ปกิณกธรรมก่อนปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย วันอาทิตย์ที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 30 สิงหาคม 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,704
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,556
    ค่าพลัง:
    +26,395
    ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย วันอาทิตย์ที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๖



    วันนี้นิสิตระดับปริญญาตรีที่มาเก็บข้อมูลชุมชน ต้องทำพรีเซนต์ร่วมกับเด็กอนุบาลในชุมชน ปรากฏว่าเด็กอนุบาลของเราพรีเซนต์ได้ดีกว่า เพราะนิสิตมัวแต่สั่น ส่วนเด็กอนุบาลของเราชั้นประถม ๔ ถึง ประถม ๖ พูดจ๋อย ๆ เป็นต่อยหอย ที่นิสิตสั่นก็เพราะว่าปกติเจอแต่อาจารย์ เต็มที่ก็แค่คณบดี แต่คราวนี้อธิการบดีก็มา รองอธิการบดีก็มา เจ้าของทุนวิจัยก็มา เลยสั่นไปหมด

    อาตมาสอบสัมภาษณ์ครั้งแรกตอนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ พอให้สัมภาษณ์เสร็จ
    ครูถามว่า "เคยให้สัมภาษณ์แบบนี้มาก่อนหรือเปล่า ?"
    ตอบไปว่า "ไม่เคยครับ"
    ครูบอกว่า "ท่าทางของเธอเหมือนคนให้สัมภาษณ์เป็นประจำ เพราะไม่ประหม่าเลย"

    ก็เลยบอกไปว่า "อ๋อ..ครูสอนให้ผมพูดหน้าชั้นตั้งแต่ ป.๕ ครับ"
    ครูถามต่อว่า "แล้วครูเขามีหลักการอะไร ?"
    ตอบไปว่า "ครูเขาบอกว่า เพื่อนนั้นคือคนตาย เรากำลังพูดให้คนตายฟัง ไม่เห็นมีอะไรต้องไปประหม่าเลย..!"

    แต่ปรากฏว่าทำไม่ได้ คนตายอะไรวะ มองตาแป๋วทุกคนเลย..?! ท้ายสุดก็เลยต้องใช้วิธีของตัวเอง คิดว่า "กูเก่งกว่ามึง กูถึงได้มาพูดหน้าชั้น..!" คิดได้อย่างนั้นแล้วคราวนี้ไปได้ลื่นเลย เพราะฉะนั้น..บางทีสิ่งที่ตำราสอนใช้ไม่ได้หรอกนะ เพราะว่าไม่ตรงกับสภาพจิตของเรา หรือว่าไม่ตรงกับแนวที่ถนัดของเรา

    อาตมภาพตอนสมัยวัยรุ่นจนกระทั่งเริ่มบวช ส่วนหนึ่งที่หนักหนาสาหัสที่สุดคือเรื่องของกามราคะ เพราะฉะนั้น..เวลาฝึกกรรมฐาน หมวดแรก ๆ เลยที่ต้องไปลุยก็คืออสุภกรรมฐาน เพราะเขาบอกว่าตัดราคะได้ แต่ปรากฏว่าตัดไม่ได้ กลัวผีแทบตาย แต่พอความกลัวเลยไป ราคะก็โผล่มาใหม่..!

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,704
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,556
    ค่าพลัง:
    +26,395
    ตอนบวชใหม่ ๆ ลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านหนึ่งก็คือ ร้อยตำรวจเอกสุรินทร์ หลากสุขถม เป็นลูกของลุงโต๋ว - ป้ากิมกี หลากสุขถม ที่เปิดร้านค้าอยู่ในวัดท่าซุง เยื้อง ๆ กับโบสถ์ พี่สุรินทร์เป็นเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพของนิติเวชกรมตำรวจ เพราะรู้ว่าพวกเราอยากจะพิจารณาศพ พอถึงเวลามีศพให้ผ่า พี่สุรินทร์ก็จะโทรมาวัด "หลวงพี่รูปไหนต้องการดู ให้รีบมา พรุ่งนี้จะมีการผ่าศพครับ" พวกเราก็ไปกัน

