ความอดทนจะหลอมเคี่ยวเราจนประสบความสำเร็จ

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 21 ธันวาคม 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,741
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,559
    ค่าพลัง:
    +26,399
    321287042_838543634095942_3436883013552845354_n.jpg

    ความอดทนจะหลอมเคี่ยวเราจนประสบความสำเร็จ

    การที่เราทำอะไร ไม่ว่าจะเป็นงานใหญ่งานเล็กก็ตาม ไม่มีใครทำด้วยความมั่นใจ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ว่าจะสำเร็จ ทุกอย่างต้องศึกษาลู่ทางให้ดีที่สุด แล้วก็ตัดสินลงมือทำไปตามข้อมูลที่มีอยู่ ระหว่างนั้นถ้ามีปัญหาก็ต้องปรับแก้ไปตามหน้างาน ซึ่งเรื่องทั้งหลายเหล่านี้พวกเราเจอมาทุกคน ไม่ใช่ว่าพอวางแผนงานมาแล้ว ทุกอย่างต้องเป็นไปตามนั้นเป๊ะ ๆ คราวนี้การปรับตามหน้างานถือว่าเป็นวิวัฒนาการ เราจะเห็นว่า ไม่ว่าพืชหรือสัตว์ก็ตาม ถ้าปรับตัวไม่ได้นี่ก็สูญพันธุ์หมด

    มีคนเขาบอกว่า "คนโง่มองว่าตัวเองขาดอะไร คนฉลาดมองว่าตัวเองมีอะไร" อาตมาไปบรรยายเกี่ยวกับการบริหารงานชุมชนคุณธรรมวัดท่าขนุนให้ประสบความสำเร็จว่าต้องทำอะไรบ้าง ก็เลยบอกว่า บังเอิญอาตมาจะว่าโง่ก็ไม่ใช่ จะว่าฉลาดก็ไม่เชิง ก็เลยมองทั้ง ๒ อย่าง คือ มองว่าเราขาดอะไรแล้วสร้างใหม่ขึ้นมา มองว่าเรามีอะไรแล้วปรับให้ดียิ่งขึ้นไป

    ฉะนั้น...การจะประสบความสำเร็จจริง ๆ ก็คือ การล้มลุกคลุกคลานมานับครั้งไม่ถ้วน เพียงแต่ว่าต้องไม่ท้อถอย คราวนี้การที่ล้มลุกคลุกคลานนั้น ก็สำคัญตรงที่ว่าใครจะลุกได้เร็วกว่า ก็คือบุคคลที่ไม่ใส่ใจกับความผิดพลาด ความล้มเหลวในชีวิต มีมุมมองที่เป็นแง่บวกเสมอ

    โทมัส แอลวา เอดิสัน ทดสอบเรื่องการสร้างหลอดไฟ ล้มเหลวมา ๒๐๐ กว่าครั้งแล้ว ลูกศิษย์บอกว่า "อาจารย์ครับ...เราล้มเหลวมา ๒๐๐ กว่าครั้งแล้ว อาจารย์ยังคิดจะทำต่ออีกหรือ ?" เอดิสันบอกกับลูกศิษย์ว่า "ใครบอกว่าฉันล้มเหลว ? ฉันประสบความสำเร็จมา ๒๐๐ กว่าครั้ง เพราะฉันรู้ว่า ๒๐๐ กว่าหนทางนั้นใช้ไม่ได้" แล้วก็ทดลองหาทางต่อไป จนกระทั่งเรามีหลอดไฟใช้จนทุกวันนี้

    ฉะนั้น...สำคัญที่มุมมอง คนที่แพ้เป็น ล้มเป็น จะเจ็บน้อย ไปได้เร็ว การล้มเป็นนี่ต้องดูการต่อสู้แบบพวกยูโด ไอกิโดอะไรพวกนั้น เทควันโดก็ได้ ถ้าหากว่าโดนคู่ต่อสู้ทุ่ม หรือว่าเตะตัด ล้ม ถ้าล้มเป็นจะไม่เจ็บ หรือไม่ก็ผ่อนหนักให้เป็นเบา เจ็บก็เจ็บไม่มาก

