เรื่องเด่น ความเมตตาของหลวงพ่อจง หลวงพ่อจงให้หวย โดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 24 มกราคม 2023.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,258
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    789_957.jpg
    ความเมตตาของหลวงพ่อจง หลวงพ่อจงให้หวย
    โดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    เรื่องหลวงพ่อจงชุดนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างมาก จะเห็นความเมตตาและความรอบรู้ของหลวงพ่อจงอย่างชัดเจน แต่ละเรื่องอ่านสนุกได้แง่คิด ในชุดนี้มี 10 เรื่อง ค่อยๆ อ่านนะ ถ้าตัดตอนนำเสนอดูจะไม่เหมาะ ขอเสนอทั้งหมดเลยนะครับ ในเรื่องเหล่านี้ทุกเรื่องนำมาจาก หนังสือเรื่องจริงอิงนิทาน เล่ม 1 ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ขอความเจริญในธรรมจงมีแด่ทุกๆ ท่านครับ

    ...................................

    32. หมอดู

    คราวหนึ่ง เมื่อหลวงพ่อปานมรณภาพไปแล้ว อาตมาก็ไปวัดหลวงพ่อจงบ่อยๆ เพราะหลวงพ่อจงท่านเคยพูดอยู่เสมอ ว่าพวกเราบวชอย่าหวังเกิดกันเลยนะ ปล่อยให้มันดับกันไปเลย อันนี้ชอบใจมาก สมัยที่เรายังมีชีวิตอยู่ ใช้หนี้เขาให้หมด หมายความว่า ไอ้หนี้ความชั่วใดๆ ที่เราสร้างไว้ในอดีตชาติมานานจนชาติปัจจุบัน ใช้มันเสียให้หมดชาติหน้าจะได้ไม่ต้องใช้

    วันนั้นไปนั่งคุยอยู่กับท่าน มีแขกมาก ก็พอดีภรรยาของกำนันมาก ข้างวัดของท่าน เป็นลูกศิษย์ท่านนั่นแหละ กำนันมากก็เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อจงไปซื้อยาสูบ ไอ้ยาตั้งน่ะ ทางจังหวัดเหนือไม่ทราบว่าจังหวัดอะไร เอาเรือยนต์ 2 ชั้นไป แกมีเรือยนต์ 2 ชั้นอยู่ลำหนึ่ง ไปแล้วก็กลับเกินเวลา ควรจะกลับถึงบ้านหลายวันแล้ว แต่หายไป ทางภรรยาก็สงสัยคิดว่าจะมีอันตราย ก็ไปหาหลวงพ่อจงดู ถามว่าหลวงพ่อเจ้าคะ สามีของดิฉันไปซื้อยาที่เมืองเหนือนานแล้ว น่าจะกลับนานแล้วทำไมจึงยังไม่กลับ เมื่อไรจะกลับ หลวงพ่อจงก็หยิบหนังสือพรหมชาติขึ้นมา เปิดปั๊บ ถึงพอดี ท่านก็ดูกำนันมาก ท่านอ่านว่ายังไง วิสิทธิการิยะ เวลานี้ชาวบ้านเขามาขอดูกำนันมาก ว่าเดินทางไปทำไมจึงยังไม่กลับ แต่วันนี้เป็นวันศุกร์เป็นมหาฤกษ์เป็นฤกษ์ใหญ่ ตามตำราท่านทายว่าเวลานี้กำนันมากเอาเรือมาจอดอยู่ที่หน้าบ้านแล้ว แล้วท่านก็วางหนังสือ บอกว่านี่ ตำราเขาบอกว่ากำนันมากนะ เอาเรือมาจอดอยู่ที่หน้าบ้านแล้วนะ ลองไปดูซิตำราเขาจะพูดถูกหรือพูดผิดก็ไม่ทราบ ไม่รู้นะ ฉันดูตามตำรา

    พอเขาไปแล้ว เวลาท่านวางก็เอากระดาษคั่นไว้ ท่านก็อาจจะรู้ว่าอาตมาเป็นคนขี้สงสัย เมื่อเวลาเมียกำนันมากไปแล้ว ก็หยิบหนังสือขึ้นมาดูดูแล้วมันก็ไม่มีนี่ เขาไม่ได้เขียนไว้ตามนั้น เรื่องราวในหน้ากระดาษที่ท่านพลิกออกมาอ่านน่ะ มันเรื่องโน้น เรื่องปลูกผักปลูกหญ้าอะไรก็ไม่รู้ ท่านก็อ่านไปได้ว่าสิทธิการิยะวันนี้เป็นฤกษ์ดี ท่านกล่าวว่าวันนี้กำนันมากเอาเรือมาจอดอยู่ที่บ้านแล้ว มันไม่มีนี่ ตำราที่ไหนจะไปรู้ว่ากำนันมากกำนันน้อย เลยถามว่า หลวงพ่อตำราเขาไม่ได้เขียนไว้อย่างนั้นนี่ มันเรื่องอื่น ท่านก็เลยบอกว่า ฉันเป็นคนแก่นี่ อ่านไปยังงั้น ตามันเห็นไปยังงั้นก็อ่านไปยังงั้นไม่รู้ว่าหนังสือมันเขียนว่ายังไง

    คุยกับท่านอยู่เดี๋ยวเดียว ลูกชาย กำนันมากก็มา บอกว่าคุณพ่อกลับมาแล้วขอรับ หลังจากคุณแม่มาหาหลวงพ่อประเดี๋ยวเดียวยังไม่ทันจะกลับ ลูกก็มาบอกว่าเวลานี้พ่อเอาเรือมาจอดคอยอยู่หน้าบ้านจริงๆ

    เป็นอันว่าตำรานั้นแม่น นี่ท่านทราบไหมว่า หลวงพ่อจงท่านดูแบบไหน ก็ไม่ตอบดีกว่ากระมัง เป็นเรื่องของวิชาสามหรืออภิญญา 6 เท่านั้นที่จะรู้

    ______________________________________

    33. ให้หวยสังกะสี

    หลวงพ่อจงนี่ ความจริงให้หวยแม่น แต่คนรับหวยไปนั่นแหละ เอาไปเล่นได้ดีหรือไม่ได้ดีก็ช่าง วันหนึ่งก็มีงานทำบุญกันที่คลาดบ้านแพน ที่อำเภอเสนา เขาก็นิมนต์อาตมาไปด้วย หลวงพ่อจงด้วย อยู่กันคนละวัด แต่ความจริงหลวงพ่อจงท่านอยู่ไกลกว่ามาก ท่านไปถึงก่อนเสมอ เวลาที่เขาทำบุญ หลวงพ่อจงมีอาวุโสมากที่สุด นั่งข้างหน้าอาตมาก็มีอาวุโสน้อยที่สุด นั่งปลายแถว อย่างนี้เป็นปกติ และนอกจากนั้น พระคณาธิการก็มีอายุมากๆ กว่าอาตมาทั้งนั้น

    เมื่อฉันข้าวเสร็จ ก่อนที่จะยถาสัพพี มีคนหนึ่งเข้าไปขอหวยหลวงพ่อจง เจ้าบ้านนั่นแหละ เป็นร้านค้า เข้าไปขอหวยหลวงพ่อจง แล้วเขาเองก็เป็นร้านค้าสังกะสีเสียด้วย เขาก็บอกว่าหลวงพ่อขอรับ การค้ามันไม่ค่อยดี อยากจะขอหวยสักสองสามตัว หลวงพ่อท่านก็บอกว่าหวยท่านไม่มีหรอก ท่านไม่รู้หรอก ไอ้เรื่องหวยน่ะ ที่วัดท่านน่ะขาดสังกะสีอยู่กี่แผ่นก็ไม่ทราบ ท่านพูดจำนวนร้อย แล้วก็มีเศษสิบเศษหน่วยเสร็จ ไอ้เลขมันก็เป็น 3 ตัว ตามจำนวนนั้น อีตาแป๊ะนั่นก็เลยบอกว่าถ้าผมถูกหวยนะขอรับหลวงพ่อ ผมจะซื้อสังกะสีจำนวนเท่านี้ไปถวายหลวงพ่อ เอาไปถวายโดยไม่ต้องเรี่ยไรใครขอรับ ขอให้หลวงพ่อให้หวย ท่านก็บอก ไม่มีหวย หวยท่านไม่มี แต่สังกะสีเท่านี้ท่านยังซื้อไม่ได้แล้วท่านจะรู้หวยได้ยังไง อาตมาอยู่ข้างท้ายก็รำคาญปากเต็มที เลยเรียกเถ้าแก่คนนั้นมาบอก นี่มานี่แน่ะ แกก็มาหา ก็พูดดังๆ บอกไอ้เรื่องหวยน่ะ อย่าไปขอหลวงพ่อท่านเลย ถามว่าจำได้ไหมว่าหลวงพ่อท่านขาดสังกะสีอยู่กี่แผ่น เถ้าแก่ก็จำได้ว่าขาดอยู่ 600 แผ่นเศษๆ ถามว่าเศษเท่าไร แกจำได้ ก็เขียนเลขลงไป

    ก็เลยบอกว่าเอายังงี้ก็แล้วกัน เมื่อหลวงพ่อท่านต้องการสังกะสี เราก็เอาเลขสังกะสีนี่แหละไปซื้อหวย ถ้าหากว่าเราจะได้สังกะสีไปถวายหลวงพ่อจริงๆ เลขสังกะสีอันนี้มันก็เป็นหวย มันก็บันดาลให้ถูก เพราะว่าเราจะทำบุญ เราจะซื้อเท่าไหร่ก็ช่าง แต่เมื่อได้สตางค์แล้วก็เอาไปซื้อสังกะสีถวายหลวงพ่อตามจำนวนที่ท่านต้องการ หลวงพ่อจงก็หัวเราะคิกๆ คิกๆ ตามปกติท่านแบบนั้น ในที่สุดพอยถาสัพพีเสร็จก็กลับ รุ่งขึ้นหวยก็ออก ปรากฏว่าชาวอำเภอเสนาถูกหวยกันเป็นตับ เลขท้ายสามตัว

