หลวงปู่จันทร์ เขมิโย วัดศรีเทพประดิษฐาราม อ.เมือง จ. นครพนม

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย aeziss, 8 พฤษภาคม 2009.

  1. aeziss

    aeziss เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    377
    ค่าพลัง:
    +1,296
    บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่เกียรติคุณของครูบาอาจารย์ที่มีคุณธรรมสูงส่ง ให้เป็นที่รู้จักแก่สาธารณชนทั่วไป

    [​IMG]

    หลวงปู่จันทร์ เขมิโย วัดศรีเทพประดิษฐาราม อ.เมือง จ. นครพนม

    ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย
    ท่านเจ้าคุณพระเทพสิทธาจารย์มีนามเดิมว่า จันทร์ สุวรรณมาโจ เกิดเมื่อวันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2424 ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 1 (เดือนอ้าย) ปีมะเส็ง เป็นบุตรคนที่ 3 (ในจำนวน 6 คน) ของนายวงศ์เสานาและนางไข สุวรรณมาโจ มีอาชีพทำนาทำไร่ ชาติภูมิอยู่บ้านท่าอุเทน หมู่ 3 ตำบลท่าอุเทน อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม


    ท่านเจ้าคุณหลวงปู่พระเทพสิทธาจารย์เป็นพระเถระผู้ใหญ่มีอายุพรรษาสูง เปี่ยมล้นด้วยประสบการณ์ ทรงไว้ซึ่งคุณธรรมมีพรหมวิหารธรรมเป็นที่ตั้งกิริยามารยาทนุ่มนวลมีวาจาไพเราะ เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน ท่านจึงเป็นที่เคารพสักการบูชาของพระภิกษุสามเณรและคฤหัสถ์ทั่วไป ผู้ที่เคารพนับถือท่านเจ้าคุณหลวงปู่มากก็มี สมเด็จพระสังฆราชฯ(จวน อุฏฺฐายี) วัดมกุฏกษัตริยาราม ซึ่งมักไปมาหาสู่ท่านอยู่เสมด อีกรูปหนึ่งที่เคารพรักหลวงปู่มากถึงกับฝากตัวเป็นลูก คือสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสัฆปรินายก วัดบวรนิเวศวิหารองค์ปัจจุบันสมเด็จพระสังฆราชฯ วัดบวรฯ มักจะเรียกหลวงปู่เจ้าคุณว่า “หลวงพ่อ” และหลวงปู่เจ้าคุณก็เรียกสมเด็จพระสังฆราชสมัยเป็นเจ้าคุณว่า “เจ้าคุณลูก”
    หลวงปู่เจ้าคุณพระเทพสิทธาจารย์ นับว่าเป็นพระสุปฏิปันโน ชั้นเยี่ยมองค์หนึ่ง ท่านได้ประพฤติดีปฏิบัติชอบเรื่อยมาเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยปริยัติและปฏิบัติ กาลเวลาผ่านไป วัยสังขารและรูปกายของหลวงปู่ก็เป็นไปตามกฏแห่งไตรลักษณ์ย่อมแตกดับสลายไปในที่สุด ดุจผลไม้สุกงอมเต็มที่ย่อมร่วงหล่นหลุดจากขั้วฉะนั้นวุดวิสัยที่แพทย์จะช่วยไว้ได้ท่านถึงแก่มรณภาพด้วยโรคชรา ในวันศุกร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2516 สิริรวมอายุได้ 92 ปี พรรษา 72 ศพของหลวงปู่เจ้าคุณได้เก็บรักษาไว้ให้ประชาชนได้กราบไหว้บูชาและบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายเรื่อยมา จนถึงวันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2522 จึงได้มีพิธีพระราชทานเพลิงศพของท่าน โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินไปพระราชทานเพลิงศพ ทางฝ่ายคณะคณะสงฆ์ก็มีสมเด็จพระสังฆราชพร้อมด้วยพระเถรานุเถระและคณาจารย์ทั่วประเทศได้ไปร่วมพิธีพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่เหลือคณานับ
     
  2. aeziss

    aeziss เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    377
    ค่าพลัง:
    +1,296
    บุญญาธิการหลวงปู่จันทร์