    คนที่ผิดพลาด ล้มลงแล้วมัวแต่คร่ำครวญอยู่ตรงนั้น จะประสบความสำเร็จยาก ประมาณว่าจิตตก หมดกำลังใจที่จะไปต่อ แต่คนที่ล้มแล้วลุกเลย ไปต่อได้ระยะทางที่ไกลกว่า ถึงที่หมายเร็วกว่า
    เรื่องของการปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน แต่ละคนผิดพลาดมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ผิดแล้วต้องเริ่มต้นใหม่ ดูว่าที่ถูกกว่านี้ยังมีอยู่ เราล้มครั้งแล้วครั้งเล่า จิตตกครั้งแล้วครั้งเล่า สมาธิตก กรรมฐานแตก นับไม่ถ้วน ความผิดพลาดอยู่ตรงไหน ? เขาถึงได้บอกว่าผิดเป็นครู ก็คือเอาไว้สอนตัวเองว่าจะไม่ผิดอย่างนั้นอีก แต่ส่วนใหญ่พวกเราผิดจนเป็นศาตราจารย์แล้ว แต่ก็ยังแก้ไม่ได้...! คือไม่ใช่ผิดเป็นครูเฉย ๆ แต่ผิดจนเป็นอาจารย์ของอาจารย์ไปแล้ว

    เหตุที่การปฏิบัติธรรมของเราล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่าเพราะว่าเรายังไม่เข็ด ล้มกี่ครั้งก็ไม่เข็ด คนที่เข็ดจะรู้จักระมัดระวัง แล้วก็แก้ไข เพราะว่าไม่อยากเป็นอย่างนั้นอีก แต่คนที่ไม่เข็ด ไม่อยากเป็น แต่ไม่สนใจที่จะแก้ไข ต่างกันอยู่นิดเดียว หรือไม่มีกัลยาณมิตรคอยบอกว่า ทางนี้ไม่ดี ทางนี้ไม่ถูก อย่าไป หรือถึงบอกกูก็จะดื้อไป

    อาตมาเองอยู่กับหลวงพ่อวัดท่าซุงมา ปีแล้วปีเล่าจนกระทั่งมั่นใจว่าสิ่งที่หลวงพ่อท่านบอกเรา คือเรื่องที่ท่านเองผิดมานับครั้งไม่ถ้วน ผิดจนกระทั่งท่านหาทางที่ถูกที่สุด ง่ายที่สุดให้กับเราแล้ว แม้ว่าทางนั้นจะเป็นประเภททะเลไฟ กะทะน้ำมันเดือดอะไรก็ไปเถอะ ถ้าทุกด้านคือทางตาย ทางด้านนี้จะตายน้อยที่สุด

    แต่พวกเราที่บอกว่ามอบกายถวายชีวิต แล้วไม่ได้มอบอย่างแท้จริง ถึงเวลาครูบาอาจารย์บอกก็ฟัง ๆ ไปอย่างนั้น ลำบากหน่อย กูก็ถอยแล้ว เจออุปสรรคหน่อย กูก็ไม่เอาแล้ว แล้วแบบนี้จะประสบความสำเร็จก็คงจะยาก ต้องยิ่งแพ้ยิ่งสู้ สู้จนกว่าจะชนะ

    มีนางงามอเมริกันคนหนึ่ง มีแมวมองมาบอกว่า คุณสวยพอที่จะเป็นนางงามอเมริกาได้ เขาก็เลยไปสมัครประกวด ปีแรกก็ตกรอบ ปีที่สองก็ตกรอบ ปีที่สามก็ตกรอบ ปีที่สี่ก็ตกรอบ ปีที่ห้าก็ตกรอบ คุณเธอถามว่า "ทุกคนรู้ไหมว่าปีที่หกเกิดอะไรขึ้น ? ฉันก็ยังคงตกรอบ" แล้วเขาบอกทำไม ? บอกให้รู้ว่าเขาสู้ไม่ถอย ท้ายที่สุดเขาก็เป็นนางงามอเมริกาจริง ๆ เพราะว่าเขาปรับปรุงแก้ไข ศึกษาจากประสบการณ์ที่ขึ้นเวทีมาหลายปี กรรมการต้องการอะไร คนดูต้องการอะไร ความสวยเขามีพออยู่แล้ว มีใครบ้างขึ้นประกวดล้มเหลวมาตลอดหลายปี แล้วยังกล้าขึ้นประกวดอีก ?