    พอถูกหวยเสร็จเรียบร้อยแล้ว พ่อเจ้าประคุณอีตาแป๊ะก็ขนสังกะสีในบ้านแกนั่นแหละ ตามจำนวนที่หลวงพ่อจงบอกไว้ เอาไปถวายหลวงพ่อจง พอไปถึงขนขึ้นวัด ไอ้วัดของท่านก็ใกล้เมื่อไหร่ เดินตั้งสองสามเส้นจากท่าน้ำกว่าจะถึงวัด มีถนนยาว ขอโทษไม่ใช่สองสามเส้น เห็นจะเป็นห้าเส้นเศษ หรือจะกี่เส้นก็ไม่ทราบ มันไกลจริงๆ ท่านหัวเราะชอบใจใหญ่บอกว่าวัดท่านไม่ได้มุงสังกะสี วัดของท่านมุงกระเบื้อง เอาสังกะสีมาทำไม ตาแป๊ะแกก็เลยบอกว่า ก็หลวงพ่อบอกว่าต้องการสังกะสี ท่านก็หัวเราะชอบใจใหญ่ ถามว่าเถ้าแก่ขออะไรฉันล่ะ เขาบอกว่าขอหวย ท่านก็ถามว่าไอ้สังกะสีน่ะมันจำนวนกี่แผ่น เขาก็บอกเป็นจำนวนหกร้อยแผ่นเศษ ท่านก็ถามว่ามันตรงกับอะไร เขาก็เลยบอกว่าตรงกับเลขท้ายรางวัลที่ 1 ท่านก็หัวเราะชอบใจ ท่านบอกว่าฉันไม่ได้ให้หวยนะ ฉันพูดเรื่องสังกะสี แต่สังกะสีที่เถ้าแก่เอามาฉันไม่เอาหรอก เพราะว่าที่วัดนี้ไม่ได้มุงสังกะสี

    ท่านผู้ฟัง เวลาเหลืออีก 2 นาที สำหรับวันนี้เป็นอันว่ายุติลงแค่หวยสังกะสีของหลวงพ่อจงนะ สำหรับวันต่อไปคุยกันใหม่ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแก่ผู้ที่รับฟังทุกท่าน สวัสดี

    ______________________________________

    34. หวยเรือ

    ท่านผู้ฟังทั้งหลาย วันนี้ตรงกับวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2516 วันนี้มาคุยกันถึงเรื่องหลวงพ่อจงใหม่ ต่อจากเรื่องเก่า เมื่อวานนี้มาจบลงแค่หวยสังกะสี วันนี้ก็ต่อเรื่องหวย

    เรื่องหวยของหลวงพ่อจงตอนนี้ก็มีอยู่ว่า วันหนึ่งพวกชาวจังหวัดพระนครเขาพากันไปทอดผ้าป่าถวายหลวงพ่อจง ดูเหมือนว่าคราวนั้นจะได้เงินหมื่นกว่าๆ แล้วเขาก็เช่าเรือ บ.ข.ส. อะไร ของบริษัทสุพรรณขนส่ง เช่าเรือลำนั้นไป ก็ไปด้วยกันมาก เอาเรือจอดไว้หน้าท่า ความจริงหลวงพ่อจงไม่ได้ลงมาท่าเรือและจากกุฏิท่านก็มองไม่เห็นเรือ เวลาเขาทอดผ้าป่าเสร็จตามธรรมเนียมของคนไทย เรียกว่าคนไทยส่วนใหญ่ก็แล้วกัน ตามธรรมเนียม ถ้าทำบุญแล้วก็อยากจะเห็นผลบุญในชาติปัจจุบัน ก็เลยขอหวยหลวงพ่อจง หลวงพ่อจงท่านตอบว่ายังไง ท่านตอบว่าพระไม่มีหวยหรอก ตั้งแต่ฉันเกิดมานี่ พ่อแม่ฉันไม่ได้แจกหวยมาให้เป็นมรดก ฉันไม่มี

    ฟังคำพูดของท่านนะ แต่ท่านพูดเสียงเบาๆ ฟังไม่เกะกะหูเหมือนเสียอาตมาหรอก อาตมาน่ะมันเสียงเกะกะหู ท่านบอกว่าไม่มีหวย มรดกที่เป็นหวยพ่อแม่ไม่ได้ให้ไว้ เวลาที่มาบวช พระอุปัชฌาย์ก็ไม่ได้ให้หวยไว้เป็นมรดก ไม่มี แต่ว่าฉันเห็นไอ้เรือ บ.ข.ส. มันมาตายอยู่หน้าวัดลำหนึ่ง ก็ไปเอาที่เรือ บ.ข.ส. ซี ท่านพูดเท่านั้น แล้วก็เป็นอันว่าพวกชาวผ้าป่าก็ลากลับ ไม่ใช่ลากลับด้วยความผิดหวัง ดีใจ เขาว่า วันนี้หลวงพ่อจงให้หวย

    อาตมาเดินสวนทางเห็นเขายิ้ม ถามว่าหลวงพ่อให้อะไรล่ะ ไปขอหวยท่าน เขาว่ายังงั้นท่านบอกว่าเรือ บ.ข.ส. มันมาตายอยู่ที่หน้าวัดลำหนึ่ง ท่านพูดเท่านี้ ก็เลยถามว่าเรือของคุณหมายเลขอะไร เขาบอกว่าเช่ามา ยังไม่ได้ดูเลข ก็เลยย้อนทางลงไปดูกับเขาว่ามันเป็นเลขอะไร ก็จดหมายเลขเรือเข้าไว้ ถึงเวลาหวยออกจริงๆ ปรากฏว่าเลขท้าย 3 ตัวของเรือ ตรงกับรางวัลที่ 1 พอดี ไม่กลับ เรียกว่าไม่ย้อนไปย้อนมา เรียงกันตามลำดับ เป็นอันว่าวันนั้นชาวจังหวัดพระนครถูกหวยเพราะเรือ บ.ข.ส. หลายสตางค์

    หลังจากหวยออกแล้วไม่กี่วัน ปรากฏว่าเจ้าภาพคณะนั้นมาอีก เอาผ้าป่ามาถวายหลวงพ่อจงใหม่ แล้วก็ถามว่า ท่านบอกว่าคราวนี้เรือ บ.ข.ส. มันไม่ตายเสียแล้ว มันไม่ตายก็ไม่รู้จะเอาที่ไหน ไม่รู้จะไปเอาเลขที่ไหน เลิกกัน พวกนั้นก็ไม่ว่าอะไร เพราะว่าได้มากแล้ว ดูเหมือนว่าได้กันคนละมากๆ คนที่มาทอดผ้าป่าคราวนั้นที่ได้ไปจากหวยคราวนั้นน้อยกว่า 1 หมื่นบาทไม่มีทุกคน แล้วก็คนมาตั้ง 100 คนกว่านี่ คงล่อเข้าไปหลายสตางค์

    เรื่องนี้ก็ขอผ่านไป

    ______________________________________

    35. ให้หวยคนลูกมาก

    ความจริงผู้หญิงคนนี้แกมีลูกมากจริงๆ มีลูกตั้ง 7 คนหรือ 8 คนไม่ทราบ ผัวไม่มี ความจริงผัวแกมีแต่แกตายเสีย แล้วแกก็ต้องรับภาระเลี้ยงลูก แกเป็นคนจน ไร่นาสาโท ก็ไม่มี น่าเห็นใจมาก ต้องรับจ้างเขา แต่ว่าการอยู่บ้านนอกก็รู้สึกว่าเบาหน่อย เพราะว่าน้ำไม่ต้องซื้อ ผักหญ้าไม่ต้องซื้อ ปลาไม่ต้องซื้อ หาได้เอง เหลือแต่ข้าว ข้าวแกก็เกี่ยวข้าวจ้าง ลูกคนโตก็เกี่ยวข้าวจ้าง รับจ้างเขา ลูกคนเล็กๆ ก็เก็บข้าวตก หรือว่าข้าวตามลานที่เขาไม่ต้องการ คือว่าข้าวปลายลานเขากวาดไปติดแกลบ เด็กก็ไปกวาดแล้วร่อนๆ พอได้ข้าวมาหุงสำหรับกิน มาปีหนึ่งน้ำท่วมมากเป็นฤดูน้ำมาก บ้านของแกน้ำจะท่วมพื้นอยู่แล้ว เป็นโรงกระต๊อบเล็กๆ อยู่แบบยัดเยียดกัน

    วันหนึ่งแกมาหาหลวงพ่อจง แกบอกว่าหลวงพ่อเจ้าคะ เวลานี้ก็เดือนสิบแรมๆ แล้วใกล้จะเดือน 11 ทุนรอนก็หมด จะเลี้ยงลูกเต้าก็ไม่มีทุน เงินที่จะซื้อข้าวก็ไม่มี สำหรับกับข้าวก็หาเอา บางอย่างเท่านั้นที่ต้องซื้อ เช่น พริก กะปิ หอม กระเทียมไว้ เจ้าพริกนี่ ความจริงฤดูแล้วแกปลูกของแก ผักหญ้าแกปลูก ลูกมากต้องขยัน เวลานั้นมันถึงเวลาเครียดมาก ระหว่างเดือน 10 ต่อเดือน 11 นี่ชาวนาแย่ ข้าวใหม่ยังไม่ออกข้าวเก่าก็หมดไป แกไปขอหวยหลวงพ่อจง บอกฉันขอหวยสักคราว ขอหลวงพ่อให้ให้ถูกด้วย สตางค์ฉันมีอยู่ไม่มาก

    หลวงพ่อจงสงสาร เขียนเลขให้ 3 ตัว บอกเอาไปเล่นคนเดียวนะ อย่าให้คนอื่นเขา จะได้เอาเงินเลี้ยงลูก พอแกไปแล้วเห็นจะนึกขึ้นมาได้ ตอนค่ำ นึกขึ้นมาได้ว่ายายผู้หญิงคนนี้แกคงจะมีลาภไม่มาก หลวงพ่อจงก็ลงเรือพายไปเองคนเดียว ตาท่านดีมาก กำลังก็ดี ไปถึงหน้าบ้านยายคนนั้น ก็เรียก อีหนูเอ้ย อีหนู ยายคนนั้นแกก็ออกมา ถามว่าหวยที่หลวงพ่อให้มาน่ะเอ็งเล่นแล้วหรือยัง ยายคนนั้นก็บอกว่าฉันไปหาหลวงพ่อกลับมาก็ยังไม่ว่าง ต้องหาอาหารเลี้ยงลูก ยังไม่ได้ซื้อ เข้าใจว่าจะซื้อในวันพรุ่งนี้ ท่านก็บอกว่าดีแล้วลูก ยังไม่ซื้อน่ะดีแล้ว คราวนี้ลาภของเอ็งไม่มีมากนะลูกนะ ถ้าจะซื้อละก็ซื้ออย่าให้เกิน 5 บาทนะ ถ้าเกิน 5 บาท มันเกินวาสนาบารมีละก็ ไม่ถูกหรอก ต้องเล่นเพียงแค่ 5 บาท มันจึงจะถูก ยายคนนั้นก็รับคำแล้วก็กราบท่าน