    เหยียบเข้าห้องนิติเวชครั้งแรกเกือบอ้วกแตกเพราะกลิ่น..! ขอยืนยันกับญาติโยมที่ฝึกอสุภกรรมฐานด้วยการเปิดรูปดูตามอินเตอร์เน็ต ไม่มีประโยชน์หรอก เพราะว่ามีแต่สีไม่มีกลิ่น เหยียบเข้าไปในห้องนิติเวช กลิ่นเลือด กลิ่นน้ำเหลือง กลิ่นเน่า สารพัด รู้เลยว่านี่กลิ่นศพ..!

    ครั้งแรกเห็นเขาจรดมีด กรีดควั่บ พอปลิ้นเนื้อคนออกมา ข้างใต้เป็นไขมันเหลือง ๆ เป็นแผงใหญ่ ๆ เลยนะ เสร็จแล้วก็เอามีดเลาะกระดูกหน้าอก แล้วก็แบะออก เจอเข้าไปครั้งแรกกินอะไรไม่ได้ไปเกือบหนึ่งอาทิตย์ ทั้งสี กลิ่น รส ติดตาติดใจมาก ใหม่ ๆ ก็อ้วกแตกอ้วกแตนไปตาม ๆ กัน..!

    หลังจากนั้นไม่กี่วันเอาอีกแล้ว ไม่ดูตรงที่เขาผ่าน่ะสิ แต่เลือกดูตรงที่ยังดี ๆ..น่าฆ่าไหม..?! เหลือเชื่อว่ากิเลสมีมารยามากขนาดนี้ ก็แปลว่า
    สำหรับอาตมาภาพแล้ว อสุภกรรมฐานไม่สามารถที่จะแก้ไขในเรื่องของกามราคะได้

    พิจารณากายคตานุสติ แยกร่างกายออกเป็นชิ้น ๆ ตามตำราสายอีสาน หลวงปู่ขาว หลวงปู่ฝั้นท่านสอนให้ เดี๋ยวพรุ่งนี้พอสอนไปถึงจะบอกให้ว่าเป็นชิ้น ๆ เป็นอย่างไร เขาเรียกว่าวิชาม้างกาย ถอดเป็นชิ้น ๆ ไปเลย เห็นชัดเจนมาก แต่สำหรับอาตมาก็ได้แค่ตอนทำ พอเลิกทำราคะก็มาท่วมฟ้าเหมือนเดิม..!

    "โอ้หนอ..กูจะเอาอย่างไรกับมึงดีวะ ? ไหนบอกว่าอสุภกรรมฐานกับกายคตานุสติเป็นคู่ศึกของกามราคะ นี่สู้แม่งไม่ได้สักมุม..!" อย่างเก่งก็ได้พักเดียว เหมือนกับกินยารักษาโรค พอกินลงไป ไข้ก็ลดไปนิดหนึ่ง มองซ้ายมองขวาเห็นว่าเราไม่มียาแรงกว่านี้ ไข้ก็กลับมาแรงกว่าเดิมอีก..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,704
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,556
    ค่าพลัง:
    +26,395
    จนกระทั่งวันหนึ่งญาติโยมนิมนต์ ปรากฏว่าบ้านที่ต้องไปกิจนิมนต์นั้นมีลูกสาว ๒ คน สวยเสียด้วย ที่วัดท่าซุงนี่เวลาเราจะลา อันดับแรก ให้ไปแจ้งพระหัวหน้าเวร อันดับที่สอง ลงสมุดลา อันดับที่สาม ไปยื่นใบลากับหลวงพ่อ..!

