ธรรมบรรยายในงานปฏิบัติธรรมประจำปี ๒๕๖๕ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 25 ธันวาคม 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,741
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,559
    ค่าพลัง:
    +26,399
    ธรรมบรรยายในงานปฏิบัติธรรมประจำปี ๒๕๖๕
    แก่นิสิตคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
    โดยพระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน


    วันเสาร์ที่ ๒๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ เวลา ๐๘.๓๐ น. บรรยายธรรมแก่นิสิตคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ซึ่งเข้าปฏิบัติธรรมประจำปี ๒๕๖๕ ณ อาคารหอสมุด IBSC มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ถนนพหลโยธิน หมู่ที่ ๑ ตำบลลำไทร อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ธันวาคม 2022
  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,741
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,559
    ค่าพลัง:
    +26,399
    กราบขอโอกาสพระมหาสมบัติ ธนปญฺโญ, ผศ.ดร. พระวิปัสสนาจารย์ คณะครูบาอาจารย์ทุกรูป และนิสิตฝ่ายบรรพชิตทุกท่าน เจริญพรคณะครูบาอาจารย์ ตลอดจนกระทั่งนิสิตฝ่ายคฤหัสถ์ทุกท่านเช่นกัน

    กระผม/อาตมภาพ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เรียนจบปริญญาเอกสาขาการจัดการเชิงพุทธ แต่คราวนี้มาได้ปริญญาเอกสาขาวิปัสสนาภาวนาอีกใบหนึ่ง ก็เลยเหมือนอย่างกับครึ่งบกครึ่งน้ำ จะให้ไปทางโลกก็พอไปได้ จะให้ไปทางธรรมก็พอไปได้

    คราวนี้ในส่วนที่ท่านทั้งหลายมาปฏิบัติธรรมอยู่ ไม่ว่าจะในระดับปริญญาตรี ปริญญาโท หรือว่าปริญญาเอกก็ตาม พวกท่านทั้งหลายโดนหลักสูตรบังคับให้มา แต่จะว่าไปแล้ว ในความเป็นจริง สิ่งที่เรามาปฏิบัติธรรมนี้เป็นสิ่งที่สุดยอดที่สุดในพระพุทธศาสนา

    อย่าลืมว่าท่านทั้งหลายศึกษาอยู่ในคณะครุศาสตร์ เรียนรู้เพื่อความเป็นครู ครูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกคือพระพุทธเจ้า อย่างคำสรรเสริญที่เขาประพันธ์เอาไว้ว่า สัตถาเทวะมะ นุสสานัง เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย พระองค์ท่านรู้แจ้งรู้จริงทุกอย่าง เราไม่สามารถที่จะรู้ได้ถึงขนาดนั้น แต่ว่าในความเป็นครูของท่านทั้งหลาย ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาให้รู้และคล่องตัว เพื่อที่จะได้นำไปสอนสั่งลูกศิษย์ของเราในโอกาสต่อไป

    คราวนี้ในส่วนที่ท่านทั้งหลายดำเนินชีวิตประจำวันอยู่ ความจริงเป็นการปฏิบัติธรรมอยู่แล้ว แต่ท่านทั้งหลายอาจจะแยกแยะไม่ออก หรือไม่รู้ว่านี่คือการปฏิบัติธรรม แม้กระทั่งการที่ท่านทั้งหลายพากเพียรพยายามจะเรียนให้จบ นั่นก็คือวิริยบารมี ความอดทน อดกลั้นต่อความยากลำบาก แม้กระทั่งตอนมาปฏิบัติธรรมก็ต้องอดทนต่ออากาศหนาวอากาศร้อน นี่คือขันติบารมี อยู่ในธรรมะของพระพุทธเจ้าทั้งหมดเลยครับ

    เพียงแต่ว่าพระพุทธเจ้าของเราเป็นครูที่สุดยอดมาก เพราะไม่เคยแอบอ้างว่าวิชาการนี้เป็นของพระองค์ท่าน พระองค์ท่านตรัสไว้

    อุปปาทา วา ภิกขะเว ตะถาคะตานัง ดูก่อน..ภิกษุทั้งหลาย พระตถาคตเจ้าทั้งหลายจะอุบัติขึ้นก็ดี

    อะนุปปาทา วา ตะถาคะตานัง หรือว่าพระตถาคตเจ้าทั้งหลายจะไม่อุบัติขึ้นก็ตาม

    ฐิตา วะ สา ธาตุ ธัมมัฏฐิตะตา ธรรมทั้งหลายก็ตั้งมั่นอยู่อย่างนั้นแล้ว คือมีอยู่เป็นปกติแล้ว