    บุญญาธิการหลวงปู่จันทร์ <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ท่านเจ้าคุณปู่พระเทพสิทธาจารย์(จันทร์ เขมิยมหาเถระ) วัดศรีเทพประดิษฐาราม อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม<o:p></o:p>
    ผู้มีจริยาวัตรแปลกองค์หนึ่ง ในประวัติศาตร์ไทย ที่ได้ โต้วาทีกับยมบาล ปล่อยปลาโพธิสัตว์ ปล่อยงูเหลือมโพธิ์สัตว์<o:p></o:p>
    เรื่องราวเหล่านี้ ท่านเจ้าคุณปู่ ได้บอกเล่ายืนยันเองบ้าง ท่านผู้ใกล้ชิดได้พบเห็นแล้วนำมาบอกเล่าบ้าง<o:p></o:p>
    บางเรื่องก็เป็นคำแนะนำสั่งสอนข้อปฏิบัติเตือนใจได้เป็นอย่างดี จึงได้รวบรวมเรื่องราวเหล่านั้นมากล่าวไว้ <o:p></o:p>
    เพื่อให้ท่านผู้มีวิจารณญาณได้ศึกษาพิจารณาหาเหตูผลประดับความรู้และถือเป็นแนวทางเตือนใจให้อนุชนรุ่นหลังได้ก่อสร้างคุณงามความดีต่อไป<o:p></o:p>
    วัตถุมงคลของท่านเจ้าคุณปู่ฯ ที่ประชาชนนำไปสักการะบูชาได้แสดงบุญญาธิการมากมาย ผู้ประสบเหตุด้วยตนเองนำมาบอกเล่า<o:p></o:p>
    ขอยกมากล่าวพอเป็นตัวอย่างดังนี้<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เรื่องโต้วาทีกับยมบาล<o:p></o:p>
    เรื่องนี้เกิดขึ้นสมัยที่ท่านเจ้าคุณปู่ฯ ยังดำรงสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรที่พระครูสีลสัมบัน ท่านได้กล่าวว่า เวลากลางคืนวันหนึ่ง <o:p></o:p>
    ขณะที่ท่านนอนเล่นอยู่บนเก้าอี้ผ้าใบที่หน้ามุขกุฏิหลังเดิมซึ่งถูกรื้อไปแล้ว ท่านต้องตกใจตื่นขึ้นเมื่อท่านได้มองเห็นร่างอสุกายตนหนึ่งยืนตระหง่านจ้องมองท่านอยู่ <o:p></o:p>
    ท่านจึงเดินเข้าไปในกุฏิแล้วปิดประตูเสีย แล้วเดินเข้าห้องส่วนตัวไหว้พระสวดมนต์ แล้วนั่งเจริญเมตตาภาวนาต่อจากนั้นก็นั่งสมาธิ <o:p></o:p>
    ขณะนั้นเองอสุรกายตนนั้นก็เดินเข้ามาหาท่านภายในห้อง ท่านจึงเอ่ยถามอสุรกายตนนั้นขึ้นก่อนว่า คุณเป็นใคร มาจากไหน มาทำไม มีธุระอะไรหรือจึงมาพบฉัน <o:p></o:p>
    อสุรกายตนนั้นตอบว่า ผมเป็นยมบาลมาจายมโลก มาเพื่อจะจับเอาคนที่หนีนรกมาเกิด ท่านจึงถามยมบาลว่า คนที่วัดที่หนีนรกมาเกิดเป็นใคร <o:p></o:p>
    ยมบาลตอบว่า คนที่วัดที่หนีนรกมาเกิดนั้นเป็นสามเณรสุ ท่านจึงกล่าวว่า สามเณรสุมีอายุได้ ๑๖ ปี บรรพชาเป็นสามเณรได้ ๒ ปีแล้ว <o:p></o:p>
