การบรรยายทางวิชาการเรื่อง "ความเชื่อเรื่องพระเครื่องและเครื่องรางในสังคมไทย"

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 14 มิถุนายน 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,558
    ค่าพลัง:
    +26,399
    การบรรยายทางวิชาการเรื่อง "ความเชื่อเรื่องพระเครื่องและเครื่องรางในสังคมไทย"



    6754365E-94A4-4389-BA1C-AECA14DD7CEB.jpeg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 มิถุนายน 2023
  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,558
    ค่าพลัง:
    +26,399
    วันนี้รู้สึกดีใจมากที่ได้รับนิมนต์ให้มาบรรยายเกี่ยวกับเรื่องที่แทบจะเป็นตัวตนของอาตมภาพเลย หลายท่านเห็นว่าอาตมภาพจบปริญญาเอก แม้ว่าในแรกเริ่มจะเป็นการจัดการ แล้วตอนหลังเป็นพุทธศาสนาก็ตาม แต่ว่าโดยตัวตนที่แท้จริงแล้ว อาตมาเริ่มมาจากการปฏิบัติธรรม หรือว่าเรื่องของกรรมฐาน

    ในหัวข้อที่ได้รับในวันนี้ก็คือ "ความเชื่อเรื่องพระเครื่องและเครื่องรางของขลังในสังคมไทย" พวกเราต้องทำความเข้าใจนิดหนึ่งว่า เรื่องของพระเครื่อง เรื่องของเครื่องรางของขลัง ปะปนรวมกันอยู่กับเรื่องของเวทมนตร์คาถา ซึ่งหลายท่านใช้คำว่า "ไสยศาสตร์" แม้แต่หลวงพ่อที่สอนให้กระผม/อาตมภาพปฏิบัติมา ท่านก็ยืนยันว่า "ทั้งหมดที่ข้าสอนแกไป นักวิชาการเขาบอกว่าเป็นไสยศาสตร์"

    แต่คราวนี้มีบางท่านมาแยกว่าเป็น "ไสยขาว" กับ "ไสยดำ" ก็คือถ้าเอาไว้ช่วยเหลือคนอื่นจัดเป็นฝ่ายขาว เป็นพวกพระเอก แต่ถ้าหากว่าเอาไว้ทำร้ายคนอื่น เขาถือว่าเป็นฝ่ายดำ แต่อาตมภาพศึกษาแล้วทั้งสองฝ่าย สรุปว่าเป็นหัวใจพระคาถาจากพระไตรปิฎกแทบทั้งนั้นแล้ว ก็เลยสงสัยว่าเป็นเพราะอะไร ?

    หลังจากที่ศึกษาลึกซึ้งเข้าไปแล้ว ถึงได้เข้าใจ เป็นพุทธพจน์บทพระบาลีที่ว่า มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา ก็คือธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐสุด สำเร็จได้ด้วยใจ แปลว่า เรื่องของเวทมนตร์คาถานั้น จริง ๆ แล้วเป็นแค่เครื่องโยงใจให้เป็นสมาธิ เมื่อใจเป็นสมาธิแล้ว เรานึกต้องการอย่างไรก็จะเป็นอย่างนั้น เพราะว่ากำลังของใจเพียงพอที่จะทำให้เกิดเรื่องนั้นขึ้นมาได้

    ในเมื่อเป็นไปลักษณะนั้น ก็ไปเข้าใจตามประวัติหลวงปู่ปาน วัดบางนมโคที่ท่านบอกว่า มีอยู่วันหนึ่ง หลวงปู่เนียม วัดน้อย ครูบาอาจารย์ของท่านโดนงูเห่ากัด แล้วหลวงปู่เนียมก็ไปนั่งเป่าตัวเอง..หาย เนื่องเพราะว่าสมัยนั้นไม่มีเซรุ่มไม่มีอะไรทั้งนั้น เมื่อหลวงปู่ปานถามว่า "หลวงพ่อใช้คาถาอะไรครับ ?" หลวงปู่เนียมบอกว่า "เจ็ดตำนานทั้งหัว เอ็งชอบตรงไหนก็ว่าไปเลย" นั่นคือเรื่องของมโนมยา ถ้าจิตมีพลังงานเพียงพอ คิดจะให้เป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ก็คือสำเร็จด้วยใจ
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,558
    ค่าพลัง:
    +26,399
    เราจะเห็นว่า เมื่อวันก่อนครูบาอาจารย์ที่ท่านบอกกล่าวพวกเราไปแล้ว เกี่ยวกับเรื่องของเครื่องรางของขลังในวรรณคดีไทย เห็นชัดไหมครับ ขุนช้างจะออกไปตามล่าขุนแผนที่แย่งนางวันทองไป สมัยนั้นยังเป็นนางพิมพิลาไลยอยู่ ยังไม่เป็นวันทอง เขาบอกว่า