    พอท่านจะกลับท่านก็สั่งว่าอย่าไปบอกใครเขานะ เลขนี้บอกใครเขาไม่ได้ มันเป็นลาภของเอ็งคนเดียว แล้วเล่นได้เพียง 5 บาท เท่านั้น ถ้าซื้อเกิน 5 บาท ถ้าเลขออกเอ็งจะถูกโกง คือว่าลาภของเอ็งมันมีน้อย ไอ้ลาภเก่าก็จะหมดไป ลาภใหม่มันจะไม่ได้ก็ช่างเถอะ เราเล่นตามบุญวาสนาบารมี ยายคนนั้นก็รับคำ ท่านก็กลับ

    ปรากฏว่าเวลาหวยออกจริงๆ ยายคนนั้นถูกพอดี แล้วก็เล่น 5 บาท ตรงตามท่านแล้วก็มารายงานให้ทราบ เอาเงินบางส่วนมาถวายให้ท่าน ท่านบอกไม่ต้องๆ เอ็งตั้งใจมาขอหวยข้านี่ ตั้งใจจะเอาเงินไปเลี้ยงลูก เอาเงินไปเลี้ยงลูกเถอะไป กว่าน้ำจะยุบ ข้าวใหม่จะออกมันก็อีกนาน เอาไปทำทุนเข้าไว้ แล้วก็อย่าพูดไปนะว่าเราถูกหวย ประเดี๋ยวใครเขาจะมาแย่งเอา

    เรื่องก็มีเท่านี้ เรื่องต่อไปหลวพ่อจงให้หวยเด็ก

    ______________________________________

    36. ให้หวยเด็ก

    คือเจ้าเด็กคนนี้ เมื่อเรียนจบ ป. 4 แล้วก็ไม่ได้ไปทำงานที่ไหน แค่ ป. 4 นี่พ่อแม่ยังไม่มีธุระจะใช้ ก็ปล่อยให้มาอยู่กับหลวงพ่อจง เป็นเด็กขยันมีนิสัยดีมาก จริยาเรียบร้อย ใครไปใครมาก็ต้อนรับขับสู้ดี จัดอาสนะที่นั่งให้ดี เรียกว่าสนใจกับแขกผู้ไป รู้สึกว่าเป็นเด็กดี หลวงพ่อจงใช้ให้นวดทุกวัน

    วันหนึ่งเห็นท่านว่าเด็กคนนี้กับพ่อแม่ของเด็กจะมีลาภ ขณะที่เด็กนวดๆ อยู่ ท่านก็ถามเด็กว่าเอ็งเรียนชั้นไหน เจ้าเด็กก็บอกว่าเรียน ป. 4 ถามว่าคิดเลขออกไหม เด็กตอบว่าพอคิดได้ ท่านก็บอกว่าฉันซื้อซุงมานะ ราคาจริงๆ มันเท่านี้นี่ แล้วก็ฉันชำระเงินเขาไปแล้วเท่านี้ นี่มันเหลือเท่าไหร่ ความจริงมันก็เหลือเป็นจำนวนหลักร้อย เด็กมันคิดได้มันบอกว่าเงินเหลือเท่านี้ครับ หลวงพ่อ ยังเป็นหนี้เขาเท่านี้ เออ เงินเท่านี้ก็หายากนะ พ่อน่ะไม่ได้เรี่ยไรอะไรกับเขา เขาเรี่ยไรกันเขาบอกบุญกัน พ่อก็ไม่ได้บอกบุญเรี่ยไร สุดแล้วแต่ใครเขาให้ เขาให้มาก็กินบ้างใช้บ้าง เหลือก็ใช้หนี้เขาไป

    ความจริงหลวงพ่อจงก็เป็นยังงั้นจริงๆ เวลาจะสร้างอะไร หลวงพ่อนิลน้องชายเป็นช่าง แล้วเป็นเจ้าอาวาสวัดหน้าต่างในเขตวัดติดกัน สร้างทั้งสองวัด หลวงพ่อนิลก็ไปสั่งของมา แต่ว่าหลวงพ่อจงเป็นหนี้ หนี้มาตกอยู่กับหลวงพ่อจง หลวงพ่อนิลสั่งของมาสร้างวัด ความจริงพระในอยุธยานี่ หรือจังหวัดสุพรรณ อ่างทอง หรือจังหวัดสิงห์บุรี นครปฐม จังหวัดราชบุรี จังหวัดสมุทรสาคร สมุทรสงครามอะไรก็ตาม รู้สึกว่าเป็นพระนักเสียสละมาก โดยมากไม่ค่อยเก็บเงินกัน รวยมาก แต่ว่ารวยหนี้ แต่ว่าที่เขาแอบๆ เอาก็มีเหมือนกันนา เป็นธรรมดา ไอ้เจ้าพวกแกะดำนี้มันอดสิงเข้ามาในฝูงแกะขาวไม่ได้ มันก็มีอยู่มั่ง แต่ไม่มาก

    ฉะนั้นวัดในเขตนั้นๆ จึงเจริญมาก เป็นอันว่า สังเกตได้ว่า วัดไหนถ้าสมภารรวย วัดแย่ ถ้าวัดไหนแน่ๆ คือวัดสวย สมภารอาน สังเกตได้นะว่าวัดไหนถ้าสวยก็ไปเถอะ ประเป๋าสมภารแย่ ถ้าหากว่าวัดแย่สมภารรวย แต่ก็มีบางวัดเหมือนกัน ท่านสมภารเอาเปรียบชาวบ้านก็มี สร้างทันตาเห็น แต่ทว่าเงินส่วนตัวไม่ออก เก็บหมด แนะนำให้ชาวบ้านเขาทำบุญ อย่างนี้ก็พอมีอยู่บ้าง แต่ไม่มาก มีปริมาณน้อย ในเขตตามที่กล่าวมาน่ะ อ้าว นี่พูดเรื่องอื่นเพลินไปอีกแล้ว เป็นอันว่าหลวงพ่อจงไมใช่นักก่อสร้าง แต่ว่าเป็นนักชำระหนี้ หลวงพ่อนิลน้องชายก่อสร้างดี แต่หนี้ไม่ปรากฏ เพราะอะไร เพราะหนี้ไปอยู่กับหลวงพ่อจงหมด หลวงพ่อนิลเลยไม่มีหนี้

    ทีนี้เมื่อเด็กได้ฟังอย่างนั้นมันก็คิดว่าไอ้เจ้าเลขที่เหลือน่ะ มันเป็นเลขหวย เพราะหนี้สินมันเหลือเป็นหลักร้อย พอนวดเสร็จกก็กลับเข้าบ้าน ไปรายงานกับพ่อและแม่ ท่านพ่อท่านแม่ก็เอาเงินไปจ้ำหวยใต้ดินเข้าให้ สองร้อยบาทตามหมายเลขที่ลูกชายมาบอก ก็เป็นอันว่าถูกหวย แล้วก็เอาเงินมาใช้หนี้ให้หลวงพ่อจง หลวงพ่อจงถามว่าใช้หนี้อะไร เขาก็บอกว่า เห็นหลวงพ่อบอกลูกชายบอกว่า ซื้อซุงมาแล้วก็ชำระหนี้ไปเท่านี้แล้ว ยังเป็นหนี้อยู่เท่านี้ กระผมก็เอาเงินมาใช้หนี้ค่าซุง ท่านก็เลยบอกว่าซุงฉันยังไม่ได้ซื้อนี่ ซุงที่วัดนี้ไม่มีหรอก ยังไม่ได้ซื้อมา แล้วราคามันเท่าไรก็ไม่รู้ เขาบอกว่าวันนั้นเห็นบอกกับลูกชายเขา ลูกชายเขานวด

    ท่านก็เลยบอกว่าท่านเป็นคนแก่นี่ ก็พูดไปส่งยังงั้นแหละ บางทีจะเผลอไปน่ะ พูดเรื่อยเฉื่อยไปคิดว่าจะซื้อซุง แต่ว่ายังไม่ได้ซื้อ แล้วก็ธุระที่ใช้ซุงมันก็ยังไม่มี เอายังงี้ก็แล้วกัน เอาเงินกลับไปบ้านก่อน ถ้าหากว่าฉันซื้อซุงเมื่อไร ถ้าสตางค์เหลือละค่อยมาให้ฉัน

    เป็นอันว่าวันนั้น หลวงพ่อจงตั้งใจให้หวยเด็ก

    ______________________________________

    37. ให้หวยคนที่สีกุก

    สีกุกกับวัดหน้าต่างนอกไม่ไกลกันนัก ห่างกันประมาณครึ่งกิโล นี่จะได้รู้กันว่าคนที่ไม่มีบุญวาสนาบารมีในการเล่นหวยน่ะ ถ้าไม่มีลาภสักการจริงๆ ที่จะพึงได้ มันก็ไม่ได้

    เรื่องการให้หวยและการรู้หวยนี่ มีนักวิพากษ์วิจารณ์กันมาก สำหรับอาตมาเอง เมื่อก่อนนี้ก็เป็นนักต่อต้านเหมือนกัน ไม่เชื่อเขา เมื่อสมัยที่เลขท้าย 3 ตัวออกมาใหม่ๆ ได้ยินข่าวว่าพระวัดนั้นให้หวย พระวัดนี้ให้หวย ก็สงสัยว่าเขาจะรู้ได้ยังไงเมื่อเลขหวยยังไม่ออก ก็อุตส่าห์วิ่งเรือตระเวนไปทั่วทิศทั่วทาง ไปในที่ต่างๆ ว่าพระอาจารย์องค์ไหนให้หวยก็ไปขอท่าน ขอให้เขียนเลขมา บางอาจารย์ก็ถูกเพียง 2 ตัวบ้าง บางอาจารย์ก็ถูกตัวเดียว บางอาจารย์ไม่ถูกเลย บางรายก็ให้มาเป็น 2 ชุด 3 ชุด นี่แสดงว่าไม่รู้จริง ก็เลยเอาเรื่องแน่นอนอะไรไม่ได้

    ในที่สุดก็ไปพิสูจน์หลวงพ่อเขียน หลวงพ่อเขียนวัดบางขุนเณร ท่านให้มา 20 งวด รางวัลที่ 1 เขียน 6 ตัว ตรงหมดทุกงวด แต่ว่ารับปากกับท่านว่าจะไม่เล่นก็ไม่เล่น เอามาดู นี่เรื่องหลวงพ่อเขียนยังไม่ถึง ทิ้งไว้ก่อนนะ มาว่ากันถึงหลวงพ่อจง