    ธัมมะนิยามะตา คำจำกัดความของหลักธรรมเหล่านั้นก็คือ

    สัพเพ สังขารา อนิจจาติ สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง

    สัพเพ สังขารา ทุกขาติ สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์

    สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ธรรมทั้งหลายทั้งปวง ไม่อาจยึดมั่นเป็นตัวตนเราเขาได้
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,741
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,559
    ค่าพลัง:
    +26,399
    พระองค์ท่านบอกว่า เมื่อตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว จึงนำมาจำแนก นำมาแยกแยะ นำมาบัญญัติ นำมาก่อตั้ง จัดเป็นหมวดหมู่ ทำของยากให้ง่าย แล้วก็นำมาสั่งสอนเราท่านทั้งหลาย

    คราวนี้การที่ท่านทั้งหลายจะเป็นครู จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องศึกษาทั้งทางโลกและทางธรรม อันดับแรกเลยก็คือ เพื่อพัฒนา กาย วาจา ใจ ของเราเอง เมื่อพัฒนาไปถึงระดับหนึ่งแล้ว จะก่อเกิดเป็นคุณงามความดีเฉพาะตัว แล้วมีคนอยากทำตาม

    พระภิกษุสามเณรของเราก็คงอยากจะมีชื่อเสียง มีเกียรติคุณ ถ้าเป็นฝ่ายปฏิบัติก็อยากจะเหมือนกับหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ถ้าหากว่าเป็นทางด้านปัจจุบัน ที่เรียกกันว่า "สายมู" คือทางไสยเวทย์วิทยาคมต่าง ๆ เราก็อยากจะโด่งดังเหมือนกับหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ (พระเทพวิทยาคม) แต่สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อท่านทั้งหลายต้องพากเพียรทำด้วยตนเอง

    คราวนี้การที่เราจะมีความเพียรมาก ความเพียรน้อย เกิดจากการสั่งสมความดีมาตั้งแต่ต้น มีทั้งในส่วนของปุพเพกตปุญญตา คือบุญเก่าที่เราทำมาในชาติก่อน ๆ แล้วก็มีส่วนที่เรามาสร้างเสริมในชาติปัจจุบันนี้ สิ่งที่ท่านทั้งหลายทำไป เมื่อถึงวาระ ถึงเวลาที่เหมาะสม ก็จะเหมือนกับดอกบัวที่พ้นน้ำขึ้นมา พอกระทบแสงแดดก็เบ่งบานได้ เพียงแต่ว่าในระหว่างนั้น เราต้องพากเพียรสั่งสมคุณงามความดีของเราไปเรื่อย ๆ ความรู้ทางโลกเราก็ศึกษา ความรู้ทางธรรมเราก็อย่าได้ละทิ้ง

    บุคคลที่จะเป็นครูนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสเอาไว้ว่า ต้องมีกัลยาณมิตรธรรม ๗ ประการ ประกอบไปด้วย

    ปิโย ความน่ารัก น่าเคารพนับถือ

    ครุ มีความหนักแน่นมั่นคง อารมณ์ไม่ขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่ "ปรี๊ดแตก" ง่าย..!

    ภาวนีโย เป็นผู้ใฝ่หาความเจริญ ศึกษาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ

    วัตตา เป็นผู้รู้จักใช้คำพูด รู้จักให้กำลังใจลูกศิษย์ รู้จักสั่งสอน ไม่ว่าจะใช้คำพูดหนักคำพูดเบาอย่างไร ก็ต้องให้เหมาะสมกับสถานการณ์

    วจนักขโม ทนปากชาวบ้านได้ โดยเฉพาะพระภิกษุสามเณรของเราลำบากมากครับ เราอยู่ในสายตาชาวบ้านตลอดเวลา ชาวบ้านมีข้อเรียกร้องต่อเราสูงมาก ครูบาอาจารย์หญิงชายทั้งหลายก็เหมือนกันครับ
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,741
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,559
    ค่าพลัง:
    +26,399
    ปีนี้กระผม/อาตมภาพอายุ ๖๓ ปีกว่าแล้ว เรียกว่าย่าง ๖๔ สมัยเด็ก ๆ คุณครูได้รับเกียรติยศสูงมาก ไปที่ไหนก็ตามจะมีคนสละที่นั่งให้ ขึ้นรถเมล์ ขึ้นรถไฟ ถ้าไม่มีที่นั่งจะมีคนลุกให้นั่ง เพราะว่านั่นคือครูบาอาจารย์ ผู้ที่สอนสั่งเรามาให้มีความรู้ความสามารถนำไปประกอบอาชีพ สามารถที่จะเลี้ยงตัวเอง เลี้ยงครอบครัวได้

