลายท่าน อย่างเช่นพระเดชพระคุณพระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าคณะภาค ๑๔ เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) ทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจและทรัพยากร ในการบริหารงานเพื่อที่จะให้คณะสงฆ์มีการเปลี่ยนแปลงในทางที่เจริญขึ้น ทำให้ญาติโยมกลับมาศรัทธาในพระพุทธศาสนาเหมือนเดิม

    แต่ว่าสิ่งที่ได้รับตอบกลับมานั้นก็คือ เจ้าคณะปกครองระดับล่างบางคน "เข้าเกียร์ว่าง" ไปเลย..! เพราะเห็นว่าเป็นการไปเพิ่มงานให้กับตัวเอง ทุกวันนี้อยู่กินไปวัน ๆ ก็ถือว่าสบายแล้ว ทำไมต้องไปเหนื่อยแบบนั้นด้วย ?

    ส่วนอีกประเภทหนึ่งนั้นก็ "ทำหูทวนลม" กิจการงานใด ๆ ที่เป็นความเจริญของคณะสงฆ์ กิจการงานใด ๆ ที่เป็นไปเพื่อความเจริญของพระพุทธศาสนา กิจการงานนั้น ๆ ก็ไม่ใส่ใจที่จะทำ หากแต่ว่าไปรับกิจนิมนต์แทน ดังนั้น..เรื่องพวกนี้จึงทำให้ผู้บังคับบัญชาประเภทหลังนี้ ถ้าหากว่าไม่มีความมุ่งมั่นที่จะทำความดีเพื่อคณะสงฆ์จริง ๆ ก็คงจะท้อถอยและหมดกำลังใจไปในที่สุด

    ในเมื่ออ่านหนังสือ "พลิกประวัติศาสตร์มหาอำนาจต้าหมิง" แล้วมาคิดเข้ากับการปกครองคณะสงฆ์ในปัจจุบันแล้ว กระผม/อาตมภาพเห็นใจผู้บังคับบัญชาประเภทหลังเป็นอย่างยิ่ง ว่าท่านต้องมาเครียดเพราะตั้งใจทำความดีแท้ ๆ ส่วนผู้บังคับบัญชาประเภทแรกนั้น ท่านจะหวงเก้าอี้หวงตำแหน่งอย่างไรก็เรื่องของท่านเถิด คิดมากเครียดมาก ท่านก็จะโดนมะเร็งรับประทานไปเอง..!
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,741
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,559
    ค่าพลัง:
    +26,399
    ส่วนกระผม/อาตมภาพก็คงอยู่ในแง่ที่พระเดชพระคุณพระราชภาวนาโกศล วิ. (อนันต์ พทฺธญาโณ) หรือหลวงพ่อเจ้าคุณอนันต์ ซึ่งมรณภาพไปแล้ว เจอหน้าทีไร ท่านก็ถามว่า "เล็ก..แกไม่รู้จักแก่แบบคนอื่นบ้างเลยหรือวะ ?"

    ตรงจุดนี้อยากจะบอกแค่ว่า กระผม/อาตมภาพนั้น ทำหน้าที่ตามที่ได้รับบัญชามาจากหลวงปู่ หลวงพ่อ หรือว่าบางทีจาก "พระ" ท่านก็มี พ้นจากหน้าที่อื่นไปแล้ว สิ่งที่กระทำนั้นก็ไม่ได้เป็นไปเพื่อตัวเอง หากแต่ว่าทำเพื่อคนอื่น เพียงแต่ว่าเป็นคนที่ตัดกำลังใจได้ ก็คือ ขอให้ได้ทำหน้าที่เท่านั้น ทำแล้วจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ ไม่ใช่เรื่องที่จะไปคิดถึง ยินดีแค่ว่าได้ทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่แล้ว แหงนหน้าก็ไม่อายฟ้า ก้มหน้าก็ไม่อายดิน ไม่มีอะไรให้เครียดให้คาอยู่ในใจของตน

    ดังนั้น..ร่างกายภายนอกอาจจะทรุดโทรมช้าหน่อย แต่ว่าภายในก็รู้ดีอยู่ว่ากำลังที่ทุ่มเทให้ทั้งทางโลกและทางธรรมนั้นร่อยหรอลงไปทุกวัน ไม่ทราบเหมือนกันว่าวันใดวันหนึ่งจะหมดสภาพหงายตึงลงไป ถ้าหากว่าถึงวันนั้นขึ้นมา ก็ขอให้ทุกท่านได้ทราบว่า กระผม/อาตมภาพนั้นเต็มที่กับทุกอย่างแล้ว สามารถที่จะจากไปโดยไม่มีห่วงใยกังวลใด ๆ ทั้งสิ้น..!


    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันจันทร์ที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...