    เรื่องการให้หวยนี่นะ บรรดาท่านผู้ฟัง พระที่ได้อตีตังสญาณ หรือโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ว่ากันง่ายๆ ก็คือทิพยจักขุญาณ ถ้าได้แล้วนะ เขารู้หวยได้ แต่เขาก็รู้เหมือนกันว่าคนที่มาขอเขาน่ะ จะถูกหรือไม่ถูก จะมีลาภหรือไม่มีลาภ ในเมื่อรู้หวยได้ก็ต้องรู้ใจคนได้ รู้วาสนาบารมีของคนได้ ถ้าคนที่ไม่มีลาภให้ไปตรงๆ เสร็จ พระมีความผิด ถ้าเป็นคนที่มีลาภ ให้ได้ แต่ว่าถ้ารู้ว่าเขาจะเล่นมากเกินไป ก็ต้องให้แบบพลิกแพลง ต้องให้คิด แล้วให้หลายๆ แบบ ต้องไปซื้อหลายๆ แบบ เงินจะได้น้อยลงมา หรือถ้าหากรู้ว่าเขาจะเล่นไม่เกินกำหนดก็ให้ตรงๆ ได้ แล้วก็ถ้าหากว่าท่านสงสัย ว่าพระทำไมถึงไม่เล่นเอง อย่าลืมนะ ว่าการรู้หวยจะต้องตัดโลภะ ความโลภในจิตของตนออก ถ้าตัวเองมีความโลภทะเยอทะยานอยากอยู่ รู้ไม่ได้ แบบเดียวกับคนเห็นทรัพย์ใต้ดินเหมือนกัน ถ้ายังอยากจะขุดทรัพย์ใต้ดินอยู่ ก็ไม่มีทางเห็นได้

    ถ้าหากว่ามีปฏิญาณในใจ มีสัจจะในใจว่าเราจะไม่รบกวนทรัพย์สินของเขา มันอยู่ที่ไหนเราก็จะเห็นได้ตามอัธยาศัย ที่ต้องการจะเห็น บางทีไม่ต้องการจะเห็นก็เห็นเลย เขาก็ชี้อวดเสียด้วยว่ามีทองเท่านั้นมีเงินเท่านั้น มีเพชร มีพลอยเท่านี้ นี่เป็นเรื่องของจิตบริสุทธิ์ เรื่องการเห็นหวยเขาก็เห็นได้ หลักสูตรในพระพุทธศาสนามี

    เคยเห็นลงหนังสือพิมพ์บ้าง พูดกันบ้าว่าถ้าพระรู้หวยจริงๆ แล้วก็จะต้องเรี่ยไรทำไม ทำไมไม่ซื้อหวยเล่นเสียเอง จะได้สร้างวัดให้มันสวย นี่ก็ว่ากันประเภทคนไม่มีความรู้ในเรื่องราวของพระพุทธศาสนาจริง ถ้าจะรู้ก็รู้ตามตำราว่าดะไปยังงั้น ศีล 5 ก็ไม่ครบ สรณาคมน์ก็ไม่ครบ คนประเภทนี้รู้จริงไม่ได้ คนจะรู้จริงได้ต้องเป็นคนมีศีล 5 ครบ มีสรณาคมน์ครบถ้วน แล้วก็มีอะไร มีนิวรณ์ 5 ระงับได้ตามอัธยาศัย สามารถสร้างทิพยจักขุญาณให้ปรากฏ แต่ว่าการจะทำแบบนี้ได้ จิตโลภะ โทสะ โมหะ มันต้องบาง ถ้ายังหนาอยู่ไม่มีทาง ถ้ากิเลสยังท่วมตัวอยู่ เลยหัวไปนิดๆ ไม่มีทางเพราะกิเลสมันทับลูกตา บังลูกตาเสีย เหมือนกับคนเราเอาตัวจมลงไปในดินเลยศีรษะแล้วก็กลบเสียด้วย จะมองเห็นคนเดินบนภาคพื้นดินได้ยังไง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าของเล็กๆ แล้วยิ่งไม่เห็นใหญ่ ข้อนี้มีอุปมาฉันใด คนเราถ้ามีกิเลสเลยศีรษะ มันทับลงมาหมด เหมือนกับดินที่มาทับคนหนาทึบไปหมดจะมองเห็นหวยได้ยังไง

    ตานี้ คนที่จะเห็นหวยได้ก็ต้องเป็นคนดีมีกิเลสบาง จิตนะอาด ไม่มีความโลภ ไม่คิดว่าจะทำลายทรัพย์สินของเขา นี่ว่ากันถึงคนที่รู้จริงนะ แล้วก็รู้ด้วยว่าตัวควรจะซื้อหรือไม่ซื้อ ควรจะเล่นหรือไม่เล่น ถ้าคิดว่าจะเล่น เจ๊ง เพราะความโลภมันเกิด ต่อไปรู้เหมือนกัน รู้ใหม่ คราวนี้รู้ชัดกว่าเก่า แต่กินหมดไม่ตรงตามความเป็นจริง นี่เล่าสู่กันฟัง

    ทีนี้มาว่ากันถึงคนเล่นหวยสีกุก ตาคนนี้แกชื่ออะไรจำไม่ได้ อาตมาเคยเห็นหน้าแก เคยคุยกัน แต่เวลานี้นึกชื่อไม่ออก วันหนึ่งแกไปหาหลวงพ่อจง อาตมานั่งอยู่ที่นั่น ไปกราบๆ บอกขอหวยสัก 3 ตัว บอกตรงๆ เวลานั้นเป็นเดือนเมษา คือเดือน 5 แกบอกว่าเดือน 6 คือเดือนพฤษภาจะบวชลูกชาย แล้วตั้งใจจะซื้อหวยเลขที่หลวงพ่อจงให้ไปสัก 200 บาท บอกราคาเสร็จ บอกว่าจะเอาเงินบวชลูกชาย หลวงพ่อจงบอกให้ก็ไม่เล่น แกบอกว่าเล่นขอรับ ท่านก็บอกว่าเอาเถอะน่า ถึงให้ไปก็ไม่ซื้อหรอกหวยของฉันน่ะ แกไม่ซื้อ แกยังไม่มีลาภ แกก็เลยบอกว่าขอให้หลวงพ่อให้ก็แล้วกันผมต้องซื้อแน่ ท่านก็ยืนยันว่าตาคนนี้ไม่ซื้อ ในที่สุดอาตมาก็ยกมือขึ้นพนม กราบเรียนท่านว่าหลวงพ่อ ให้เขาเถอะขอรับ เขาจะซื้อหรือไม่ซื้อก็เป็นเรื่องของเขา เพราะตั้งใจจะไปทำบุญ ท่านก็มองๆ หน้าอาตมา แล้วบอกให้ได้แต่ไม่ซื้อ คนนี้ยังไม่มีลาภ เขาก็ถามว่าเลขอะไร ท่านก็เลยบอก เขียนให้ก็ได้ ท่านก็เขียนให้สามตัว แล้วท่านบอกไม่ต้องกลับนะ หวยรางวัลที่ 1 คราวนี้ออกตามนี้ ตาคนนั้นได้แล้วก็เอาใส่กระเป๋าไป อาตมาก็ขอลอกเขาไว้ อยากจะรู้ว่าหวยออกจริงตามนั้นไหม

    เมื่อเวลาหวยออกจริงๆ ตรงเป๋งไม่ต้องกลับ แล้วไปฟังข่าวว่าตานั่นแกรวยเท่าไหร่ มีเรือยนต์อยู่ลำหนึ่งชาวบ้านเขาซื้อให้ ก็วิ่งไปหน้าวัดสีกุก พอไปถึงวัด ก็ไปถามพระปลัดเที่ยง ถามว่ารู้จักโยมคนนั้นไหม ท่านบอกว่ารู้จัก ถามว่าบ้านนั้นเขารวยหวยเท่าไรรู้ไหม โดยมากคนที่ถูกล๊อตเตอรี่ใต้ดินมักจะมีข่าวไม่ยาก ประเดี๋ยวเดียวข่าวก็กระจายไปทั่วทุกทิศ เพราะเสมียนผู้จ่ายเขาเป็นคนโฆษณา เพราะเขาจะได้ขายได้คล่องๆ พระปลัดเที่ยงก็บอกว่าถูกที่ไหนล่ะ จะยิงตัวตายถึงกับต้องห้ามกัน ถามว่าทำไมล่ะ ก็ปรากฏตามเรื่องท่านบอกว่า แกไปขอหวยหลวงพ่อจงมา ได้เลขมา 3 ตัว หลวงพ่อจงบอกว่าเล่นไม่ต้องกลับ แต่ว่าที่ไหนได้ เมื่อเวลาหวยออกเข้าจริงๆ เสมียนเขามาจด แกไม่ได้ซื้อหวยของหลวงพ่อจง ลืมเลขไปเล่นหวยอาจารย์อื่นเสียเพลินไป หมดไปหลายร้อยบาท แกเขียนไว้แล้ว เลขของหลวงพ่อจงจะซื้อ 200 บาท แต่ลืมหยิบออกมา พอหวยออกปรากฏว่าแกไม่ถูก ไปเห็นเลขของหลวงพ่อจงเขียนทิ้งไว้ในกระเป๋าไม่ได้ซื้อไปกับเสมียนผู้จด เสียใจ วิ่งเข้าห้อง คว้าปืนจะยิงตัวเอง ชาวบ้านต้องห้ามกันถึงเอาปืนไปเก็บไว้ เวลานี้ก็ต้องมีคนคุม ไม่กล้าห่างแก เกรงว่าจะทำลายชีวิตตัวเอง

    นี่แหละท่านผู้ฟัง ไอ้เรื่องหวยเรื่อลาภน่ะมันเป็นยังงี้นา กฎของความเป็นจริงมันมี คนที่ไม่มีลาภมันก็ไม่เล่นหรอก ของดีไม่เอาเขาไม่ชอบกัน แต่คนที่มีลาภจริงๆ ถึงแม้ไปพบอุจจาระเข้าก็ยังคิดเป็นหวยได้เลย