    สมัยก่อนถ้าเอ่ยถึงคำว่า "ครู" นี่ศักดิ์สิทธิ์มากนะครับ ครูเป็นแทบทุกอย่างในชีวิตเลย เขาบอกว่าพ่อแม่ให้ชีวิตเรา แม่เป็นครูคนแรก พ่อเป็นครูคนที่สอง คุณครูเป็นครูคนที่สาม นั่นถึงได้ใช้คำว่า "พระคุณที่สาม" แต่ว่าเป็นพระคุณที่ทำให้เราสามารถดำเนินชีวิตของเราไปได้ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม มีศิลปะวิทยาการเอาไว้สำหรับประกอบหน้าที่การงาน เลี้ยงตัวเอง เลี้ยงครอบครัว รักษาประเทศชาติบ้านเมือง ครูจึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด

    โดยเฉพาะ คัมภีรัญจะ กะถัง กัตตา ต้องมีความสามารถในการอธิบายข้อธรรมที่ลึกซึ้งให้แตกฉานได้ และยิ่งไปกว่านั้น โน จัฏฐาเน นิโยชะเย จะไม่ชักนำศิษย์ไปในทางที่เสียหาย รักศิษย์เหมือนลูกตัวเอง เขาถึงได้ใช้คำว่า "ลูกศิษย์"

    คราวนี้การที่ท่านมาถึงในจุดปัจจุบันนี้ แม้ว่าจะโดนหลักสูตรบังคับมา แต่ว่าบังคับให้ท่านทั้งหลายทำในสิ่งที่เลิศที่สุด เปิดโอกาสให้ท่านทั้งหลายได้กระทำในสิ่งที่ทำได้ยากที่สุด

    ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมทุกท่านว่า สิ่งที่บังเกิดขึ้นได้ยากที่สุดในโลก บาลีท่านบอกว่า

    กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ เกิดเป็นมนุษย์นี่ยากที่สุด ยากขนาดไหน ? ท่านเปรียบเอาไว้ว่าเหมือนกับปล่อยเต่าตาบอดตัวหนึ่งไว้กลางท้องทะเลที่เต็มไปด้วยคลื่นลม แล้วก็มีแอกเล็ก ๆ ขนาดพอสวมคอเต่าได้โยนลงไปอันหนึ่ง เท่านั้นยังไม่พอครับ ร้อยปีถึงให้เต่าตัวนั้นโผล่ขึ้นมาครั้งหนึ่ง ร้อยปีโผล่ขึ้นมาครั้งหนึ่ง ถ้าแอกสามารถสวมคอเต่าได้พอดี มนุษย์จึงสามารถเกิดได้ครั้งหนึ่ง เกิดยากขนาดนั้นนะครับ..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,741
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,559
    ค่าพลัง:
    +26,399
    ท่านทั้งหลายศึกษาศาสตร์สมัยใหม่มาก็รู้ว่า กว่าที่เชื้อของพ่อจะผสมกับไข่ของแม่ได้นี่ ไอ้ระหว่างเชื้อต่อเชื้อต้องสู้กัน หนึ่งต่อหลายล้านนะครับ..! กว่าที่จะหลุดออกมาเป็นตัวเราได้ แปลว่ายากสุด ๆ แล้ว แต่ท่านทั้งหลาย..สิ่งที่ยากที่สุดอย่างที่หนึ่งเราทำได้แล้ว

    กิจฺฉํ มจฺจาน ชีวิตํ ยากที่สุดในลำดับที่ ๒ คือรักษาชีวิตให้รอดมาได้ เราเติบโตมาจนทุกวันนี้ได้ ถ้าคิดว่าเป็นความสามารถของพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ตลอดจนกระทั่งตัวเอง ช่วยกันดูแล ช่วยกันประคับประคอง ประกอบกับความสามารถเฉพาะตัว เราถึงรอดมาได้ แบบนี้ท่านคิดไกลเกินไปครับ

    เอาแค่มาดูพองยุบของเรา ถ้าพองแล้วไม่ยุบนี่ตายนะครับ..! หรือถ้ายุบแล้วไม่พองใหม่ก็ตายเหมือนกันครับ..! เรามีโอกาสตายได้ทุกลมหายใจเข้าออก การรักษาชีวิตให้รอดจึงเป็นเรื่องที่ยากที่สุดเรื่องที่สอง เราสามารถทำได้ รอดมาจนปัจจุบันนี้ มีโอกาสได้มาปฏิบัติธรรม ๑๐ วันในครั้งนี้