    จัดแจงแต่งตัวนุ่งยก........................เข็มขัดรัดอกแล้วโจงหาง

    ผูกตัวเข้าเป็นพรวนล้วนเครื่องราง........พระปรอทขอดหว่างมงคลวง


    เครื่องรางเพียบเลย แต่ยังมีพระ แล้วใช้พระคาดหัวไป ถือว่าเป็นของสูง

    ลูกไข่ดันทองแดงกำแพงเพชร..............ไข่เป็ดเป็นหินขมิ้นผง

    อันนี้จะเป็นพวกคต ก็คือวัตถุกายสิทธิ์ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ แต่ว่าในส่วนของขมิ้นนั้นเป็นการเสกผงขมิ้นทาตัว ทาหน้า แล้วแต่ตำราของตน

    ตระกรุดโทนของท่านอาจารย์คง หลวงปู่คง วัดแค จังหวัดสุพรรณบุรี ยุคนั้นท่านดังมาก ได้ตะกรุดโทนมาคู่ตัว สมัยก่อนทำยากมาก ครูบาอาจารย์จะทำแค่วาระสำคัญ ๆ เท่านั้น

    แล้วอมองค์ภควัมล้ำจังงัง พระปิดตา พระควัมปติ

    ฉะนั้น..ในส่วนนี้เราจะเห็นว่า เรื่องของเครื่องรางนั้นเกิดขึ้นมาจากหลายสาเหตุด้วยกัน ที่มาของเครื่องราง อันดับแรกเลย เครื่องรางนั้นเกิดจากสัญลักษณ์บอกฝ่าย สัญลักษณ์บอกฝ่ายนี่เริ่มจากการเขียนสี ไม่ว่าจะเป็นสีธรรมชาติ ยางไม้ เลือดสัตว์ หรือว่าใช้วัสดุที่ได้จากสัตว์ อย่างเช่น เขี้ยว งา เขา เอามาแต่งตัว หรือว่าอย่างพวกอินเดียแดงใช้ขนนกอินทรี หรือว่าบางเผ่าใช้ขนนกกระเต็น แล้วก็มีรอยสักอีกต่างหาก

    เรื่องพวกนี้ อันดับแรก ๆ เลยคือการบอกว่าเป็นพวกเดียวกัน หลังจากนั้น บรรดาผู้ที่มีสัมผัสพิเศษ ที่ตอนหลังจะได้รับการยกขึ้นเป็นพวกหมอผีหรือหมอยา จะรู้ว่าอะไรที่มีพลังงาน หรือว่ารับพลังงานได้ดีที่สุด ก็จะนำมาติดตัว แรก ๆ ก็ของตัวเอง จากนั้นก็ให้ผู้นำสำคัญของเผ่า สิ่งเหล่านี้มีไว้เพื่อ
    เป็นกำลังใจในการออกรบ
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,558
    ค่าพลัง:
    +26,399
    การรบราฆ่าฟันนั้นเกิดจากอะไร ? อันดับแรก..แย่งอาหารกิน อันดับสอง..แย่งถิ่นที่อยู่ อันดับสาม..แย่งคู่สวาท อันดับสี่..แย่งอำนาจปกครอง ที่รบกันทุกวันนี้มีอยู่แค่ ๔ สาเหตุนี่แหละครับ ไม่ได้มากมายเกินไปกว่านี้

    แย่งอาหารกิน ถ้าพื้นที่ตัวเองอาหารไม่พอ ก็จะต้องขยายพื้นที่ออกไป อย่างสมัยก่อนพวกชนเผ่า อย่างมองโกล พวกเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์ เขาก็ใช้วิธีชิงพื้นที่จากคนอื่นเขา

    แย่งถิ่นที่อยู่ ถ้าหากว่าของตนเองขาดความอุดมสมบูรณ์ ก็ไปยึดพื้นที่จากเผ่าที่เขาสมบูรณ์กว่า

    แย่งคู่สวาท ชัดเจนที่สุดครับ เฮเลนแห่งทรอย ฆ่ากันตายไปกี่กองทัพแล้วก็ไม่รู้ ?