    นี่จะพูดให้ฟัง เมื่อปี พ.ศ. 2497 หรือ 98 นี่ อาตมาจำไม่ได้นะ ไปเที่ยวที่จังหวัดสมุทรสาคร อำเภอบ้านแพร้ว ดูเหมือนว่าจะเป็นตำบลโรงเข้ มีเจ้าเด็กหนุ่มๆ 2 คน เข้ามาหาแล้วมาขอหวย ถามว่าหลวงพ่อขอรับมีหวยไหม ผมขอสัก 3 ตัว หรือ 2 ตัวก็เอา ก็เลยบอกแกว่าฉันไม่รู้หรอกเรื่องหวยนี่น่ะ เรื่องหวยนี่ฉันไม่พยายามรู้จริงๆ เพราะถ้ารู้แล้วมันยุ่ง เวลานี้ไม่รู้ เมื่อก่อนนี้เคยรู้เหมือนกัน แต่ว่ารู้แล้วไอ้คนเล่นมันเสียสัจจะ ก็เลยไม่กล้ารู้ต่อไป แล้วอีกประการหนึ่งถ้ารู้หวยเข้าแล้วไม่ได้หลับไม่ได้นอนหาความสุขไม่ได้ คนไปคนมาไม่มีเวลา ดึกๆ ดื่นๆ ก็มาหาพระ ฉันร่างกายไม่ดีก็เลยเลิกรู้เสีย ไม่รู้เสียแล้วมันสบายใจ

    ในเมื่อแกผิดหวัง แกก็ทำหน้าเสีย ถามว่าผมจะทำยังไง นึกว่าจะได้ลาภจากหลวงพ่อ ก็เลยบอกแกว่า ทางราชบุรีน่ะ วัดจุฬาเขาให้หวยเป็นปกติ ใครอยากจะรวยก็ไปขอท่านก็แล้วกัน เลขตัวท้ายน่ะท่านให้ตรงทุกทีนะ ตัวที่อยู่ท้ายสุด แต่ตัวอื่นไม่แน่นักว่าจะตรง ถ้าหากว่าเธอเล่นตัวเดียวละ ได้ทุกงวด ถ้าเป็นคนฉลาด เจ้าเด็ก 2 คนก็ลาไป หลังจะไปวัดจุฬา แต่ว่าเดินออกจากบ้านไปไม่นานนัก ไม่ถึงกิโล เจ้าคนหนึ่งไปเห็นอุจจาระซึ่งชาวบ้านเขามาถ่ายใหม่ๆ แล้วก็มีไม้ชำระอยู่ 3 อัน เขาก็ยืนมองก้อนอุจจาระกับไม้ชำระ เจ้าเพื่อนเดินเลยไปแล้วเดินเลยไป เห็นเจ้าเพื่อนคนนี้ยังไม่ไป ก็เดินกลับมาถามว่า เฮ้ยทำไมไม่ไปเล่า เพื่อนก็เลยเรียกเข้ามา บอกว่านี่ไง ข้าเจอะหวยแล้วว่ะ เจ้าเพื่อนก็เดินเข้ามาถามว่าอะไร ก็ชี้ให้ดูอุจจาระกับไม้ 3 อัน เฮ้ย นี่แหละหวย เพื่อนก็ว่าไอ้บ้า นั่นมันขี้นี่หว่า ขี้คนเขาขี้ไปใหม่ๆ เห็นเป็นหวยไปได้ ไอ้เจ้านั่นก็ยังบอก เอ้ย นี่แหละหวยละ ข้าได้แล้วละ ข้าไม่ไปแล้วโว้ยวัดจุฬา ข้าจะเอา 1, 3 ไปเล่น 13 หรือ 31 แล้วคนขี้นี่ก้นมันอยู่ข้างล่าง ไอ้ 2 ตัวนี่มันต้องออกข้างล่าง เขาว่ายังงั้น

    ไอ้เจ้าเพื่อนก็ด่าเอา บอกเอ๊ นี่มันบ้ามากไปเสียแล้วโว้ย ขี้แท้ๆ เห็นเป็นหวยไปได้ เจ้านั่นก็บอกว่าช่างข้าเถอะ เอ็งจะหาว่าข้าบ้าข้าบอยังไงข้าก็ไม่ว่าละ ข้าได้แล้วข้าไม่ไปละ เอ็งอยากไปวัดจุฬาเอ็งก็ไป ข้าไม่ไปละ ข้าจะเอาหนึ่งสาม สามหนึ่งนี่ ไปเล่น เป็นอันว่าเจ้านั่นไม่ไปจริงๆ

    แต่ว่าเพื่อนอีกคนหนึ่งไป ไม่เชื่อ ไปถึงวัดจุฬาท่านก็ให้มา 3 ตัว แล้วพอดีมีเลข 3 ห้อยอยู่ข้างหลัง แต่เลขข้างหน้า 2 ตัวไม่รู้ว่าเป็นเลขอะไรไม่ตรงกับหวย เขาได้มาก็เอามาให้อาตมาดู ว่าหลวงพ่อวัดจุฬาให้แบบนี้ ก็เลยขี้ให้เขาดูว่าไอ้เลขตัวห้อยท้ายสุดน่ะเคยออก วัดจุฬาเคยให้ทุกงวดถูกทุกที อีก 2 ตัวข้างหน้านี่ท่านไม่มีเจตนาจะให้ โดยมากมักเขียนผิดๆ เข้าไว้ แต่ว่าเลข 3 คราวนี้อยู่หลังแน่ท่านเขียนไว้ห้อยท้าย ตัวต่อไปจะเป็นเลขอะไรแกไม่รู้ ตัวกลางกับตัวหน้า ก็พอดีเจ้าคนนั้นมา เพื่อนเขาก็บอกว่าไอ้นี่มันไม่ได้ไปกับผมหรอกครับ มันไปเห็นก้อนขี้มีไม้ 3 อัน มันหาว่าเป็นหวย ก็เลยถามเจ้าคนมาทีหลังบอกว่า เอ็งเห็นก้อนอุจจาระน่ะ ไอ้ก้อนขี้น่ะเอ็งคิดว่ามันเป็นเลขอะไร มันว่าผมเห็นว่าเป็นก้อนเดียวครับเลยคิดว่าเป็นเลข 1 แล้วไม้ 3 อันคิดว่าเป็นเลข 3 ก็บอกว่าดีแล้ว เลข 3 คงจะมีแน่ เพราะว่าวัดจุฬาให้มาเลข 3 อยู่ท้าย เอ็งก็เอาเลข 1 ของเอ็งวางไว้ข้างหน้าก็แล้วกัน เล่นแค่ 2 ตัว อย่าเล่นมาก ถ้าเล่นมากมันจะกิน ถ้าเล่นน้อยมันจะกินหรือไม่กินก็ไม่รู้ แต่เลข 3 คงจะมีแน่ เพราะท่านวัดจุฬาท่านให้ไม่เคยผิดตัวท้าย ความจริงท่านรู้ทุกตัว เป็นอันว่างวดนั้นเจ้านั่นเล่น 13 เล่นไป 200 บาท แล้วเจ้าเพื่อนนั้นไม่ยอมเล่น 3 น่ะ มีแต่เล่นตามเลขของวัดจุฬา

    เมื่อเวลาล๊อตเตอรี่ออกจริงๆ เลขท้ายรางวัลที่ 1 สองตัวท้ายมีเลข 13 เป็นอันว่าหลวงพ่อขี้หรือหลวงพ่ออุจจาระให้หวยแม่น สำหรับท่านวัดจุฬาท่านก็ให้แม่นเหมือนกัน แต่ว่าท่านให้ตัวเดียว ประวัติของท่านวัดจุฬาน่ะเคยล้มเจ้ามือมาแล้ว เพราะท่านให้แบบนี้แหละ ให้แบบผิดๆ เรื่อยมา ใครไปขอท่านก็ให้ส่งเดช แต่ว่าตัวท้ายห้อยถูกเสมอ มีคราวหนึ่ง ท่านมาเป็นอุปัชฌาย์บวชพระที่ดำเนินสะดวก เห็นจะเป็นวัดโชติยาราม เวลาท่านออกจากโบสถ์มีเจ้ามือไปหาท่านยกมือไหว้ บอกว่าหลวงพ่อขอรับ หลวงพ่ออย่าให้หวยเลยขอรับ ผมจะแย่เสียแล้ว ลูกศิษย์หลวงพ่อเล่นหวยถูก ผมเกือบจะจ่ายไม่ไหวอยู่แล้ว แต่ความจริงไม่มีใครถูก ท่านก็เอามือป้องหน้า เรียกชื่อว่า เจ้านั่นใช่ไหม ไม่ออกชื่อนะ เวลานี้เขายังมีชีวิตอยู่เป็นคนใหญ่โต เรียกว่าเป็นคนกว้างขวาง มีลูกน้องมาก ฐานะดี ถามว่าเจ้านี่ใช่ไหม เขาก็บอกว่าใช่ บอก เออ ถ้ายังงั้นละก้อพรรษานี้ข้าขอ 2 ครั้งนะ แล้วเอ็งอย่าไปว่าข้านะ ข้าต้องขอ 2 ครั้ง ในเมื่อเอ็งมาเยาะเย้ยข้าอย่างนี้นี่ ไม่เป็นไร ต่อแต่นี่ไปในพรรษานี้แหละ ตั้งแต่วันเข้าพรรษาถึงออกพรรษาขอ 2 ครั้ง ตั้งท่าไว้ให้ดีนะ เขาก็ยิ้ม เพราะไม่เคยถูก คนไปขอหวยจากท่านไม่เคยถูกเลย

    พอกลับไป วันเข้าพรรษา ท่านก็เอากระดานแผ่นใหญ่ทาสีดำ แล้วเขียนเลขตัวเบ้อเร่อเชียว ขาวขนาดสักศอก 3 ตัว เอาไว้ที่ศาลาการเปรียญห้อยเอาไว้ เวลาใครเขาไปขอหวย ท่านก็บอก งวดนี้ฉันไม่รู้หรอกฉันให้ใครไม่ได้ แกไปขอกับศาลาการเปรียญเขาก็แล้วกัน ถ้าเขาให้ได้แกก็เอาไปเหอะ ถ้าเขาให้ไม่ได้แกก็อย่าเอา ถ้าเขาให้ได้ก็ถูกตรง ไม่ต้องกลับ ถ้าเขาให้ไม่ได้ก็เป็นกรรมของแก คนทุกคนก็เฮกันไปที่ศาลาการเปรียญเพราะทราบข่าวอยู่แล้วว่า

    หลวงพ่อจะจัดการกับเจ้ามือสัก 2 งวด เขาก็คิดว่ายังไงไอ้ 2 งวดนี้ต้องเอาทุนคืนให้ได้ ทุกคนไปท่านก็บอกแบบนั้น งวดนั้นเจ้ามือจ่ายเท่าไรรู้ไหม ขอลดลงมาจ่ายบาทละ 16 บาท ในที่สุดระหว่างเจ้ามือกับคนเล่น เสมียนกับคนเล่น ตีกันหลายวาระ เพราะเวลากินกินเขาเต็ม เวลาถูกจะมาขอลด บาทละ 600 บาท ขอลดเป็นบาทละ 16 บาท ล่อเสีย 500 กว่า ตีกันหลายรอบ