    เรื่องที่ ๓ คือ กิจฺฉํ สทฺธมฺมสฺสวนํ โอกาสที่จะได้ฟังธรรมนั้นแสนยาก โลกเราไม่ได้มีพระพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่ตลอดเวลานะครับ พระพุทธเจ้าไม่ใช่สิ่งของในร้านสะดวกซื้อ เข้า "เซเว่น" ที่ไหนก็ซื้อได้ แต่เป็นสุดยอดอัจฉริยมนุษย์ ที่ต้องสั่งสมบารมีมาต่ำสุด ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป ถ้าถามว่าเนิ่นนานแค่ไหน ประมาณเป็นระยะเวลาไม่ได้ครับ ดวงดาวของเราก่อเกิดขึ้นและดับสลายไปกี่รอบก็ไม่รู้ ? กว่าที่จะได้สักอสงไขยกัปหนึ่ง

    โบราณาจารย์ท่านบอกว่า ถ้าจะเปรียบเทียบ ๑ รอบอสงไขยกัปให้นึกถึง ๑ รอบอันตรกัปก่อน กัปทั่ว ๆ ไปที่พวกเราพูดถึงหมายถึงอันตรกัป ท่านบอกว่า ถ้ามีถังเหล็กใบหนึ่ง กว้าง ๑ โยชน์ ยาว ๑ โยชน์ สูง ๑ โยชน์ โยชน์หนึ่งก็ประมาณ ๑๖ กิโลเมตร ๑๐๐ ปีให้เราเอาเมล็ดพันธุ์ผักกาด เล็กกว่าเม็ดงาตั้งเยอะ หย่อนลงไป ๑ เมล็ด ๑๐๐ ปีหย่อนลงไป ๑ เมล็ด พันธุ์ผักกาดนั้นเต็มถังแล้ว ระยะเวลาที่ผ่านไปยังน้อยกว่า ๑ อันตรกัป..!
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,741
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,559
    ค่าพลัง:
    +26,399
    บางทีท่านก็เปรียบว่าเหมือนกับภูเขาหินล้วน ๑ ลูก กว้าง ๑ โยชน์ ยาว ๑ โยชน์ สูง ๑ โยชน์ ๑๐๐ ปี มีเทวดาเอาผ้าเนื้ออ่อนเหมือนสำลีมาเช็ดถูครั้งหนึ่ง ๑๐๐ ปีมีเทวดาเอาผ้าเนื้ออ่อนเหมือนสำลีมาเช็ดถูอีกครั้งหนึ่ง ภูเขาลูกนั้นสึกเสมอพื้น ยังไม่ได้ ๑ รอบอันตรกัป นานขนาดไหนครับ !?

    กระผม/อาตมภาพว่า ท่านทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นพระ เป็นเณร หรือเป็นญาติโยม เมล็ดพันธุ์ผักกาดเมล็ดแรกไม่ได้หย่อนหรอกครับ ส่วนใหญ่ก็ตายไปเสียก่อน เพราะกำหนดว่า ๑๐๐ ปีถึงจะหย่อนลงไปได้เมล็ดหนึ่ง

    ๖๔ รอบอันตรกัปเป็น ๑ อสงไขยกัป ต้องลูบจนภูเขาสูง ๑๖ กิโลเมตรสึกเสมอพื้นไป ๖๔ ลูกได้ ๑ อสงไขยกัป แล้ว ๔ อสงไขยกัปถึงจะได้ ๑ มหากัป

    พระพุทธเจ้าต้องบำเพ็ญบารมีมาอย่างน้อย ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป ใช้ระยะเวลานานเท่าไร ? ประมาณไม่ได้เลย กว่าที่จะมาเทศนาสั่งสอนพวกเรา ดังนั้น..โอกาสที่จะได้ฟังธรรมนั้นเป็นเรื่องที่ยากมากครับ ท่านทั้งหลายโดนกรอกหูมาแล้ว ๘ วัน วันนี้วันที่ ๙ โอกาสแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะครับ

    ข้อสุดท้าย กิจฺโฉ พุทฺธานมุปฺปาโท การเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้ายากที่สุด ยากตรงที่ว่า กว่าจะบำเพ็ญบารมีได้เต็ม ถ้าหากว่าใครท่องในส่วนของ "ภาณยักษ์ภาณพระ" หรืออาฏานาฏิยสูตรได้ ที่มีตอนนมัสการพระพุทธเจ้า นะโม เม สัพพะพุทธานัง อุปปันนานัง มะเหสินัง ขอนอบน้อมนมัสการต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้เป็นใหญ่ที่ได้อุบัติขึ้นแล้ว