    ท่านกล่าวว่าจะหนีนรกมาเกิดได้อย่างไร ยมบาลตอบว่า หนีมาเกิดได้เพราะวันเวลาในโลกมนุษย์กับนรกแตกต่างหันมาก นี่ก็เพิ่งจะหนีมา ผมจึงได้ติดตามมา และยังกล่าวหาท่านว่า ท่านบวชคนผิด ท่านได้ตอบยมบาลว่าตนได้รับการแต่งตั้งเป็นอุปัชฌย์ถูกต้องตามกฏหมาย จากสมเด็จพระสังฆราชเจ้า ให้บรรพชา อุปสมบทแก่กุลบุตรได้ทั่วราชอาณาจักร จะมาพูดกล่าวหาว่าฉันบวชคนผิดได้อย่างไร ยมบาลตอบว่าท่านผิดแน่นอน เพราะท่านบวชคนของผมที่หนีมาจากนรก ผมตามมาทันจะต้องนำกลับไปเดี๋ยวนี้<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ท่านเจ้าคุณปู่ฯ เล่าต่อไปว่า เมื่อท่านได้ยินยมบาลพูดกล่าวหาท่าน ทั้งยังยืนยันว่าท่านเป็นคนผิดนั้น จึงตอบเขาว่า ถ้าฉันผิดจริงตามข้อกล่าวหาแล้ว ก็จงไปแจ้งนายอำเภอสิ<o:p></o:p>
    ยมบาลตอบว่า ผมเป็นใหญ่กว่านายอำเภอ ถ้าเช่นนั้นก็ไปแจ้งข้าหลวงสิ ยมบาลตอบว่า ผมเป็นใหญ่กว่าข้าหลวง ท่านจึงกล่าวว่า หากเป็นเช่นนั้นก็จงไปฟ้องสมเด็จพระสังฆราชเจ้าสิ ยมบาลตอบว่า ผมเป็นใหญ่กว่าสมเด็จพระสังฆราชเจ้า ท่านจึงกล่าวว่า หากเป็นเช่นนั้นก็จงไปฟ้องพระเจ้าแผ่นดินสิ ยมบาลตอบว่า ผมเป็นใหญ่กว่าพระเจ้าแผ่นดิน<o:p></o:p>
    เพราะผมเป็นยมทูตมาจากนรก ต้องการนำสามเณรสุกลับไป ทั้งได้กล่าวต่อไปอีกว่าท่านได้บวชคนผิด บวชคนโทษที่ไม่ได้รับอนุญาต ท่านเป็นอุปัชฌาย์ ก่อนจะบวชคนทำไมไม่สอบสวนให้แน่นอนเสียก่อน ท่านตอบยมบาลว่า ก็เมื่อเขาเกิดมาเป็นคนแล้วก็เป็นเรื่องของคน ฉันก็เห็นเขาคนแล้วจึงให้บวช เพราะฉันไม่ได้เป็นอุปัชฌาย์ในเมืองผีนี่และได้ถามยมบาลไปว่า เมื่อคุณเห็นว่าเขาหนีมาเกิดจริงแล้ว คุณมีหลักฐานอะไรมาแสดงให้ดูบ้าง ก่อนที่คุณจะนำตัวสามเณรสุกลับไป<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ท่านเจ้าคุณปู่ฯ กล่าวต่อไปว่า เมื่อท่านถามหาหลักฐานเช่นนั้น ยมบาลก็ล้วงเอากระดาษสีเหลืองแผ่นหนึ่งออกมา แล้วสลัดกระดาษนั้น สองสามครั้งก็ปรากฎว่ามีรูปสามเณรสุนั้นติดอยู่ในกระดาษสีเหลืองแผ่นนั้น ยมบาสลจึงชี้ให้ดูตำหนิปานสีดำใต้คางแห่งหนึ่ง ที่ใต้รักแร้ทั้งสองข้างแห่งหนึ่ง เมื่อท่านได้เห็นตำหนิปานอันเป็นหลักฐานแล้ว หลวงปู่ฯญ จึงพูดขอชีวิตสามเณรสุต่อยมบาลไว้ว่า ไหนๆ เขาก็เกิดมาเป็นคนและได้บรรพชาเป็นสามเณรประพฤติพรหมจรรย์แล้ว ก็จงอนุญาตให้เขาอยู่ในเพศนี้ต่อไป ยมบาลบอกท่านว่า<o:p></o:p>
    ถึงแม้ท่านจะขอชีวิตสามเณรสุไว้ ผมก็อนุญาตไม่ได้ เพราะสามเณรสุยังไม่สิ้นกรรม จะต้องเสวยวิบากกรรมชั่วที่ได้ทำไว้ในอดีตอีกต่อไป จนกว่าจะหมดวิบากกรรมชั่วนั้น <o:p></o:p>
    การที่ผมมาพบท่านครั้งนี้ก็เพื่อจะแจ้งให้ท่านทราบเท่านั้น หากผมจะนำตัวสามเณรสุไปตามอำนาจของผม โดยไม่ต้องแจ้งให้ท่านทราบก็ทำได้ แต่ผมไม่ทำเพราะมีความเกรงใจท่าน <o:p></o:p>