    นี่ไอ้เรื่องพระที่ท่านรู้จริงๆ น่ะมี แล้วกลางๆ พรรษาท่านล่อแบบนั้นเข้าอีกครั้ง เจ้ามือไปขอร้องท่าน ท่านบอกไม่ได้หรอก ฉันบอกแล้วนี่ฉันขอ 2 งวด ยังไงๆ แนก็ต้องบอกให้เขาถูกกันให้ได้ 2 งวด ถ้าแกเกรงว่าเขาจะถูกแกก็เลิกเป็นเจ้ามือไป

    นี่พระที่ท่านรู้จริงๆ น่ะมีแต่ว่าท่านที่เคยวินิจฉัยว่าพระรู้ไม่ได้นี่ก็สงสัยเหมือนกัน คงจะไม่ได้ศึกษาวิชาหลักสูตรของพระพุทธศาสนาครบถ้วน ท่านที่ทรงวิชชาสาม อภิญญา 6 ปฏิสัมภิทาญาณ พวกนี้รู้ได้จริงๆ แต่ว่าถ้าเรารู้กันแต่ตำราละก็เจ๊งละ เก่งพระพุทธศาสนาเพียงแค่ตำราอย่างเดียว เปิดหนังสือเล่มโน้น เปิดหนังสือเล่มนี้ เวลาจะคุยละก็อ้างหนังสือกันเป็นสำคัญ แล้วมันจะเข้าถึงพระพุทธศาสนาได้ยังไง เรารู้เรื่องของต่างประเทศทุกประเทศ แต่ไม่เคยไปประเทศนั้นเลย แล้วเราจะรู้ความเป็นจริงได้ยังไง นี่ซีนะ ลองวินิจฉัยกันดูก็แล้วกัน เอ้า เรื่องนี้ผ่านไป

    ______________________________________
    38. ผีวัดช่างเหล็ก

    เห็นหัวข้อเรื่องเขียนไว้ว่าผีวัดช่างเหล็ก คือเรื่องราวเป็นอย่างงี้
    วัดช่างเหล็กนี่น่ะ ก็อยู่เขตอำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ถ้าเราวิ่งเรือตามกระแสน้ำไปทางจังหวัดพระนคร จะอยู่ใต้จากหลวงพ่อจงไปไม่มากนัก

    วัดช่างเหล็กวันนั้นเขาจะรื้อกุฏิหลังหนึ่งเป็นกุฏิเก่าแข็งแรงมากยาว 9 ห้อง แต่ว่าเป็นกุฏิเก่าๆ ประตูหน้าต่างก็ไม่กว้าง อากาศก็ไม่ดี สมภารเขาจะรื้อแล้วจะทำใหม่ ก็ตั้งท่ารื้อกันตั้งแต่ตอนเช้าพระฉันข้าวเสร็จก็นั่ง ทำพะองขึ้นไปก่อน ทำนั่งร้านขึ้นไปเพื่อขึ้นหลังคา กำลังจะรื้อกระเบื้อง ความจริงพึ่งจะรื้อกระเบื้องได้แถบเดียว หรือยังไม่เต็มแถบดีก็ไม่ทราบ มันหลายคนด้วยกัน พระด้วยฆราวาสด้วย ก็พักถึงเวลาเพล ฉันเพลเสร็จเรียบร้อยแล้วเจ้าอาวาสก็สั่งพระพัก ว่าสักบ่ายโมงค่อยทำ ไปนั่งฉันน้ำร้อนน้ำชากันในโบสถ์ระหว่างนั้น

    ปรากฏว่ามีลมพัดมา เสียงลมอู้ แล้วก็ด้านหลังวัดมีกอไผ่มาก เหลียวไปดูที่ไหน ความจริงไม่ใช่ลม มันเป็นเสียงควงกระบองของผีน่ะ กลางวันนะ เวลากลางวันปรากฏผีตัวใหญ่สูงกว่ายอดไผ่ เดินข้ามยอดไผ่มา เข้ามาถึงบริเวณนั่งร้านที่เขากำลังรื้อหลังคา มาถึงกระชากๆ นั่งร้านพังหมดเสร็จแล้วก็เดินกรายมาทางโบสถ์ ทั้งพระทั้งฆราวาสทั้งลูกวัดทั้งสมภาร บอกว่าเกือบไม่หายใจ กลัวตกใจเกือบช๊อคตาย แกเดินไปเดินมาเดินมาเดินไปแล้วก็เดินหายไป กลางวันแท้ๆ นะ

    พอเรื่องราวผ่านไปทุกคนไม่กล้าขึ้นกุฏิแล้ว ลงเรือข้ามฟากมาหาหลวงพ่อจง พอดีวันนั้นอาตมานั่งอยู่ที่นั่นพอดี เพราะไปหาหลวงพ่อจงบ่อย ถ้าหากว่ามีธุระอะไรก็ท่านมักจะให้คนมาตาม ถามว่ามีธุระไหม ถ้าไม่มีธุระกลางวันให้ไปคุยกันแล้วความจริงคุยกับท่านก็ได้ประโยชน์มาก เพราะผลของการปฏิบัติ หลวงพ่อจงปฏิบัติพระกรรมฐานได้ดีมาก ท่านแนะนำอะไรบ้างตามสมควรในจุดที่สำคัญๆ พูดถึงอารมณ์ของจิต ก็มีประโยชน์ แต่เรื่องนั้นไม่นำมาพูดในที่นี้ พอเขาไปกันเขาก็ไปไหว้หลวงพ่อจง เล่าเหตุการณ์ให้ฟัง

    หลวงพ่อจงก็ชี้มา บอก ถามท่านมหาเขาดูซิว่าผีมีไหม เขาก็หันหน้ามามอง ความจริงเจ้าอาวาสวัดช่างเหล็กก็ชอบกัน ก็เลยบอกว่าเรื่องผีนี่ผมโดนมาจนเข็ดแล้วขอรับ หลวงพ่อปานเคยสั่งว่าอย่าอวดเก่งกับผีอย่าอวดดีกับพระ ไอ้นี้เรื่องจริงครับ ไม่ไหวถ้าผีจะให้ผมสู้ผมไม่สู้แน่ ถ้าผีเล็กยอมสู้ ผีใหญ่สู้ไม่ได้ เขาก็เลยถามว่า ผีตัวโตๆ แบบนั้นเป็นแบบอะไร ก็เลยบอกว่าถ้าไม่ใช่ยักษ์ก็เป็นกุมภัณฑ์ ท่านเวลาที่จะรื้อกุฏิคงไม่ได้บอกเจ้าของเขาก่อนกระมัง เขาก็เลยบอกว่าไม่ได้บอก เห็นมันเก่าก็อยากจะรื้อซ่อมแซม แล้วจะทำ ก็เลยบอกว่าไอ้ของนี่เรารื้อได้ แต่หากว่าเจ้าของเดิมเขายังหวงแหนอยู่ เขาอาจจะไม่ยอมให้รื้อ หรือถ้าอยากจะรู้อย่างชนิดที่เรียกว่าไม่มีใครขัดคอก็เคยเห็นหลวงพ่อปานบวงสรวงก่อนเสมอว่าเจ้าของจะให้หรือไม่ให้ ถ้าให้ท่านก็รื้อ ไม่ให้ท่านก็ไม่รื้อ

    หลวงพ่อจงก็เลยบอกว่า นั่นเป็นความจริงผีที่มาเป็นยักษ์ลูกศิษย์ท้าวเวสสุวรรณ เขาก็ถามว่า ทำยังไงถึงจะรื้อได้ หลวงพ่อก็บอกว่าให้ไปตั้งศาลเพียงตาบอกเขาเสียก่อน บอกเขาให้รู้เรื่องว่าเราจะทำอะไร ถ้ารื้อมาแล้วต้องทำให้ดีกว่าเก่านะ จะไปยุบของเขาให้เล็กไม่ได้นะ กุฏิหลังนั้นยังแข็งแรงอยู่ ไม้ไร่ยังดี ต้องทำให้สวยกว่าเก่าดีกว่าเก่าแข็งแรงเท่าเดิมหรือยิ่งกว่านั้น อย่าไปหากำไรจากการรื้อเอาไม้เอาไร่เขามาขาย ไม่ได้นะ เขาก็รับรองแล้วเขาก็เลยนิมนต์หลวงพ่อจงให้ไปบวงสรวง หลวงพ่อจงก็ชวนอาตมาไป ก็ไปด้วยกัน

    พอไปถึงแล้วเวลาหลวงพ่อจงท่านก็ถามว่าจะทำยังไงดีล่ะ ไอ้ฉันเสียงมันก็ไม่มี ก็เลยบอกว่าเอางี้ก็แล้วกันขอรับ บวงสรวงผมทำได้ แต่ว่าหลวงพ่อนั่งเป็นประธาน การตกลงกับเขาเป็นเรื่องของหลวงพ่อจง แต่ว่าการบวงสรวงเชิญมาเป็นเรื่องของผม ดีไหม ท่านบอกว่าดี ก็เลยตั้งพิธีบวงสรวงกัน

    ขณะที่บวงสรวงนั่นเอง ความจริงตอนนี้ไม่ได้เล่าให้ใครฟังนะ ก็ปรากฏว่าท่านผู้ใหญ่ 4 ท่าน ใหญ่เท่าที่เคยมา ปรากฏกายขึ้น 4 องค์ ตานี้หลวงพ่อจงนั่งอยู่ที่โต๊ะ ตัวของเขามันสูงมากเลยศาลา หัวนะ นี่ทำให้ปรากฏแก่คนทุกคนหมด คนทุกคนเห็นกันหมด โดยเฉพาะเจ้าวัดกับทายกที่รื้อกุฏิถึงกับนั่งก้มหน้านิ่งเห็นจะคร้ามกระบอง แต่ละท่านมีกระบองเหมือนกับพลองลูกเสือ ปรากฏชัด นั่นเป็นอานุภาพของหลวงพ่อจงนะ หลวงพ่อจงท่านทำให้เห็น หลวงพ่อจงนี่เป็นพระอภิญญา แค่ลำพังอาตมาละก็เจ๊งละ ไม่มีทาง เห็นคนเดียวเห็นได้ คนอื่นเห็นด้วยไม่ได้