    อาตมาเล่าให้พวกเราฟังว่า เฉพาะแค่ปฐมฌาน อาตมาใช้เวลาทุ่มเทอยู่ ๓ ปี กว่าที่จะทำได้ พวกเราภาวนา ๓ นาที ใจไม่สงบ กูก็เลิกแล้ว แล้วทำไมอาตมาดื้อทำได้ ? ก็เพราะว่าเชื่อครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ท่านล้มเหลวมาครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งหาวิธีที่ดีที่สุด ที่ง่ายที่สุดมาบอกเราแล้ว ในเมื่อเราเชื่อท่านก็ต้องทำให้ได้อย่างท่าน ถ้าทำไม่ได้อย่างท่าน แสดงว่าความพยายามของเรายังไม่พอ

    ฉะนั้น...ทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ ต่อให้เป็นมาร์ก ซัคเคอร์เบิร์กหรือว่าวอร์เรน บัฟเฟต ไม่ว่าจะทำอะไร ไม่ใช่ว่าเขามั่นใจ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ แต่เขาตัดสินใจจากข้อมูลที่มีอยู่ว่า ถ้าทำแล้วโอกาสสำเร็จมีมากกว่าเขาก็ทำ อาตมาก่อนหน้านี้ก็เป็นแบบนั้น ประเมินสถานการณ์แล้ว มีโอกาสชนะ ๘๐ เปอร์เซ็นต์ถึงจะทำ น้อยกว่านั้นไม่ทำ หลังจากมีประสบการณ์มากขึ้น ๆ ๗๐ ก็เอา ๖๐ ก็เอา ๕๐ ก็เอา เพราะมั่นใจว่าสามารถแก้ไขหน้างานให้ดีและประสบความสำเร็จได้ ปัจจุบันนี้นะหรือ ? ๑ เปอร์เซ็นต์ก็เอา โห...ถ้าสามารถเติมอีก ๙๙ ให้เต็มได้นี่กูเก่งสุด ๆ ชีวิตนี้จะมีรสชาติมาก..!
    เคยไปฟังเขาอบรมคนขายประกัน จับพลัดจับผลูได้เข้าไปฟังกับเขาด้วย คนที่ประสบความสำเร็จเขามาบอกเคล็ดลับให้คนที่กำลังเข้าไปทำว่า คุณไปหาลูกค้าคนที่ ๑ พลาด คนที่ ๒ พลาด คนที่ ๓ พลาด คนที่ ๔ พลาด อย่าเพิ่งท้อใจ ให้ทำต่อไป เขาเองไปประสบความสำเร็จกับลูกค้าคนที่ ๘๑ เขาพลาดมา ๘๐ คนแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ท้อ

    พอคนที่ ๘๑ ยอมเซ็นสัญญาทำกรมธรรม์กับเขา เขาถามลูกค้าคนนั้นว่าตัดสินใจทำเพราะอะไร เมื่อรู้ความต้องการของลูกค้าก็ไปนำเสนอลูกค้าคนต่อไปได้ง่ายขึ้น พอได้ลูกค้าคนต่อไปก็ถามเขาอีกว่าทำเพราะอะไร ต้องการอะไร แล้วก็นำเสนอลูกค้าคนต่อไป ท้ายสุดเขาประสบความสำเร็จ ได้รางวัลไปเที่ยวต่างประเทศจนเบื่อไปเอง ถ้าเขาท้อตั้งแต่ ๒๐ คนแรก หรือ ๕๐ คนแรก เขาจะไม่ประสบความสำเร็จ เพราะว่าที่เขาประสบความสำเร็จคือคนที่ ๘๑

    พระพุทธเจ้าตรัสโอวาทปาฏิโมกข์ ก็คือหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา คำแรกเลยคือ ขันตี ปรมัง ตะโป ตีติกขา ความอดทนเป็นตบะอย่างยิ่ง อันนี้พูดมาแล้วฟังไม่รู้เรื่อง ก็คือ ความอดทนเท่านั้นที่จะหลอมเคี่ยวเรา จนกระทั่งประสบความสำเร็จออกมาเป็นศิลปะวัตถุที่งดงาม เป็นที่ตรึงตราต้องใจของบุคคลทั่วไป ตบะก็คือความร้อนในการเผากิเลส เผาแล้วเปลี่ยนสภาพวัตถุ เผาเพื่อให้เหมาะแก่การใช้งาน ถ้าหากว่าไม่อดทน ประสบความสำเร็จยาก เด็กรุ่นหลังนี่น่ากลัวมาก น่ากลัวที่ว่าขาดความอดทน

    อุปสรรคมากมีที่ขัดขวาง.............ต้องถากถางบุกบั่นไม่หวั่นไหว
    ถึงทุกข์ยากลำบากสักเพียงใด..........ต้องฝ่าฟันพ้นไปได้สักวัน
    ของสิ่งใดการได้มาถ้าลำบาก...........ต้องทุกข์ยากมักมีค่ามหาศาล
    ดุจเหล็กกล้าผ่านการทุบชุบเป็นนาน...........จึงตระการเป็นอาวุธสุดแหลมคม