    เพราะแะนั้นผมจึงต้องนำตัวสามเณรสุกลับไปเสวยวิบากกรรมชั่วต่อไปอย่างแน่นอน เมื่อยมบาลพูดเช่นนั้นแล้วก็กราบลาหายตัวไป<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ในเวลาก่อนเพลของคืนวันที่อสุรกายหรือยมบาลปรากฎตัว ได้พูดโต้ตอบกับเจ้าคุณปู่ฯ นั้น สามเณรสุรู้สึกไม่ค่อยสบายมาหลายวันแล้ว แต่วันนั้นนึกอยากจะฉันลูกกระท้อนเป็นอย่างยิ่ง จึงได้จัดหาลูกกระท้อนในวัดมาฉันกับน้ำปลาร้ากับเพื่อนสามเณร ขณะฉันก็รู้สึกว่าอร่อยมากที่เดียว ฉันได้มากกว่าเพื่อนสามเณรด้วยกัน ครั้นเมื่อถึงกลางคืนประมาณ ๒ นาฬิกา รู้สึกปวดท้องอย่างแรงจึงรีบเข้าห้องน้ำ ปรากฎว่าท้องเดินอย่างรุนแรง ถ่ายท้องจนหมดเรี่ยวแรง ร้องครวญครางอยู่ภายในห้องพัก พอดีพระภิกษุปกครองซึ่งอยู่ห้องถัดไปตื่นขึ้นจึงเข้ามารักษาพยาบาลก่อน ครั้นเห็นอาการหนักมาก จึงเข้าไปกราบเรียนเจ้าคุณปู่ฯ เวลาประมาณ ๔ นาฬิกา<o:p></o:p>
    ท่านเจ้าคุณปู่เมื่อทราบเรื่อง ก็รีบจุดเทียนเดินไปดูและสั่งให้หายามาตามแต่จะหาได้เพราะยาสมัยนั้นเป็นของหายาก ท่านเจ้าคุณปู่ฯได้เอาเทียนส่องดูตามร่างกายของสามเณรสุผู้ป่วยก็มีปานสีดำเป็นจุดที่พอสังเกตได้ที่ไต้คาง แต่ที่ใต้รักแร้ทั้งสองข้างก็เป็นปานสีดำเห็นได้ชัดเจน ตรงตามที่ปรากฎอยู่ในรูปภาพอันยมบาลชี้ให้ดูในกระดาษสีเหลืองทุกประการ<o:p></o:p>
    ส่วนสามเณรสุนั้นก็มีอาการไม่ดีขึขึ้นมีแต่ทรุดลงตามลำดับ จนกระทั่ง ๕ นาฬิกา สามเณรสุก็มรณภาพ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เมื่อสามเณรสุมรณภาพลง ท่านเจ้าคุณปู่ฯ ก็ให้จัดบำเพ็ญกุศล และได้เล่าเรื่องราวข้างต้นนี้ให้พระภิกษุสามเณรและประชาชนให้ฟังโดยทั่วกัน <o:p></o:p>
    การที่ยมบาลจะติดตามมาเอาวิญญาณของสัตว์นรกที่เสวยวิบากกรรมชั่วที่ยังไม่หมดแต่หลบหนีมาเกิดเป็นมนุษย์ ย่อมมีอำนาจสิทธิ์สามารถกระทำได้ โยไม่ต้องบอกกล่าวหรือขออนุญาตแต่ประการใดเลย เพราะยมบาลนั้นมีอำนาจมากอยู่เหนือสิ่งใดทั้งหมด แต่สำหรับกรณีสามเณรสุผู้อยู่ภายใต้ปกครองของท่านเจ้าคุณปู่ฯ ยมบาลก็ไม่จับเอาไปโดยพลการของตน ยังต้องมาบอกกล่าวให้ท่านทราบเสียก่อน ย่อมเป็นเครื่องแสดงให้ทราบว่า ยมบาลยังมีความเคารพในคุณธรรมของท่านเจ้าคุณปู่ฯอยู่และท่านเจ้าคุณปู่ฯจะมีบุญวาสนาบารมีสูงส่งอย่างไรนั้น ย่อมเป็นที่ซาบซึ้งตรึงใจของท่านผู้ที่เข้าใกล้คบหาสมาคมกับท่านเป็นอย่างดี จึงฝากขอให้ท่านผู้มีวิจารณญาณได้พิจารณาไตร่ตรองเองเถิด<o:p></o:p>
     