    แย่งอำนาจปกครอง อันนี้เป็นเรื่องปกติ

    การรบเหล่านี้ต้องการกำลังใจ จึงมีพิธีกรรมต่าง ๆ มีสิ่งหนึ่งที่อาตมภาพไปที่ประเทศอังกฤษแล้วสงสัยมากว่าคืออะไร ? คือสโตนเฮนจ์ แท่งหิน ปรากฏว่าได้รับคำบอกเล่าจาก "ผู้รู้" เขาบอกว่า เป็นวงเวทย์ของหมอผีสมัยนั้นที่เรียกว่าพวก ดรูอิด ใช้ส่งกำลังไปช่วยกองทัพฝ่ายตนเองให้ฮึกเหิม เพื่อที่จะได้ชนะศึก

    เขาใช้วิธีนี้กันครับ เป็นเรื่องอัศจรรย์เหมือนกัน ใครลองไปช่วยรื้อฟื้นขึ้นมาหน่อย ดูว่าศึกยูเครนกับรัสเซียจะจบลงเร็วเท่าไร ? แต่ไม่รู้เหมือนกันว่า ถ้าหากว่ารัสเซียเข้าไปร่วมด้วยแล้วจะเป็นเรื่องไหม ?

    ที่ว่ามาตั้งแรก ก็คือมีรอยสัก มีเขี้ยวงา มีวัสดุจากสัตว์ในการบอกฝ่าย แล้วท้ายที่สุดก็เอามาเป็นกำลังใจ ถ้าใครดูโมอาน่า จะเห็นว่าไอ้หนุ่มเมารี ไอ้ตัวแสบที่สุดในเรื่อง นั่นสักทั้งตัวเลย แล้วรอยสักของเขาก็มีพลังอย่างที่เขาต้องการอีกด้วย
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,558
    ค่าพลัง:
    +26,399
    รูปพวกนี้จะเป็นเผ่าในซาราวักของอินโดนีเซียและมาเลเซีย เพราะว่าพื้นที่เป็นเกาะ คาบเกี่ยวกัน ครอบครองโดยทั้งสองประเทศ เขาก็จะมีเครื่องหมายของตนเอง เครื่องหมายเหล่านี้จะปรากฏสืบเนื่องมาเรื่อย ๆ จนได้รับการยอมรับ อย่างสมัยก่อนของเราก็จะมีพื้นที่ล้านนาบ้าง อีสานบ้าง ที่จะมีรอยสักนับเป็นพวกลาวพุงดำ ลาวพุงขาวอะไรพวกนั้น สมัยอาตมภาพเด็ก ๆ ก็เจออยู่หลายคน แก้ผ้าอาบน้ำอยู่ นึกว่าแกนุ่งผ้า เพราะว่าสักตั้งแต่เอวลงไปยันหัวเข่า ส่วนรูปนี้เป็นหมอผี เก็บพวกกะโหลกสัตว์เอาไว้สำหรับใช้ในการทำพิธีด้วย

    คราวนี้ในเรื่องของเครื่องรางของขลังนั้น มีทั้ง
    มาจากธรรมชาติ เช่น พวกพืช ว่านยา อย่างที่พวกเราใช้กันอยู่ ถ้าหากว่าทางด้านเหนือด้านอีสานก็มีพวกว่านสามพันตึง ว่านเฒ่าหนังแห้ง สบู่เลือด แม้กระทั่งยาเสพติดบางอย่าง ถ้าใช้ในระดับที่พอดี เหมือนอย่างกับสะกดจิตตัวเองได้ แต่ว่าต้องเป็นคนที่ชำนาญจริง ๆ นะ ถ้าไม่ชำนาญก็อาจจะประเภทขาดสติ เหมือนอย่างกับพวกเสพยาเกินขนาดไปเลย