    ตอนยื่นใบลากับหลวงพ่อนี่แหละทีเด็ด ท่านไม่ต้องอ่านใบลาของเราท่านก็รู้ คราวนี้ไปถึงก็ถวายใบลา "หลวงพ่อครับ ขออนุญาตไปกิจนิมนต์ครับ" ท่านบอกว่า "เหรอ..นึกว่าไปงานแต่ง" ได้ยินแล้วสะดุ้ง..! ครูบาอาจารย์ท่านไม่พูดเล่นนะ ก็เลยต้องกลับมาพิจารณา "กูจะทำอย่างไรดีวะ ? ฝึกมาตั้งหลายปี กรรมฐานทุกอย่างชัดเจนดีมาก และอสุภกรรมฐาน ๑๐ อย่างนี่แทบจะกวาดมาครบแล้ว แต่ใช้อะไรไม่ได้สักอย่าง..!"

    พอดีก่อนหน้านี้กำลังเรียนนักธรรมชั้นโทอยู่ เขามีอนุพุทธประวัติ คือ ประวัติพระเถระผู้ใหญ่ ๘๐ รูป เขาเรียกว่าอสีติมหาสาวก มีประวัติของพระรัฐบาลเถระ ซึ่งเป็นผู้ออกบวชด้วยศรัทธา

    พระเจ้าอุเทนถามพระรัฐบาลเถระว่า "ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นคนหนุ่ม ย่อมมากด้วยกามราคะ เหตุใดจึงทรงพรหมจรรย์อยู่ได้ ?" เราแค่เปลี่ยนจากภิกษุมาเป็นตัวกูก็จบแล้ว จะเป็นผู้หญิงผู้ชาย จะหนุ่มจะสาวได้ทั้งนั้น

    พระรัฐบาลเถระท่านตอบว่า "ดูก่อนมหาบพิตร..ภิกษุในธรรมวินัยนี้พิจารณาว่า มาตุคามนี้สมควรตั้งไว้ในที่แห่งมารดา ก็ตั้งไว้ในที่แห่งมารดา สมควรตั้งไว้ในที่แห่งพี่สาว ก็ตั้งไว้ในที่แห่งที่สาว สมควรตั้งไว้ในที่แห่งน้องสาว ก็ตั้งไว้ในที่แห่งน้องสาว สมควรตั้งไว้ในที่แห่งลูกสาว ก็ตั้งไว้ในที่แห่งลูกสาว ดูก่อนมหาบพิตร..ภิกษุในธรรมวินัยนี้พิจารณาอย่างนี้ ก็ทรงพรหมจรรย์อยู่ได้"
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,704
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,556
    ค่าพลัง:
    +26,395
    โอ้โห..อ่านถึงตรงนี้สว่างไปสามโลกเลย..! นี่แหละ..ใช่เลย เห็นเขาเหมือนกับเป็นคนในครอบครัวเดียวกับเรา ก็เลยไม่เกิดกามราคะขึ้น แล้วก็เลยทำให้เข้าใจว่า ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านยืนยันนักหนาว่า กรรมฐานทุกกองถ้าทำเป็น เข้าถึงอรหัตผลได้ทั้งหมด

    ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ? ก็เพราะว่ากรรมฐานทุกกองต้องสามารถ ตัดราคะ ตัดโลภะ ตัดโทสะ ตัดโมหะ ได้ เพียงแต่ว่าจะตัดมุมไหน ? เขาบอกว่ากรรมฐานคู่ศึกของกามราคะก็คืออสุภกรรมฐาน และกายคตานุสติกรรมฐาน แล้วทำไมเราเอามาใช้แล้วถึงสู้ไม่ได้สักมุม ? แต่พอมาเจอประวัติพระรัฐบาลเถระ คราวนี้สบาย..ลอยลำ มาเท่าไรกูสู้ได้หมด..! นั่นคือเมตตาพรหมวิหาร รักเขาเหมือนคนในครอบครัวตัวเอง ถ้าหากว่าพรหมวิหารสี่ตัดราคะไม่ได้ ก็เป็นพระอรหันต์ไม่ได้..นี่ตัดได้ ขอยืนยัน..เพราะว่าทำมาด้วยตัวเองแล้ว