    ตัณหังกะโร มะหาวีโร, เมธังกะโร มะหายะโส ไล่ไปเรื่อย ๆ พอไปถึง ทีปังกะโร ชุตินธะโร พระพุทธเจ้ามีพระนามว่าทีปังกร พอสิ้นสุดศาสนาของท่าน ผ่านไป ๑ อสงไขยกัป พระพุทธเจ้านามว่าโกณฑัญญะถึงได้อุบัติขึ้น นานแค่ไหนครับ กว่าที่จะมีใครมานั่งบ่นให้ท่านทั้งหลายฟังนี่ ยากขนาดนั้นนะครับ แต่ว่าสิ่งที่ยากทั้งหมด ๔ ประการในโลกนี้ ท่านทั้งหลายฝ่าฝันมาได้หมดแล้ว และท่านทั้งหลายยังจะต้องไปเป็นครู แนะนำสั่งสอนคนอื่นเขาต่ออีกด้วย
     
  7. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,741
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,559
    ค่าพลัง:
    +26,399
    ดังนั้น..ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมจึงต้องเป็นเรื่องของคนที่เป็นปรมัตถบารมี กำลังใจต้องเข้มแข็งสุดยอด ถามว่าเข้มแข็งสุดยอดในระดับไหน ? ระดับที่หลวงปู่หลวงพ่อสายวัดป่าท่านบอกว่า "แลกกันด้วยชีวิต ถ้าถามว่าเราทั้งหลายมีโอกาสหรือไม่ ? กระผม/อาตมภาพยืนยันว่ามีแน่นอน เพราะว่าสิ่งที่ยากที่สุดทั้งหลายทั้งปวงทุกท่านทำได้แล้ว ก็เหลือเพียงอยู่อย่างเดียวก็คือว่า เราทำจริงแค่ไหน ?

    ท่านทั้งหลายอาจจะเห็นว่า หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ท่านโด่งดัง เป็นครูบาอาจารย์สายวัดป่า แล้วได้ศึกษาประวัติท่านไหมครับว่า ก่อนที่ท่านจะมาเป็นครูบาอาจารย์ให้คนเขาเคารพกราบไหว้ทั้งบ้านทั้งเมือง ท่านต้องยากลำบากแค่ไหนในการทุ่มเทชีวิตให้กับการปฏิบัติธรรม ?

    เรื่องพวกนี้จึงเป็นเรื่องที่เราทั้งหลายต้องศึกษาไว้เป็นแนวทาง เป็นเนติ คือแบบอย่างแก่ชีวิตของตน โบราณว่า "อยากสูงต้องเขย่ง อยากเก่งต้องขยัน" เราท่านทั้งหลายดูแค่ว่า มีท่านใดบ้างที่มาปฏิบัติธรรมก่อนเวลา ? มีท่านใดบ้างที่ถึงเวลาครูบาอาจารย์เรียกแล้วเรียกอีกกว่าจะมา ? แค่นี้ก็วัดได้แล้วครับว่าใครจะมีโอกาสปฏิบัติธรรมแล้วประสบความสำเร็จบ้าง

    เหมือนอย่างกับตอนที่เรียนอยู่ครับ ท่านใดที่ทำงานส่งครูบาอาจารย์สม่ำเสมอ หมั่นไต่ถามสอบถามสิ่งต่าง ๆ เพื่อความกระจ่างในสิ่งที่ตนยังไม่รู้ ถ้าท่านทั้งหลายทำแบบนี้ได้ โอกาสจะได้เกียรตินิยมก็มีสูงมากครับ

    กระผม/อาตมภาพตอนแรกที่เรียนปริญญาตรี เรียนสาขาพระพุทธศาสนา ปรากฏว่าได้รับความเมตตาจาก รศ.ดร.สมศักดิ์ บุญปู่ ท่านไปช่วยสอนให้ ตอนที่กระผม/อาตมภาพเรียนอยู่ รุ่นนั้นได้เกียรตินิยมอันดับ ๑ จำนวน ๙ รูป ที่เหลือทั้งห้องได้เกียรตินิยมอันดับ ๒ หมดเลย..! มารับปริญญานี่เป็นที่ฮือฮากันมากครับ MCU TV ไล่ตามสัมภาษณ์เลย และโดยเฉพาะกระผม/อาตมภาพเอง นอกจากเกียรตินิยมอันดับ ๑ แล้วยังเป็นที่ ๑ ของประเทศในปีนั้นด้วย ได้คะแนนสูงสุดของเกียรตินิยมทั้งหมด
     