  3. aeziss

    aeziss เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    377
    ค่าพลัง:
    +1,296
    เรื่องปล่อยปลาโพธิสัตว์

    เรื่องปล่อยเรื่องปล่อยปลาโพธิสัตว์
    เรื่องนี้เกิดขึ้นประมาณปี พ.ศ.๒๔๗๕ เมื่อสมัยท่านเจ้าคุณปู่ฯ ยังดำรงสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรที่พระครูสารภาณพนมเขต ท่านเจ้าคุณปู่ฯ เล่าว่าคืนวันหนึ่งหลังจากทำกิจวัตรประจำวัน คือการทำวัตรไหว้พระสวดมนตืเจริญภาวนาแล้ว ก็นั่งสมาธิอยู่ตรงหน้าพระพุทธรูปในห้องส่วนตัว ขณะที่นั่งสมาธิภาวนาอยู่นั้น ได้เห็นภาพนิมิตมีปลาแหวกว่ายอยู่บนพื้นกระดานภายในห้อง <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    เป็นปลาดุก ๓ ตัว ปลาหมอ ๓ ตัว รวมเป็น ๖ ตัว ท่านเห็นแล้วก็นึกแปลกใจจึงถามปลาเหล่านั้นว่า ทำไมจึงพากันมาแหวกว่ายอยู่บนพื้นไม้กระดานอย่างนี้ แม่น้ำโขงก็มีไม่พากันไปแหวกว่าย <o:p></o:p>
    ปลาเหล่านั้นตอบท่านว่า พวกผมเป็นปลาพระโพธิสัตว์ ถูกนายบุญช่วย สุวรรณทรรภ จับมาขังไว้ในตุ่มที่ป่ากล้วยปลายนาเป็นเวลาหลายวันแล้วพวกผมไปไหนไม่ได้ เมื่อน้ำในตุ่มแห้งหมดแล้ว<o:p></o:p>
    พวกผมก็เหมือนแหวกว่ายอยู่บนบกไม่นานก็ต้องตาย ขอให้ท่านได้โปรดช่วยเหลือเถิดเพราะผู้อื่นนอกจากท่านแล้ว ไม่มีใครจะสามารถช่วยเหลือพวกผมได้ <o:p></o:p>
    ท่านเท่านั้นจะสามารถช่วยเหลือพวกผมให้พ้นอันตรายได้<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ท่านเจ้าคุณปู่ฯ เล่าต่อไปว่า เมื่อท่านได้เห็นและได้ยินปลาเหล่านั้นบอกว่าเป็นปลาพระโพธิสัตว์ มาขอความช่วยเหลือให้พ้นอันตรายเช่นนั้น จึงถามปลาเหล่านั้นว่า ถ้าเป็นเป็นปลาโพธิสัตว์จริงๆ<o:p></o:p>
    แล้ว จงกล่าว " นะโม " ให้ฟังดูซิ ปลาเหล่านั้นตอบได้ว่า และปลาแต่ละตัวก็กล่าวว่า นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะตัวละ ๓ จบ ให้ท่านฟังได้อย่างถูกต้อง เมื่อท่านได้ฟังแล้วจึงตกลงปลงใจเชื่อว่าเป็นเป็นปลาโพธิสัตว์จริงๆ จึงได้ตกลงใจให้คำรับรองแก่ปลาเหล่านั้นว่า จะพยายามช่วยให้พ้นจากภัยอันตรายเท่าที่จะสามรถช่วยได้ แล้วภาพนิมิตนั้นก็เลือนหายไป ท่านจึงถอนจิตออกจากสมาธิ จากนั้นก็พักผ่อนจำวัด ครั้นพอรุ่งเช้าท่านก็ออกบิณฑบาตไปถึงหน้าบ้านโยมอุปัฏฐาก เช้าวันนั้น นางเยี่ยม หอมหวล ซึ่งตอนนั้นยังเป็นเด็ก อายุได้ ๑๐ ปีเศษออกมาตักบาตร<o:p></o:p>