    ช่างซามูไรชาวญี่ปุ่น ปัจจุบันนี้ที่ตีซามูไรอันดับหนึ่งของโลก เล่มหนึ่งไม่แพงเท่าไรหรอก ห้าแสนกว่าบาท...! เขาบอกว่าเหล็กดีต้องทนร้อยหลอมพันทุบได้ ก็แปลว่าผ่านการหลอม ผ่านการเคี่ยวกรำครั้งแล้วครั้งเล่า ผ่านการทุบ ผ่านการขัดมานับครั้งไม่ถ้วน กว่าจะสำเร็จออกมาเป็นอาวุธที่งดงาม ใช้งานได้อย่างใจ ใคร ๆ ก็ต้องการ สรุป...คนขี้เกียจไม่ประสบความสำเร็จหรอก ยกเว้นสร้างบุญในชาติก่อน ๆ มามากพอ ซึ่งก็แปลว่าขยันมาในอดีตจนเหลือเฟือแล้ว

    เด็กรุ่นใหม่ฉาบฉวยขาดความอดทน ต้องการรวยเร็ว ไม่ได้ดูรุ่นเก่าเป็นตัวอย่าง รุ่นปู่ย่าตาทวดของอาตมา หอบเสื่อผืนหมอนใบมาจากเมืองจีน มื้อหน้าจะมีกินหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ ค่อย ๆ อดทนทำงาน เก็บหอมรอมริบทีละบาท ทีละสลึง พอได้เงินมาก้อนหนึ่งก็เริ่มลงทุนทำกิจการ เป็นกิจการเล็ก ๆ ขายโอเลี้ยง ขายกาแฟ ขายน้ำเต้าหู้ สะสมเงินขึ้นไป ลงทุนให้ใหญ่ขึ้น เปิดร้านขายของชำ โบราณเขาใช้คำว่า "สู้แค่หน้าตัก" ก็คือมีเท่าไรทำเท่านั้น ผิดพลาดขึ้นมาก็ไม่เป็นหนี้ใคร แต่สมัยนี้เริ่มต้นด้วยการกู้เงิน พลาดขึ้นมาก็มีหนี้ก้อนโต

    ที่น่ากลัวกว่านั้น คือเด็กรุ่นใหม่ไม่พยายามศึกษา ขี้เกียจเรียน พอต่อว่าเข้าก็อ้างว่า "มาร์ก ซัคเคอร์เบิร์ก กับ สตีฟ จ็อบส์ ไม่เห็นต้องจบปริญญาเลย ก็รวยเป็นหมื่นล้าน" อาตมาถามคืนไปว่า "แล้วมึงชื่ออะไร ? มึงชื่อสตีฟ จ็อบส์ หรือชื่อมาร์ก ซัคเคอร์เบิร์ก สองคนนั่นเป็นแค่สองคนในห้าพันกว่าล้านคนในโลกนี้ แค่เม็ดทรายสองเม็ดในมหาสมุทรเท่านั้น แล้วคิดว่ามึงจะประสบความสำเร็จอย่างเขาใช่ไหม ?" เขาเรียกว่าดูตัวอย่างโดยที่ไม่ได้ดูตัวเองเลย

    หลวงพ่อสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม ท่านบอกเสมอว่า "นกไม่มีขน คนไม่มีความรู้ ขึ้นสู่ที่สูงไม่ได้" เราจะไปบอกว่า แจ็ก หม่า ไม่มีความรู้ได้ไหม ? อย่างน้อยเขาก็จบปริญญา เขาก็เป็นครู แล้วพื้นฐานที่แน่นที่สุดคือภาษาอังกฤษของเขาดี

    ส่วนใหญ่แล้วพอถึงเวลา ความขี้เกียจ ฉาบฉวย สมองกลวง ก็ทำให้อ้างคนที่ประสบความสำเร็จโดยไม่ได้ดูตัวเอง ทำอะไรก็ได้ที่งานเบา เงินดี ซึ่งมักจะหาไม่ได้ ท้ายสุดงานเบาเงินดี ก็ต้องนั่งกินเหล้าจนช็อกตาย..เดือดร้อนจนป่านนี้ยังปิดคดีไม่ได้...! เพราะฉะนั้น...คนรุ่นใหม่ได้โปรดอย่าเลี้ยงลูกให้สบาย สอนลูกให้รู้จักความลำบาก ให้เขารู้ว่าโลกเราโหดร้ายกว่าที่คิด จะได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้แต่เนิ่น ๆ

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เดือนตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒ ณ บ้านเติมบุญ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...