  8. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,741
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,559
    ค่าพลัง:
    +26,399
    สิ่งที่เขาถามก็คือทำอย่างไรถึงเรียนแล้วได้เกียรตินิยมอันดับ ๑ ? ทำอย่างไรเรียนแล้วได้เกียรตินิยมทั้งห้อง ? ซึ่งยังไม่มีใครทำได้มาก่อน ปัจจุบันนี้ห้องเรียนหนึ่ง คณะหนึ่ง ถ้าหากว่าได้เกียรตินิยม สัก ๓ รูป ๕ รูปนี่ เขาดีใจกันตายแล้วครับ

    เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าพวกเราเสียสละให้กับเพื่อน มือหนึ่งในห้องที่ได้ A เป็นประจำ ๕ รูป ช่วยกันสรุปเนื้อหาให้เพื่อนไปท่องครับ ท่องได้แปลว่าสอบได้ อย่างเช่นว่าเนื้อหาบทที่ ๑ เราเห็นว่ามีส่วนที่น่าจะออกข้อสอบสัก ๓ ข้อ ก็ดึงออกมา บทที่ ๒ มีสัก ๕ ข้อ ดึงออกมา แต่อาจารย์อาจจะออกจริง ๆ บทละข้อเดียว แต่ก็อยู่ในนั้นแหละครับ เราไม่ต้องอ่านหนังสือทั้งหมดก็ได้

    แล้วก็ยังเรียนท่านอาจารย์ทั้งหลายด้วยว่า ถ้าพวกผมตอบคล้าย ๆ กัน ๔ - ๕ สำนวนนี่ อาจารย์อย่าคิดว่าลอกกันนะครับ พวกผมใช้วิธีนี้ ก็คือเอื้อเฟื้อกับเพื่อนฝูง งานทุกอย่างพยายามส่งตามเวลา แล้วขณะเดียวกันใครที่ไม่เก่งเราก็ช่วย ผมนี่ช่วยเพื่อนมาเยอะมาก ก็เลยทำให้ประสบความสำเร็จอย่างที่เห็น ปริญญาโทก็จบพร้อมกันทั้งรุ่น ปริญญาเอกก็จบพร้อมกันทั้งรุ่น ยังหารุ่นอื่นไม่ได้นะครับ ปริญญาโทปริญญาเอกนี่เป็นธรรมชาติเลยว่า จะมีเพื่อนที่ล้าหลัง เรียนไม่ทัน จบทีหลัง พวกนี้จะเพื่อนมาก เพราะว่าเรียนรุ่นนี้ไปจบรุ่นโน้น ได้เพื่อนเพิ่มขึ้นมาอีก..!

    สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เกิดขึ้นได้เพราะจิตใจของเรามุ่งมั่นแน่วแน่อยู่กับการเรียน การที่เราจะมุ่งมั่นแน่วแน่อยู่กับการเรียนได้นั้น สมาธิต้องดี การที่ท่านทั้งหลายสมาธิต้องดี ก็อยู่ที่การมาปฏิบัติธรรมกันใน ๑๐ วันนี่แหละครับ แต่ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายลองคิดดูว่า ปีหนึ่งถ้าเรารับประทานอาหารแค่ ๑๐ วันนี่จะรอดไหมครับ ? แปลว่าในเรื่องของการปฏิบัติธรรมรักษาใจตนเองนั้น ต้องทำกันทั้งปี เพื่อที่จะรักษาระดับของตนเองไม่ให้ท้อถอย

    ถ้าใครขาดสมาธินี่ เรียนไปแล้วจะท้อเลยครับ ยิ่งถ้าหากว่างานประดังกันมามาก ๆ ส่วนใหญ่แล้วครูบาอาจารย์ท่านก็มักจะไปสั่งรายงานกันท้าย ๆ เทอม แล้วถึงเวลา ๔ เล่ม ๕ เล่มก็ต้องส่งไล่ ๆ กัน ประสาทจะรับประทานครับ..!
     
  9. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,741
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,559
    ค่าพลัง:
    +26,399
    แต่ว่าถ้าท่านทั้งหลายตั้งใจปฏิบัติธรรมจนกระทั่งสติมั่นคง ท่านจะสามารถแยกแยะความก่อนหลังเร็วช้าของปัญหาได้ เรื่องไหนมาก่อน แก้ไขก่อน เรื่องไหนมาทีหลัง กองเอาไว้ก่อน ต่อให้ช้ากว่า ๕ นาที ๑๐ นาที ก็ยังช้ากว่า เมื่อถึงเวลาท่านจะมีงานอยู่ตรงหน้าเพียงชิ้นเดียว มีปัญหาอยู่ตรงหน้าเรื่องเดียว แล้วจะไม่เกินความสามารถที่ท่านทั้งหลายจะแก้ไขได้ นี่คือประโยชน์ที่ชัดเจนที่สุดของการปฏิบัติธรรม ก็คือช่วยให้การศึกษาของเราดีขึ้นอย่างแน่นอน