    ถึงได้บอกกับโยมว่า บางทีกิเลสไม่มาในมุมที่เราคิดไว้ นักสู้กิเลสจะประมาทไม่ได้ ประมาทเมื่อไรตายฟรีเมื่อนั้น แล้วอาตมาไม่อายหรอก ที่จะเล่าเรื่องชั่ว ๆ ของตัวเองให้โยมฟัง เพราะว่าเจอกับตัวเองมาทุกรูปแบบ เราเป็นอย่างนี้เราก็พร้อมที่จะบอกว่าเราเป็นอย่างนี้ เราแก้ไขได้ด้วยวิธีนี้ เราก็ต้องบอกว่าเราแก้ไขได้ด้วยวิธีนี้ ประโยชน์ถึงจะเกิดกับโยมได้ ถ้ามัวแต่อายอยู่ กลัวคนอื่นจะบอกว่าครูบาอาจารย์ของเราราคะจัดมาก เดี๋ยวเขาตำหนิเอา ไม่ต้องไปสนใจใคร เราเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด

    หลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง ท่านเล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่า ท่านเดินจงกรมต่อสู้กับกามราคะในป่าช้า ปรากฏว่าเวลาเกิดอารมณ์เพศขึ้นมา อวัยวะเพศเสียดสีผ้าสบงก็แข็งตัว ท่านต้องเดินเกือบจะแก้ผ้าก็คือตลบผ้าสบงขึ้นมาผูกไว้ข้างบน เดินจงกรมเป็นวันเป็นคืนกว่าที่จะยอมสงบ พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้ามึงไม่เลิก กูก็เดินให้ตายไปเลย..!

    บรรดพาลูกศิษย์หน้าบาง พอจะเขียนประวัติหลวงพ่อชาก็ขอว่า "ตัดตรงนี้ออกได้ไหม ?" หลวงพ่อชาบอกว่า "ถ้าตัดออกก็ไม่ต้องเขียนประวัติข้า" ก็ท่านสู้มาแบบนี้แล้วท่านชนะ ต้องไปอายตรงไหน..!?
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,704
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,556
    ค่าพลัง:
    +26,395
    มีใครไม่มีกิเลสบ้าง ? มีทุกคน ญาติโยมส่วนหนึ่งพอถึงเวลาที่กิเลสชนะ ก็อับอายขายหน้าเหลือเกิน ไม่กล้าไปวัด ปล้ำผีลุกปลุกผีนั่งอยู่เป็นเดือนเป็นปี กว่าที่กำลังใจจะทรงตัวได้เหมือนเดิม แล้วค่อยไปวัด ตอนชั่ว ๆ อายหลวงพ่อ..ไม่กล้าไป..!

    ถามหน่อยเถอะว่า "ตอนดีแล้วมึงมาทำไม..?" ตอนที่เราไม่ไหวนั่นแหละ เราต้องรีบไปวัด พระท่านจะได้แนะนำว่าควรที่จะแก้ไขอย่างไร ท่านไม่มาเสียเวลาดูหรอกว่าเราชั่วอย่างไร แต่ท่านจะดูว่าจะช่วยเราอย่างไร เพราะฉะนั้น..เปลี่ยนได้แล้วนะ ตอนชั่วเต็มที่ให้รีบมาวัด ระยะเวลาในการชั่วจะได้น้อยลงหน่อย

    ขอให้พวกเรารู้ว่า ในเวลาที่เราแพ้กิเลส ควรเป็นเวลาที่เราพึ่งพาครูบาอาจารย์ให้มากที่สุด อาตมภาพถึงได้สอนว่าพวกเราทำดีต้องหน้าด้าน..! ถ้าหน้าไม่ด้านพออย่ามาทำดี มัวแต่อายอยู่ มัวแต่กลัวอยู่ แล้วเมื่อไรจะเอาดีได้