    มาจากสัตว์ เช่น เขี้ยว เขา นอ งา เหล่านี้เป็นต้น แต่ต้องเป็นสิ่งที่แปลกจากปกติ อย่างเช่นว่าเขี้ยวหมูตัน เขี้ยวเสือกลวง ทีเขี้ยวหมูจะเอาตัน ทีเขี้ยวเสือดันจะเอากลวง เป็นซะอย่างนั้น หรือว่างาช้างกำจัด เป็นงาที่ช้างถึงเวลาตกมัน อาละวาดแล้วแทงติดเอาไว้กับต้นไม้บ้าง กับพวกจอมปลวกบ้าง เขาถือว่าเป็นช่วงที่ช้างมีฤทธิ์มากที่สุด ก็จะเอามาใช้งาน

    จากวัสดุธรรมชาติอื่น ๆ อย่างพวกหินแร่ รัตนชาติต่าง ๆ ที่เรารู้กัน จนกระทั่งที่เรียกว่าเป็นวัฒนธรรมของเราเลยก็คือ นพรัตน์ "เพชรดี มณีแดง เขียวใสแสงมรกต ฯลฯ" รวมเก้าประการ ใช้มาแต่โบร่ำโบราณ รัตนชาติอื่น ๆ บางอย่างใช้ในการรักษาโรค อย่างเช่นพวกหินเขี้ยวหนุมาน ที่เขาใช้ดึงพวกพลังจักรวาลเอามาช่วยใช้งานตรงจุดนี้ได้

    พวกแร่ธาตุต่าง ๆ บรรดาท่านที่มีสัมผัสพิเศษจะรู้ว่าแร่ชนิดนี้บรรจุพลังงานได้มาก หรือว่าปล่อยพลังงานออกมามาก ซึ่งวิทยาศาสตร์ของเราสามารถหาเจอ อย่างเช่นว่ายูเรเนียม พลูโตเนียม ถึงเวลาทำปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชั่นแล้วจะระเบิดพลังออกมามากขนาดไหน
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,558
    ค่าพลัง:
    +26,399
    วัตถุพวกนี้ ถึงเวลาบรรจุพลังจิตเข้าไป จะเพิ่มอำนาจมากขึ้นไปหลายเท่า ทั้ง ๆ ที่ตนเองก็มีพลังอยู่แล้ว อย่างเช่นสมัยก่อนก็จะมีหินออบซิเดียน ลาพิส หรือไม่ก็พวกอุลกมณี ก็คือสะเก็ดดาวตก เหล่านี้เป็นต้น เรื่องพวกนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องรางของขลังที่เราเอามาใช้งานกัน

    ในรูปท่านทั้งหลายจะเห็นพวกว่านยาประเภทต่าง ๆ ที่เขาเชื่อว่าปลูกไว้จะเป็นมงคลบ้าง จะช่วยในเรื่องของหนังเหนียวบ้าง เรื่องพวกนี้ต้องบอกว่าเป็นเรื่องของพืชธรรมชาติ

    แล้วก็มาเป็นเรื่องของเขี้ยวงากะลาเขา ดังที่สุดก็หลวงปู่ปาน วัดบางเหี้ย พอได้ยินคำว่า "เหี้ย" คนเรามักจะรับไม่ได้ เปลี่ยนเป็นมงคลโคธาวาส คำว่า โคธา ภาษาบาลีก็แปลว่า เหี้ย เหมือนกัน แล้วครูบาอาจารย์รุ่นหลัง ๆ ก็ทำสืบ ๆ กันมา

    ดังนั้น..ในเรื่องของเครื่องรางของขลัง ส่วนหนึ่งถ้าไม่ใช่ว่าเรายึดหลวงปู่หลวงพ่อที่ท่านสร้างจริง ๆ เผลอเมื่อไรก็จะกลายเป็นไสยศาสตร์เต็มตัว หลุดจากพุทธศาสตร์ไปเลย เพราะว่าไปทิ้งคุณพระรัตนตรัย

    ในส่วนที่เราจะลืมไม่ได้เลยในการใช้เครื่องรางของขลังหรือพระเครื่อง อันดับแรกเลยก็คือครูบาอาจารย์ สมัยอาตมภาพเด็ก ๆ เรียนหนังสือ ปฐม ก.กา