    ท่านทั้งหลายมาเรียนเพื่อเป็นครู ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่ยากนะครับ คนเราขัดเกลาสั่งสอนตัวเองยังเป็นเรื่องที่ยากเลย เคยได้ยินบาลีไหมครับ อตฺตา หิ กิร ทุทฺทโม ชื่อว่าการฝึกตนนั้นช่างยากจริงหนอ ตัวเรายังฝึกยากเลยครับ แล้วจะไปฝึกใครไหว ? แต่ขอเรียนถวายเอาไว้สำหรับบรรดาท่านทั้งหลายที่ต้องเป็นครูว่า ไม่มีใครที่ไร้ประโยชน์ ยกเว้นว่าสถานการณ์จะอำนวยหรือไม่ เพื่อให้เขาได้แสดงประโยชน์นั้นออกมา

    สมัยที่กระผม/อาตมภาพยังเป็นฆราวาสอยู่ รับราชการทหารครับ มีนายทหารประทวนท่านหนึ่ง คือสิบตรีสำอางค์ นันมี เขาเรียก "ไอ้มึน" ครับ วัน ๆ ก็นั่งตาลอยอย่างกับคนหิวกัญชา ไม่ค่อยสุงสิงเสวนากับใคร

    พอถึงเวลาจัดกำลังพลลงเพื่อเตรียมฝึก ก็เลยไม่มีใครเอาหมู่สำอางค์ไปด้วย กระผม/อาตมภาพบอก "อางค์..เอ็งมากกับข้า" มอบหมายตำแหน่งให้ก็คือพลเครื่องยิงลูกระเบิด ไอ้เครื่องยิงลูกระเบิดขนาด ๔๐ มิลลิเมตร บางคนเขาเรียกเ M79 ลูกระเบิดนี่ถ้าเราขว้างด้วยมือ อย่างเก่งก็ ๔๐ เมตร ๕๐ เมตร แต่ถ้ายิงด้วยเครื่องนี่ไปได้ ๔๐๐ เมตรครับ แล้วระยะแม่นยำอยู่ที่ ๒๐๐ เมตร

    ปรากฏว่าวันนั้นมีการฝึกโดยใช้กระสุนจริงครับ ซึ่งมีตายกันทุกปี ฉะนั้น..การฝึกของทหารนี่กฎกระทรวงกลาโหมระบุเอาไว้ชัดเจนว่า "จำหน่ายทิ้งได้ร้อยละ ๕" ก็คือถ้าตายในการฝึกนี่ตายได้ร้อยละ ๕ นาย..! เพราะฉะนั้น..ท่านทั้งหลายจะเห็นว่า บางทีครูฝึกมือไม้หนัก ทหารถึงแก่ชีวิตไป ต่อให้เป็นข่าวขนาดไหนก็ตาม ครูฝึกไม่มีความผิดนะครับ เพราะกฎกระทรวงซึ่งถือว่าเป็นกฎหมาย ระบุไว้ชัดเจนเลยว่า "จำหน่ายได้ร้อยละ ๕"
     
  10. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,741
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,559
    ค่าพลัง:
    +26,399
    เมื่อถึงเวลาแต่ละหมู่ แต่ละตอน แต่ละหมวด ต้องกำหนดจุดป้องกันของแต่ละชุด ซึ่งถ้าข้าศึกเข้าตีหนักจริง ๆ ผู้บังคับหมวด ผู้บังคับตอน ผู้บังคับหมู่จะสั่งให้ "ยิงฉาก" ก็คือยิงรักษาหน้าที่ของตนเองไว้ ไม่ต้องไปยุ่งกับคนอื่น ต่อให้ข้าศึกโผล่มาข้าง ๆ จะเอาระเบิดหย่อนใส่กบาลเราแล้ว ก็ไม่ต้องสนใจ เพราะว่านั่นเป็นหน้าที่ของเพื่อน หน้าที่ของเราคือตรงนี้เท่านั้น

    กลุ่มของกระผม/อาตมภาพนั้น พอข้าศึกส่งพลุสัญญาณว่าเข้าตีแบบเด็ดขาด ก็คือพลุสีขาว ๓ ลูก พวกเราก็ต้องสั่งยิงฉาก ตรงหน้ากลุ่มของกระผม/อาตมภาพรับผิดชอบนั้น มีเสียงระเบิดเอ็ม ๗๙ นี่แหละครับ "บึ้ม..! บึ้ม..! บึ้ม..!" ต่อเนื่องกันแทบไม่ขาดสาย ข้าศึกเข้าไม่ได้ครับ ต้องไปตีด้านอื่นแทน