    ท่านจึงสั่งว่า ภายหลังจากตักบาตรแล้วเมื่อกลับเข้าบ้าน จงนำเอาขันทองเหลืองใบใหญ่บรรจุน้ำนำไปพบปู่ที่วัด<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    นางเยี่ยมก็รับคำตามที่ท่านเจ้าคุณปู่ฯ สั่ง เมื่อตักบาตรเสร็จแล้ว ก็เดินกลับเข้าบ้านไปเตรียมขันบรรจุน้ำ แต่ก็เข้าใจว่า คงจะเอาไปทำน้ำพุทธมนต์กระมัง ครั้นพอนางเยี่ยมไปถึงวัดพร้อมกับขันทองเหลืองบบรรจุน้ำใบนั้น ท่านเจ้าคุณปู่ฯ ก็สั่งให้นำขันทองเหลืองบบรรจุน้ำใบนั้น ไปที่บ้าน นายบุญช่วย สุวรรณทรรภ แล้วให้บอกนายบุญช่วยว่า หลวงปู่ขอปลา ขอร้องให้นายบุญช่วย พาไปเอาปลาที่ขังไว้ในตุ่มที่ป่ากล้วยปลายนา พร้อมทั้งกำชับว่า จงเอาปลามาให้ปู่จงได้<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ครั้นเมื่อนางเยี่ยมไปถึงบ้านนายบุญช่วย ก็ได้บอกตามที่ท่านเจ้าคุณปู่ฯ ท่านฝากความมา ครั้งแรกนายบุญช่วยได้ยินนางบุญช่วยพูดก็งงงวยเหมือนกันว่า ตนได้จับปลามาขังไว้ในตุ่มปลายนาตั้งแต่เมื่อไร และท่านเจ้าคุณปู่ฯ ทราบได้อย่างไร แต่เมื่อนางบุญช่วยกล่าวยืนยันอย่างหนักแน่น นายบุญช่วยก็ระลึกขึ้นมาได้ว่า ตนได้นำปลามาขังไว้จริง จึงได้พากันไปที่ป่ากล้วยปลายนา ก้ได้พบตุ่มขังปลาไว้จริงๆ เป็นปลาดุกและปลาหมออย่างละ ๓ ตัว รวมเป็น ๖ ตัว น้ำในตุ่มจะแห้งหมดอยู่แล้ว จึงได้พากันจับปลาทั้งหมดใส่ในขันทองเหลืองและนำมาถวายให้เจ้าคุณปู่ฯ ที่กุฏิของท่าน<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ฝ่ายเจ้าคุณปู่ เมื่อได้ปลามาตามความประสงค์แล้วก็พิจารณาตรวจดูปลาเหล่านั้นเห็นว่าถูกต้องตามภาพนิมิตทุกประการ จึงเอาขันทองเหลืองที่บรรจุปลาเข้าไปในห้องพักจัดการประพรมน้ำพุทธมนต์ เสร้จแล้วก้นำไปปล่อยที่ลำแม่น้ำโขงด้วยตัวท่านเองพร้อมกับสวดชยันโตให้ปลาเหล่านั้น เพื่อความสวัสดิภาพปลอดภัยแก่ปลาเหล่านั้น<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ตามปกติธรรมดาของปลาทั่วไป ปลาเมื่อได้น้ำแล้วจะต้องดำน้ำแหวกว่ายไปทันที จะไม่ยอมโผล่ขึ้นมาให้เห็นในขณะปล่อยอีกเลย แต่สำหรับปลา ๖ ตัวที่ท่านเจ้าคุณปู่ฯ ช่วยเหลือนำไปปล่อยนี้<o:p></o:p>
    หาเป็นเช่นนั้นไม่ ครั้นเมื่อได้น้ำแล้วก็กระโดดขึ้นเหนือผิวน้ำตัวละ ๓ ครั้ง เพื่อแสดงความคาระวะขอบใจที่ได้ช่วยเหลือให้พ้นจากอันตราย จากนั้นจึงดำแหวกว่ายไป<o:p></o:p>
    " ปู่ได้ทำบุญปล่อยปลาโพธิสัตว์ไปครั้งนี้ ก็อุทิศกุศลนี้ให้แก่ลูก หลาน เหลน ทั้งหมด เป็นปัตตานุโมทนามัย ขอให้มีความสุขความเจริญทั่วกันทุกคน "<o:p></o:p>