    พอเสร็จแล้ว หลวงพ่อจงก็ถามให้เขาตอบ หัวหน้าเขาก็ตอบว่าการทำอ่ะไรไม่ได้ปรึกษาหารือแล้วที่จะทำนี่นะ ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ดีกว่าเดิมหรอก ทำให้เลวกว่าเดิม จะยุบลงเป็นหลังเล็กๆ ไม้ของสงฆ์ก็จะเหลือแล้วในที่สุดก็จะทอดทิ้งไป หรือเอาเข้าบ้านเข้าช่องไป จึงไม่ต้องการให้รื้อ ถ้าหากว่าต้องการจะทำให้ดีกว่าเก่าใหญ่เท่าเก่า อย่างงี้ทำได้ รื้อได้ ถ้าหากไม่ปฏิบัติตามนั้นเป็นอันว่า คนทุกคนที่รื้อหรือที่จัดการก็ต้องถึงกับทุพพลภาพทุกคน แต่ไม่ถึงตาย เรื่องนี้หลวงพ่อจงก็หันมาถามเจ้าอาวาสกับทายก ทุกคนยกมือขึ้นพนม รับปากว่าจะทำตามนั้น นี่เป็นอันว่าเรื่องของวัดช่างเหล็กก็ขอผ่านไป

    นี่เล่าให้ฟังนะ เชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ ไม่ได้ว่าอะไร

    ______________________________________

    39. ผีวัดไทรใหญ่

    ทีนี้มาคุยกันถึงวัดไทรใหญ่ วัดไทรใหญ่นี่อาตมาจำไม่ได้นะ ว่าเป็น พ.ศ. เท่าไหร่ ปีนั้นเขาฝังลูกนิมิต เขานิมนต์ไป เอารูปหล่อหลวงพ่อปานไป แล้วก็นิมนต์หลวงพ่อจงไป แล้วก็มีอาจารย์เกิด แกไปหุงน้ำมัน อยู่จังหวัดนนทบุรี ไปหุงน้ำมันแจก แกคุยว่าน้ำมันของแกเดือนแล้วไม่ร้อน ความจริงเครื่องสมุนไพรมันค่อนกระทะ ตามปกติเท่าที่เคยสังเกต ถ้ามีสมุนไพรมากๆ ไอ้เจ้าน้ำมันนี่มันเดือดง่าย ไม่ทันจะร้อนเท่าไรก็มีเดือดปุดๆ ถ้าเราเอามือจุ่มลงไปละก็มันจะเพียงแค่อุ่นๆ ร้อนไม่มาก แต่ห้ามเอามือถูกก้นกระทะ ก้นกระทะมันจะร้อนมาก แต่ว่าท่านว่ามันเป็นวิชาการของท่าน ก็เป็นเรื่องของท่านไป

    ขณะที่เขานิมนต์ไป เอารูปหล่อของหลวงพ่อปานไปตั้งไว้ มีคนไปปิดทอง ปีนั้นปรากฏว่าได้เงินหมื่นแปดพันบาท กว่าจะหมดเวลา นี่รูปหล่อหลวงพ่อปานนะ หลวงพ่อจงนั่งลงนะหน้าทอง ก็ได้เงินหมื่นแปดพันเหมือนกัน ได้เท่ากัน หลวงพ่อจงหัวเราะชอบใจใหญ่ บอกว่าหลวงพ่อปานนั่งเฉยๆ ไม่ต้องทำอะไรก็ได้หมื่นแปดพันบาท ฉันลงนะหน้าทองเกือบตาย ได้หมื่นแปดพัน ฉันสู้หลวงพ่อปานไม่ได้ ท่านว่ายังงั้น

    ทีนี้ ในระหว่างที่พักอยู่ด้วยกัน เขาให้อยู่กุฏิ 2 ชั้น อยู่ชั้นสอง คืนหนึ่งอาตมานอนตื่นขึ้นประมาณตีสอง งานเขาก็เงียบไปแล้ว ลิเกละครก็เลิกหมดแล้ว ไฟฟ้าจุดสว่างก็เดินไปส้วม ส้วมอยู่ไกลกุฏิสักหน่อย ผ่านหน้ากุฏิร้างหลังหนึ่งไป ความจริงเป็นกุฏิสะอาดสวยและเป็นกุฏิใหม่ แต่ไม่รู้ว่าร้าง ขณะขาเดินไปก็ไม่มีอะไร

    ขากลับมาทั้งๆ ที่ไฟฟ้าสว่าง ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องครวญครางคล้ายกับเจ็บหนักอยู่ในกุฏิ ก็เดินเข้าไปดูเห็นกุฏิใส่กุญแจพอไปถึงหน้าประตู เสียงนั้นก็เงียบไป แต่พอถอยห่างออกมาเสียงนั้นก็ครางอีกเป็นเสียงผู้หญิง เห็นกุฏิใส่กุญแจก็นึกในใจว่าเอ๊ะใครมันจะเอาผู้หญิงมาทำมิดีมิร้ายในนี้กระมัง คนเลวๆ ก็มีอยู่เหมือนกัน เห็นกุฏิพระว่างๆ อาจจะทำปู้ยี่ปู้ยำก็ได้ ก็เลยหาทางเข้า เดินไปดูรอบๆ นอกเห็นหน้าต่างเปิดอยู่บานหนึ่ง ก็เลยเอาไม้พาดปีนขึ้นไปดูบนหน้าต่างแล้วก็เข้าไปในห้องนั้น ปรากฏว่าไม่มีอะไรเลย หาคนสักคนก็ไม่มี สิ่งที่มีชีวิตไม่มี ของที่มีค่าก็ไม่มี เป็นกุฏิว่าง ก็สงสัยว่าเอ๊ กุฏิว่างอยู่ทั้งหลัง มีงานใหญ่ๆ แบบนี้น่าจะจัดให้คนพัก ทำไมเจ้าอาวาสไม่จัดให้คนพัก ก็นึกสงสัยอยู่เหมือนกัน

    ทีนี้เมื่อลงมาห่างกุฏิ ได้ยินเสียงครางอีก ก็เลยเข้าใจว่าอีคราวนี้ไม่ใช่คนแน่ ผีแน่ ก็เลยไม่สนใจ เดินกลับมาที่นอนพอขึ้นไปถึงชั้นบนปรากฏว่าหลวงพ่อจงตื่นขึ้นแล้ว ลุกขึ้นมานั่งคอย พอขึ้นไปท่านก็ถามว่านี่ เมื่อกี้นี่พบนักเลงโตใช่ไหม ก็ถามว่าอะไรขอรับหลวงพ่อ เมื่อกี้นี้ได้ยินเสียงผู้หญิงร้อง ใช่ไหม ความจริงกุฏินั่นอยู่ไกลกันมากนะ แกร้องไม่ดังนัก ถ้าจะคิดว่าหลวงพ่อจงได้ยินละ ไม่ได้ยินแน่ แต่ว่าท่านรู้และท่านได้ยิน ก็เลยบอกว่า ขอรับได้ยินเสียงผู้หญิงร้อง กระผมเข้าไปดูแล้วขอรับ ไม่เห็นมีผู้หญิง ผู้ชายก็ไม่มีผู้หญิงก็ไม่มี คนก็ไม่มี กุฏิใส่กุญแจ แต่ว่าหน้าต่างเปิดไฟฟ้าสว่าง ถ้าบังเอิญคนจะลงไปผมต้องเห็น พอผมเห็นกุฏิใส่กุญแจผมก็เดินออกมา ยังได้ยินเสียงครางอยู่ เดินอ้อมไปทางหลัง ถ้าเขาจะลงตอนนั้นผมต้องเห็นแน่ เพราะไฟฟ้าสว่าง

    ท่านก็บอกว่าดูไม่พบหรอก เพราะว่าคนที่ร้องนั่นไม่ใช่คนเป็นนางไม้ กุฏินั้นก็มีเสาตกน้ำมันไม่มีพระกล้าอยู่ เขากลัวกัน ก็เลยถามว่าหลวงพ่อทราบได้ยังไง ท่านก็เลยบอกว่าเมื่อกี้นี้เธอไปส้วม ฉันก็เลยตามไปด้วย ก็เลยสงสัยไม่เห็นท่านตามไปสักนิดหนึ่ง เห็นท่านนอนหลับสนิท แต่ความจริงอาจจะไม่หลับก็ได้ หลับตาไว้ แต่ไอ้ตอนเดินตามนี่ไม่มีแน่ ก็เลยกราบเรียนท่านว่าหลวงพ่อตามผมไปยังไงขอรับ ผมเห็นหลวงพ่อนอนอยู่นี่ แล้วก็ไฟฟ้าสว่างคนทั้งคนถ้าตามผมไปผมต้องเห็นท่านก็บอกว่าฉันไม่ได้เอาตัวไปหรอก ฉันเอาใจไป ฉันเอาใจตามเธอไป ฉันจึงรู้เรื่อง ก็เลยกราบเรียนถามท่านว่า เรื่องเสาตกน้ำมันนี่จะแก้ไขได้ไหม ท่านบอก ไม่ยากเป็นของไม่ยาก แต่ว่าเจ้าวัดเขาโง่ ปล่อยให้กุฏิร้างเฉยๆ ได้ ทำเสียนิดเดียว รับรองเขาเสียหน่อยเดียว พูดกันให้รู้เรื่องพระเจ้าก็จะอยู่อย่างเป็นสุข ถ้าใครปฏิบัติชอบเขาอาจจะสนับสนุนให้รวยก็ได้

    เอาละเรื่องนี้ผ่านไปนะ เท่านี้แหละ ไม่วิพากษ์วิจารณ์อะไรเล่าสู่กันฟัง

    ______________________________________

    40. หลวงพ่อจงเดินไปวัดบางนมโค

    ในสมัยที่หลวงพ่อปานมีชีวิตอยู่ วันนั้นท่านจะทำงานอะไรอาตมาจำไม่ได้ ดูเหมือนว่าจะฉลองศาลา เป็นงานใหญ่มาก งานที่หลวงพ่อปานจัดไม่มีมหรสพ ปี่พาทย์ก็ไม่มี ท่านบอกว่าท่านหนวกหู แล้วพระอื่นก็มาหมดแล้ว ถึงเวลาบ่าย 3 โมงเย็น พระมาหมด เวลาที่จะลงมือสวดมนต์เย็นก็ประมาณบ่ายสี่โมง หลวงพ่อจงยังไม่มา ท่านก็ให้อาตมาไปตาม นายปั๋งเป็นคนญวนเข้ามารับอาสาเอาเรือเร็วให้นั่งไป เขาเป็นคนขับ เมื่อไปถึงหลวงพ่อจงปรากฏว่าหลวงพ่อจงกำลังจะรดน้ำมนต์ผู้ชาย 5 คน อยู่ที่วัดก็ขึ้นไป เรียนท่านว่า เวลานี้พระที่สวดมนต์เย็นมาครบแล้วครับ หลวงพ่อปานให้มาตาม ท่านก็บอกว่าประเดี๋ยวก่อน ฉันรดน้ำมนต์ก่อนเดี๋ยวฉันไปทัน ก็เลยกราบเรียนถามว่าหลวงพ่อไปเรือจ้างน่ะ ช้าครับ กระผมเอาเรือเร็วมารับ ท่านก็บอกไม่ต้องหรอก ฉันจะเดินไป เรือมันช้ากว่าเดิน