    นะโม ข้าจะไหว้ วระไตรระตะนา
    ใส่ไว้ในเกศา วระบาทะมุนี


    ต้องไหว้ครูก่อน

    คุณะวระไตร ข้าใส่ไว้ในเกศี
    เดชะพระมุนี ขออย่ามีที่โทษา


    แล้วไหว้พระพุทธเจ้าก่อน

    ข้าขอยอชุลี ใส่เกศีไหว้บาทา
    พระเจ้าผู้กรุณา อยู่เกศาอย่ามีภัย


    ไหว้พระพุทธเจ้าแล้ว

    ข้าไหว้พระสะธรรม ที่ลึกล้ำคำภีรนัย
    ได้ดูรู้เข้าใจ ขออย่าได้มีโรคา


    เมื่อไหว้พระธรรมแล้ว

    ข้าไหว้พระภิกษุ ที่ได้ลุแก่โสดา
    ไหว้พระกิทาคา อะระหาธิบดี


    มาไหว้พระสงฆ์

    เราจะเห็นว่าตั้งแต่โบร่ำโบราณมา ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ท่านจะไม่ทิ้งคุณพระรัตนตรัย ไหว้ครูก็เริ่มที่ไหว้พระก่อน ดังนั้น..เรื่องของการใช้เครื่องรางของขลังต่าง ๆ อะไรพวกนี้ ถ้าหากว่าเราเผลอเมื่อไร จะหลุดออกจากคุณพระรัตนตรัย แล้วบางทีจะหลงผิด กลายเป็นมิจฉาทิฏฐิไปเลย เป็นเรื่องที่ต้องระวังให้มาก
     
  7. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,558
    ค่าพลัง:
    +26,399
    ในส่วนของเครื่องราง จากพืชก็ว่าไปแล้ว จากสัตว์ว่าไปแล้ว หินแร่รัตนชาติ วัสดุธรรมชาติว่าไปแล้ว คราวนี้ก็มาเรื่องของการสร้าง

    การสร้างเครื่องรางนั้น อันดับแรกเลย จากที่ครูบาอาจารย์ท่านพิจารณาแล้วว่าสิ่งนี้ผิดปกติจากธรรมชาติ อย่างเช่นว่ามีพลังงานพิเศษลงไปจับ ทำให้ไม่สลายตัวไปง่ายตามธรรมชาติ กลายเป็นคต กลายเป็นทนสิทธิ์ เหล่านี้เป็นต้น แล้วก็สิ่งอื่น อย่างเช่นว่าในระหว่างที่ช้างตกมันอาละวาด เป็นช่วงที่ถือว่าช้างมีฤทธิ์มีเดชมากที่สุด เอาวัตถุที่หลุดออกจากตัวมา คือพวกงาช้างกำจัด งากระเด็น มาทำวัตถุมงคล น่าจะมีพลังอำนาจมากกว่าปกติ

    ในส่วนที่เราสร้าง ส่วนใหญ่แล้วตอนแรกก็สักติดตัว ไม่ว่าจะสักหมึก สักน้ำมันอะไรก็ตาม ถ้าหากเราจะยกขึ้นมา อย่างเมื่อวานนี้น่าจะมีท่านที่กล่าวยกขึ้นมาแล้ว อย่างเช่นแสนตรีเพชรกล้า แม่ทัพของเจ้าเมืองเชียงใหม่ ท่านบอกว่า

    อันแม่ทัพคนนี้มีศักดา.....................อยู่คงศาสตราวิชาดี

    แขนขวาสักรงค์เป็นองค์นารายณ์........แขนซ้ายสักชาดเป็นราชสีห์

    ขาขวาหมึกสักพยัคฆี.......................ขาซ้ายสักหมีมีกำลัง


    เหล่านี้เป็นต้น

    คราวนี้หลังจากที่เป็นการสักยันต์ติดตัว แล้วคนที่กลัวเจ็บล่ะ ? ครูบาอาจารย์ก็ต้องเดือดร้อนมาทำผ้ายันต์ให้ แล้วที่ไม่อยากสัก ไม่อยากได้ผ้ายันต์ ก็ทำตะกรุด ทำพิสมร ตะกรุดกับพิสมรนี่อย่างเดียวกัน เพียงแต่ว่าพอถึงเวลาครูบาอาจารย์ม้วนแล้วดีดออก จึงจับพับเป็นสามเหลี่ยมบ้างสี่เหลี่ยมบ้าง กลายเป็นพิสมรไป