    ในการฝึกครั้งนั้น กลุ่มของกระผม/อาตมภาพได้ที่ ๑ ไปรับรางวัล แล้วรู้ไหมครับว่า "ไอ้มึน" ก็คือหมู่สำอางค์เป็นคนสร้างผลงานนี้เอง เพราะว่ามือเครื่องยิงลูกระเบิดจะมีกระสุนติดตัวอยู่ ๑๘ นัด ก็คือระเบิดมือ ๑๘ ลูก ดี ๆ นี่แหละครับ หมู่สำอางค์สามารถยิงได้ต่อเนื่องไม่ขาดสายเลย

    กระผม/อาตมภาพไปถามทีหลังว่า "อางค์..มึงทำได้อย่างไรวะ ?" เขาตอบว่า "ผมเล่นอีโบ๊ะมาก่อนครับ" อีโบ๊ะของมันก็คือลูกซองตาควายครับ ระบบเดียวกันเลย แล้วไอ้เครื่องยิงลูกระเบิดนั่นใหญ่กว่าตั้งเยอะ ใช้ถนัดมือกว่าเยอะเลย หมู่สำอางค์ก็เลย หักลำ-ใส่ลูก-เหนี่ยวไก...หักลำ-ใส่ลูก-เหนี่ยวไก ขณะที่คนอื่นทำไม่ได้แบบนั้นครับ
     
  11. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,741
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,559
    ค่าพลัง:
    +26,399
    จากไอ้คนที่ไม่มีใครเห็นคุณค่าเลย ทำให้หน่วยงานได้ที่ ๑ มา หลังจากนั้นใคร ๆ ก็อยากได้ตัว แต่หมู่สำอางค์ไม่ไปด้วยครับ เพราะก่อนหน้านี้ไม่มีใครเอาเลย หมู่สำอางค์จะไปกับผมเท่านั้น นี่คือสิ่งที่เตือนท่านทั้งหลายว่า คนเราทุกคนมีคุณค่า มีศักยภาพ เขาจะแสดงออกมาเมื่อไร ก็ต่อเมื่ออยู่ในสถานการณ์เหมาะสมเท่านั้น

    ท่านทั้งหลายถ้าออกไปเป็นครูบาอาจารย์ เจอนิสิตหรือว่านักเรียนที่ไม่เอาไหนเลย อย่าเพิ่งไปประมาท เพราะว่าบางทีสิ่งที่เราสอนนั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาชอบ ความสามารถของเขามีในด้านอื่น เราต้องหาคุณค่าในตัวของเขาให้เจอ ถ้าเจอคุณค่าตรงนั้นเมื่อไร เราจะสามารถดึงศักยภาพของเขาออกมาได้สูงสุดทันที เขาจะเป็นบุคคลที่สามารถสร้างคุณค่าให้กับหน่วยงานได้ทันที

    แต่ก่อนที่จะเป็นเช่นนั้นได้ ตัวเราสำคัญที่สุด ทำอย่างไรที่เราจะขัดเกลาตนเอง จนกระทั่งมีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง เป็นที่เชื่อถือของคนอื่น ถึงเวลาสั่งงานไปแล้วเขายินดีที่จะทำตาม ?

    สำหรับวันนี้ก็รบกวนเวลาของท่านทั้งหลายมามากแล้ว กระผม/อาตมภาพขอตั้งสัตยาธิษฐานอ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ ธัมมรัตนะ และสังฆรัตนะ เป็นประธาน ตลอดจนกระทั่งคุณงามความดีที่ท่านทั้งหลายมาปฏิบัติธรรมในครั้งนี้ จงมารวมกันเป็นตบะเดชะ พลวปัจจัย ดลบรรดาให้ท่านทั้งหลายประสบความสำเร็จทั้งทางโลกทางธรรม แม้ว่าประสงค์จำนงหมายสิ่งหนึ่งประการใด ที่เป็นไปโดยชอบ ประกอบด้วยธรรมแล้ว ขอให้ความปรารถนาของท่านทั้งหลาย จงสำเร็จ สัมฤทธิ์ผล ทุกประการโดยถ้วนหน้ากันทุกท่านทุกคน..เทอญ

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    ธรรมบรรยายในงานปฏิบัติธรรมประจำปี ๒๕๖๕
    คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
    วันเสาร์ที่ ๒๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...