    เราต้องดูตัวอย่างในพระไตรปิฎก
    พระพุทธเจ้าตรัสถาม "ภิกขเว ดูก่อน..ภิกษุ เธอได้กระทำสิ่งนี้หรือ ?"
    คนผิดจะตอบว่า "ทำพระเจ้าข้า"
    พระพุทธเจ้าตรัสบอกไปว่า "ดูก่อน..โมฆบุรุษ สิ่งที่เธอทำนั้นไม่เป็นประโยชน์ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น"

    เป็นการว่ากล่าวที่รุนแรงมากเลย เพราะโมฆบุรุษแปลว่าผู้ว่างเปล่าจากความดี ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง..!

    แล้วอย่างไร ? ผิดก็คือผิด..รับไปเลย..!

    สำหรับอาตมภาพถ้าผิดก็คือผิด จนกระทั่งทุกคนเขาสงสัยว่าอาตมภาพเป็นเด็กเส้น ทำอะไรไม่เห็นหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ฟันหัวขาดเหมือนกับคนอื่น ก็โดนเหมือนกันนั่นแหละ คือถ้าเราคิดว่าดีเมื่อไรโดนแน่นอน..! แต่ถ้าคิดว่าครั้งนี้เราพลาดไปแล้ว เราจะพยายามระมัดระวัง ครั้งต่อไปจะไม่ให้โดนอีก คิดได้นี่หลวงพ่อท่านจะไม่พูดถึงเลย แต่คนไหนที่ปิด ๆ บัง ๆ ประเภททำผิดแล้วกลัวว่า "เดี๋ยวครูบาอาจารย์จะรู้" จะโดนเต็ม ๆ ทุกครั้ง..!
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,704
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,556
    ค่าพลัง:
    +26,395
    ในเรื่องของการทำดี ถ้าหากว่าคนเราเดินมาพร้อมกัน หกล้มพร้อมกัน คนหนึ่งลุกได้แล้วไปเลย อีกคนหนึ่งมัวแต่นั่งคร่ำครวญ "ไม่น่าเลย..เดินมาตั้งไกล..เจ็บเหลือเกิน..ปวดเหลือเกิน..เสียเวลามานานขนาดนี้..หกล้มเสียได้" ในขณะที่อีกคนไปไกลหลายกิโลฯ แล้ว ลองคิดดูว่าสองคนนี้ใครจะไปถึงจุดหมายก่อนกัน ? ก็ต้องเป็นคนที่หน้าด้านหน้าทน ล้มแล้วลุก..ไปต่อเลย

    พวกเราก็เหมือนกัน ทันทีที่พลาด ให้ตั้งใจเลยว่า "ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราจะเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์" เริ่มต้นนับหนึ่งเดี๋ยวนั้นเลย วินาทีที่สองร่วงตึงลงไปอีก วินาทีที่สามก็ลุกใหม่ ตั้งใจว่า "ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราจะเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์" หน้าด้านหน้าทนสู้ไป พอระมัดระวังไปเรื่อย ๆ ก็จะยืนระยะได้ จากนาทีก็เป็นหลาย ๆ นาที เป็นชั่วโมง เป็นสองชั่วโมง เป็นสามชั่วโมง ครึ่งวัน หนึ่งวัน เราก็ไม่เลวนี่หว่า..ดีได้เป็นวันเหมือนกัน..!

    ศีลเขารักษากันทั้งชีวิต ไม่ใช่รักษาเป็นวัน แต่ก็เอาเถอะ..ดีกว่าไม่ได้เลย เพียงแต่ว่าอย่าซึมเศร้า อย่าเสียเวลาไปคร่ำครวญอยู่ เริ่มต้นใหม่เดี๋ยวนั้นเลย แล้วเราจะไปถึงจุดหมายปลายทางก่อนคนอื่นเขา
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...