    แหมแต่ความจริงไปทางเรือไกลกว่าทางเดินประมาณครึ่งเท่า แต่ว่าถ้าจะเดินจริงๆ จากวัดบางนมโคไปวัดหน้าต่างนี้ประมาณ 4 กิโล แล้วเรือวิ่งประมาณ 10 นาทีเศษๆ เดินถ้าเดินจริงๆ ก็ถึงชั่วโมง หรือเกือบชั่วโมง เพราะไม่ใช่มีทาง ต้องเดินลัดทุ่ง เดินไม่ถนัดนัก ท่านก็บอกว่าไม่ไปเรือมันช้า ฉันจะเดิน ก็บอกว่าเรือเร็วขอรับ ท่านบอกว่าเร็วก็สู้ฉันเดินไม่ได้ ไปก่อน ในที่สุดท่านก็ขับให้มา เมื่อท่านขับให้มาก็ต้องกลับ เมื่อกลับมาถึงวัดบางนมโค แล้วก็ขึ้นไปกราบเรียนหลวงพ่อปานบอกว่า หลวงพ่อจงท่านกำลังจะรดน้ำมนต์คนอยู่ นิมนต์ให้ท่านมาเรือท่านก็ไม่มา ท่านจะเดินมา อีกสักครู่ท่านคงจะมาถึง หรืออาจจะเย็นหน่อย เพราะต้องเดินลัดทุ่งมา

    พอหลวงพ่อปานฟังก็ยิ้ม หัวเราะชอบใจ บอกว่านี่เจ้าลิงดำ หลวงพ่อจงเล่นตลกกับแกเสียแล้วละ แกไปดูบนศาลาซิ ก็เลยกราบท่านแล้วขึ้นไปดูบนศาลา ปรากฏว่าหลวงพ่อจงนั่งอยู่หน้าอาสนสงฆ์ นั่งอยู่หน้าพระองค์อื่นทั้งหมด เพราะท่านมีอาวุโสมาก พวกพระครูพระราชาคณะที่ไปในที่นั้น ไม่มีใครนั่งหน้าหลวงพ่อจง เพราะถืออาวุโสเป็นสำคัญ เว้นไว้แต่เข้าวัง เขาถือพัด พัดยศ ถือยศเป็นสำคัญ แต่ข้างนอกนี่เขาไม่ถือยศเป็นสำคัญ เขาถืออาวุโสเป็นสำคัญ

    ไปถึงก็กราบๆ ท่านถามว่ามาถึงนานแล้วรึ ก็กราบเรียนท่านว่าพึ่งมาถึงขอรับ ไปหาหลวงพ่อปานสักสองนาทีก็มานี่ ท่านก็เลยบอกว่าฉันบอกแล้วไงล่ะ ว่าไอ้เรือน่ะมันช้ากว่าฉันเดิน เลยมานั่งสงสัยว่าหลวงพ่อจงนี่เดินยังไง คนหนุ่มๆ ยังเดินตั้งชั่วโมง หลวงพ่อจงเดินแบบไหน นั่งเรือไม่ถึง 15 นาที แล้วหลวงพ่อจงก็กำลังจะรดน้ำมนต์เขา ยังไม่ทันจะรดเลย ขณะที่มากำลังทำน้ำมนต์อยู่ กำลังจะรด แต่ว่านั่งเรือเร็วมาท่านมาถึงก่อน นี่แปลกใจ กำลังนั่งคิดอยู่ท่านถามว่าแปลกใจรึ ก็บอกว่าแปลกใจขอรับ

    ท่านบอกว่ามีอะไรแปลก พระในพระพุทธศาสนาถ้าปฏิบัติไปถึงขั้นเดินเก่งละมันเดินเก่งทุกคนแหละ ถ้าปฏิบัติไม่ถึงมันก็ยังเดินไม่เก่ง

    เรื่องนี้ขอผ่านไป เรื่องของหลวงพ่อจงที่รู้ๆ มามีมาก แต่เอาแค่หอมปากหอมคอ เอาอีกเรื่องเดียวจบกัน

    ______________________________________

    41. เฝ้าเรือ

    วันหนึ่งหลวงพ่อจงท่านเดินอยู่บริเวณท่าน้ำหน้าวัด แล้วก็มีกระทาชายนายหนึ่งไม่ทราบว่าเป็นใคร เอาเรือไปจอด แกไปด้วยกัน 2 คน แกไปธุระหาเพื่อนใกล้ๆ วัด พอแกไปถึงแกก็ยกมือไหว้ บอกว่าหลวงพ่อขอรับ นี่ผมจะไปธุระบ้านโน้นสักครู่หนึ่ง เรือจะต้องจอดที่นี่ เพราะบ้านนั้นเขาอยู่หลังวัดออกไปอยู่กลางทุ่ง กระผมขอฝากเรือหลวงพ่อด้วยนะ ขอรับ ท่านก็รับคำ รับเฝ้าเรือให้เขา แต่ว่าพ่อกระทาชาย 2 นายนั้นแกไปเวลาเท่าไรก็ไม่ทราบ แกจะคิดหรือเปล่าก็ไม่ทราบว่าเวลานี้แกใช้พระอริยเจ้าเฝ้าเรือ ก็ดีเหมือนกัน ที่พูดอย่างนี้นะ อาตมาแปลกใจหลวงพ่อจงมานานว่าเป็นพระประเภทไม่ค่อยจะเหมือนพระอื่นเขา เรื่องลาภสักการะอะไรต่ออะไรท่านไม่ค่อยสนใจ ได้มาเท่าไรก็ส่งให้น้องชายสร้างวัด ใช้บ้างกินบ้าง เป็นของธรรมดา ที่เหลือก็สร้างวัดสร้างวาทำเป็นสาธารณประโยชน์หมด

    ขณะที่เฝ้าเรืออยู่นั้นปรากฏว่าฝนตกพรำๆ หลวงพ่อจงก็เลยนั่งตากฝนอยู่ที่ม้า ไอ้ม้าไม้กระดานเขาต่อไว้ นั่งตากฝนอยู่อย่างนั้นก็พอดีชาวบ้านเขาไปพบเข้า เขาถามว่า หลวงพ่อขอรับ ทำไมไม่เข้าไปในร่มในกุฏิ ฝนมันตก ท่านก็บอกว่าไปไม่ได้หรอก ใครก็ไม่รู้ 2 คน เขาวานเฝ้าเรือไว้ ถ้าหากว่าฉันขึ้นไป เรือเขาหายจะต้องใช้หนี้เขา ไม่ได้หรอกต้องเฝ้าอยู่แบบนี้ คนที่มาพบท่านเข้าจะไปธุระก็เลยไปไม่ได้ เลยรับอาสาว่า เอายังงี้ก็แล้วกันขอรับ นิมนต์หลวงพ่อขึ้นไปบนกุฏิ กระผมขออาสาเฝ้าแทน ถ้าเรือนี้เขาหายไปกระผมขอรับใช้ขอรับ ผมรับภาระเอง เมื่อเป็นอย่างนั้นท่านจึงได้ขึ้นไปบนกุฏิ

    อีตาคนที่เฝ้าเรือบอกว่านั่งเฝ้าอีกพักใหญ่เจ้าสองคนถึงได้มา จึงได้ถามว่านี่ทำไมถึงได้ใช้หลวงพ่อเฝ้าเรือฮึ นี่หลวงพ่อนั่งเฝ้าเรืออยู่ฝนตกก็ไม่กล้าขึ้นไปเพราะกลัวเรือของแกหาย ตาสองคนบอก เอไม่รู้จักว่าเป็นหลวงพ่อ นึกว่าเป็นพระหลวงตา คนนั้นก็บอกว่าพระหลวงตากับหลวงพ่อก็มีลักษณะเหมือนกันแหละ แก่เหมือนกัน ทีหน้าทีหลังละอย่าทำอย่างนี้นะ จะไปธุระปะปังที่ไหนก็เอาเรือไปฝากชาวบ้านชาวช่องเขาไว้ซี นี่มาใช้พระเฝ้าเรือแบบนี้มันไม่ถูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระอย่างหลวงพ่อนี่เป็นพระไม่มีอะไรแล้วนา แกใช้พระที่ไม่มีอะไรหมายความว่ายังไง คนที่พูดก็บอกว่า เห็นหลวงพ่อปานวัดบางนมโคท่านพูดนะ ฉันไม่ได้รู้เองหรอก หลวงพ่อปานวัดบางนมโคท่านบอกว่าหลวงพ่อจงวัดหน้าต่างนอกน่ะ เป็นพระทองคำแล้ว ก็เป็นพระประเภทที่เข้าไปแตะต้องไม่ได้ กิเลสหายาก หลวงพ่อปานท่านว่ายังงั้น ตาคนนั้น ตกใจ ต้องขึ้นไปขมาโทษหลวงพ่อจง

    พอเวลาขึ้นไปขมาหลวงพ่อจงท่านว่ายังไง ท่านว่าเอ๊ะ ก็ไม่มีโทษอะไรนี่ แกวานฉันเฝ้าเรือ มันจะมีโทษอะไร เขาก็บอกว่าการวานพระเฝ้าเรือเป็นโทษขอรับ เพราะว่าพระเป็นสรณะ เป็นที่เคารพ ท่านก็เลยถามว่าถ้ารู้อย่างนั้นแล้วใช้ฉันเฝ้าเรือทำไมล่ะ ถ้ารู้แล้วก็ไม่น่าใช้ เขาบอกว่าเขาเผลอไป ท่านบอกว่าไม่เป็นไรหรอก ถ้าแกเผลอได้ ไอ้โทษมันก็เผลอได้เหมือนกัน ก็เป็นอโหสิกรรมกันไปก็แล้วกัน ไม่มีโทษนะเลิกกัน

    เอาละท่านผู้ฟัง ถึงเวลาชั่วโมงหนึ่งพอดี เห็นจะต้องขอลาท่านไปก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผลจงมีแด่ท่านทุกคนที่นั่งรับฟัง สวัสดี
    ;- http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=91&t=57417
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 789_957.jpg
      789_957.jpg
      ขนาดไฟล์:
      128.4 KB
      เปิดดู:
      91

แชร์หน้านี้

Loading...