    พวกพิรอด คำว่า "รอด" ก็รู้อยู่แล้ว เขาถือเป็นมงคลว่าไปไหนมาไหนต้องรอดกลับมาแน่นอน มีทั้งพิรอดแขน มีทั้งแหวนพิรอด มีทั้งมงคลสวมศีรษะ มีเชือกคาดเอว มีลูกสะกด เหล่านี้เป็นต้น
     
  8. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,558
    ค่าพลัง:
    +26,399
    แล้วความเชื่อนี่พัฒนาไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ มีการสร้างเครื่องคาดราชศาสตราถวายในหลวง ยุคสมัยของเราผู้ที่ถวายก็คือ หลวงปู่เทียม วัดกษัตราธิราช สร้างตะกรุดมหาจักรพรรดิตราธิราชถวาย ดังนั้น..ในส่วนนี้พวกเราจะเห็นว่าไม่ใช่แต่ชาวบ้านทั่วไปจะเชื่อถือเท่านั้น

    พอพัฒนามาเรื่อย ๆ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็มาจากคัมภีร์ที่ ๔ ซึ่งเพิ่มเติมขึ้นมาทีหลังตามความเชื่อและวัฒนธรรมของอินเดีย เป็น Indian Cultural แต่ว่ามาเป็นอินเดียที่เป็นประเทศอินเดีย ไม่ใช่พวกชาวอินเดียนแดง

    เมื่อจบไตรเพทแล้ว มีท่านที่ได้รับพรพิเศษจากฤๅษีบ้าง จากพระเจ้าของเขาบ้าง ศึกษาบรรดาเวทมนตร์คาถาขึ้นมา แล้วจารึกรวม ๆ กันไว้ กลายเป็นคัมภีร์ฉบับที่ ๔ เรียกว่าอาถรรพเวท แล้วปรากฏว่าไม่ว่าจะเป็นฤคเวท ยชุรเวท และสามเวท นั้น อาถรรพเวทเป็นส่วนที่เรียนง่ายที่สุด ให้ผลปัจจุบันเร็วมาก จนกลายเป็นความนิยมและแพร่กระจายไป กลายเป็นมันตรยาน หรือว่าตันตระ เชื่อในเรื่องของเวทมนตร์คาถา แล้วก็ยังมาแบ่งเป็นไสยศาสตร์ ไสยขาวบ้าง ไสยดำบ้าง

    ทางบ้านของเราที่เขาถือว่าเป็นไสยขาว ก็มีพวกมีดหมอ ปรอทสำเร็จ เสกปรอทให้แข็งตัวได้ เสกเป็นเงินได้ เสกเป็นทองได้ ท่านทั้งหลายที่ไปท่าพระจันทร์ อย่าได้แตะเป็นอันขาด อันนั้นของปลอม อาจถึงตาย จำไว้ว่าปรอทสำเร็จจริง ๆ จับแล้วจะไม่ดำติดมือ ไม่ลื่น เพราะว่าปรอทตายแล้ว

    อาตมภาพโชคดี เจอครูบาอาจารย์หลายท่านที่ทำปรอทสำเร็จ แล้วก็เคยไปศึกษาด้วย จนพรรคพวกก็สงสัยว่า "ทำไมพระอาจารย์เล็กทำได้เสร็จเร็วจัง ?" เขาเรียนมา ๕ ปีแล้วยังไม่ได้อะไรเลย อาตมภาพมาพิจารณาดูแล้ว หลวงตาท่านนั้นไม่มีสมาธิ ได้แต่สุมไฟ เผาปรอทไปเรื่อย แล้วจะไปสำเร็จอะไร ? เพราะว่าส่วนหนึ่งที่เขาต้องการ จากวิชาของทางสายพม่านั้น เขามีสำเร็จยันต์ สำเร็จประคำ สำเร็จปรอท สำเร็จยา

    สำเร็จยันต์ ก็คือปลุกเสกเลขยันต์ เขียนไปเรื่อย เสกไปเรื่อย จนสมาธิทรงตัวได้ที่ เกิดฤทธิ์เกิดอภิญญาขึ้นมา