    เรื่องนี้เกิด
     
  4. aeziss

    aeziss เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    377
    ค่าพลัง:
    +1,296
    เรื่องปล่อยงูเหลือมโพธิสัตว์

    เรื่องปล่อยงูเหลือมโพธิสัตว์<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อสมัยท่านเจ้าคุณปู่ฯ ยังดำรงสมณศักดิ์เป็นพระครูสารภาณมุนี ท่านได้เล่าให้ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดฟังว่า คืนหนึ่ง พอไหว้พระสวดมนต์เจริญเมตตาภาวนาเสร็จแล้ว <o:p></o:p>
    ก็นั่งสมาธิภาวนาตามปกติที่เคยปฏิบัติมา ขณะนั่งสมาธิภาวนาก็ได้เห็นภาพนิมิตงูเหลือมขนาดใหญ่เท่าแขนของท่าน นอนขดตัวอยู่ในตอไม้ผุกลางป่าไผ่ ท่านจึงถามงูเหลือมตัวนั้นว่า ทำไมเจ้ามานอนขดตัวอยู่ที่นี่ งูเหลือมตอบท่านว่า ที่มานอนขดตัวอยู่นี้เพื่อหลบหลีกอันตราย จะหนีไปที่อื่นก้ยังหนีไปไม่ได้และบอกว่าเป็นงูเหลือมพระโพธิสัตว์ งูเหลือมตัวนั้นไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากท่านแต่ประการใด แล้วภาพนิมิตนั้นก้เลือนหายไป ท่านก็ถอนออกจากสมาธิภาวนา และก็จำวัดพักผ่อน<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    รุ่งขึ้นวันใหม่ ภายหลังจากบิณฑบาตเสร็จแล้ว ท่านก็เรียกสามเณร ๒-๓ รูปบอกว่า วันนี้หลังจากทำวัตรเช้าเสร็จแล้ว ปู่จะพาไปจับเอางูเหลือมโพธิสัตว์ไปปล่อยในที่ปลอดภัย ครั้นเมื่อถึงเวลานัดหมาย ท่านพร้อมกับสามเณร ก็ไปยังบริเวณป่าไผ่ทางทิศเหนือของวัด ก็พบตอไม้ผุขนาดใหญ่ตอหนึ่ง ภายในโพรงไม้ผุนั้นมีงุเหลือมมานอนขดตัวอยู่ตรงตามนิมิตทุกประการ <o:p></o:p>
    ท่านจึงสั่งให้สามเณรพากันจับเอาเชือกผูกมายังกุฏิของท่าน ท่านก็เอาน้ำพระพุทธมนต์ประพรมให้แล้วนำไปปล่อยในป่าใหญ่<o:p></o:p>
    " ปู่ได้ทำบุญปล่อยงูเหลือมโพธิสัตว์ไปครั้งนี้ ก็อุทิศกุศลนี้ให้แก่ลูก หลาน เหลน ทั้งหมด เป็นปัตตานุโมทนามัย ขอให้มีความสุขความเจริญทั่วกันทุกคน "<o:p></o:p>
     
  5. jeenus

    jeenus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,513
    ค่าพลัง:
    +3,576
    โมธนา ครับ
     
  6. 15 ค่ำ

    15 ค่ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,108
    ค่าพลัง:
    +10,575
    ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆ จะรอติดตามประวัติท่านต่อไปครับ.......^_^.......
     
  7. น้ำดี1

    น้ำดี1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    13,402
    ค่าพลัง:
    +43,435
    ไม่อยากบอกเลยค่ะว่าตัวเองเกิดที่นครพนม เป็นคนบ้านสามผง อ.ศรีสงคราม ทุกวันนี้ย่าก็อยู่ที่นั่น แถมญาติพี่น้องเป็นครูอยู่หลายคน วัดหลวงปู่สมัยตอนเด็ก ๆ ไปบ่อยมาก ๆ จึงมีพระเครื่องท่านมากมายตอนนี้ ขอบอกว่าพระเครื่องที่ท่านได้จัดสร้างมีประสบการณ์มาแล้วนักต่อนักค่ะ นางกวักองค์ตามภาพนี่ก็เพิ่งโดนเหมาไป 23 องค์นี่แระค่ะ ของดีราคาเบา ๆ เลย ถ้ามีเวลาจะถ่ายภาพพระเครื่องของหลวงปู่ให้ชมค่ะ ยังมีอีกนับร้อย ๆ ชิ้นค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. จำปาแมน

    จำปาแมน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    860
    ค่าพลัง:
    +2,172
    น้อมกราบลป.จันทร์ วัดศรีเทพ นครพนม
    ผมคนนครพนม ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...