    สำเร็จประคำ ที่เห็นชัดที่สุดก็คือหลวงพ่ออุตตะมะ ภาวนานับจนกระทั่งลูกประคำขาดไปกี่ร้อยกี่พันสายก็ไม่รู้ ? จนสมาธิจิตทรงตัวหนักแน่น คิดจะให้เป็นอะไรก็เป็นอย่างนั้น
     
  9. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,558
    ค่าพลัง:
    +26,399
    สำเร็จปรอท ก็คือการเคี่ยวปรอท พร้อมกับบริกรรมภาวนาไปเรื่อย ถ้าสมาธิทรงตัวเมื่อไร ปรอทจะแข็งตัว ยอมจับเป็นก้อน แต่ยังต้องจัดการต่ออีกหลายยก เนื่องเพราะว่าปรอทเป็นธาตุศักดิ์สิทธิ์ตามธรรมชาติ จัดการไม่ดีก็หนีอย่างเดียว..!

    สำเร็จยา จะมีการใช้ว่านใช้ยา มีการหลอม มีการสร้าง เพื่อที่จะรักษาโรค เป้าหมายคือความเป็นอมตะ กินลงไปแล้วอายุต้องยืนหลายร้อยปี หรือไม่ตาย ท่านที่ได้รับส่วนนิดเดียวจากตรงนี้ ก็คือหลวงปู่สี วัดเขาถ้ำบุญนาค อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์

    หลวงปู่สีบวชตอนอายุ ๔๐ ปี ตั้งใจว่าแก่มากแล้ว จะไปตายในผ้าเหลือง ปรากฏว่าตอนธุดงค์ ไปเจอท่านทั้งหลายที่กำลังทำยาเหล่านี้อยู่ ตอนที่หลวงปู่ไปถึงเขากินยาหมดพอดี ตามประวัติที่หลวงปู่เล่าก็คือ เขาเก็บเอายาที่หยดติดอยู่กับใบไม้ที่เขาใช้รองเตา เอามาให้หลวงปู่ หลวงปู่ฉันลงไป มามรณภาพตอนอายุ ๑๒๘ ปี..! นั่นแค่หยดสองหยดเท่านั้น ถ้าได้ฉันหมดเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าอยู่นานเท่าไร ?!

    แต่ว่าครูบาอาจารย์ทางพม่าท่านหนึ่งก็คือ หลวงปู่โกวิทะ ตอนนี้อายุประมาณ ๙๐๐ กว่าปี พอถึงเวลาปีหนึ่งก็ออกมาให้ญาติโยมกราบไหว้ แล้วก็เข้าไปในเตา โยมก็โยนพวกไม้หอม ของหอม เครื่องหอมเข้าไป เผาจนไฟลุกท่วมฟ้า พอไฟดับท่านก็จะเดินออกมา เอ้า..รอดไปได้อีกปี อยู่ของท่านไปเรื่อย ๆ อย่างนี้แหละ..!

    ใครมีโอกาสลองข้ามไปบ้างนะ พม่ามีอะไรน่าสนใจเยอะมาก อาตมภาพไปอยู่ ๖ ปี ไปจนไม่มีที่ให้ไปแล้ว ไสยศาสตร์พม่านี่สุดยอดมาก เขาเชื่อมากกว่าบ้านเราหลายเท่า ยาพระฤๅษีก็มาจากไสยขาวนี่ แมลงภู่คำ วัวธนู หรือว่าราหูเหล่านี้ก็ใช่

    ถ้าหากว่าเป็นพวกไสยดำ ก็คืออิ้น ท่านทั้งหลายถ้าเคยเห็น จะเป็นรูปผู้หญิงผู้ชายกอดกัน ส่วนใหญ่มาสายเสน่ห์ อิ้น งั่ง อีเป๋อ ปลัดขิก พญาเขาคำ ม้าเสพนาง อะไรเหล่านี้ มาด้านไสยศาสตร์อย่างเดียว อาตมภาพขอเรียนวิชานี้ ครูบาอาจารย์ท่านด่าเลย ท่านบอกว่า "เอ็งจำไว้เลยนะ คิดดี พูดดี ทำดี กับเขา เขาก็รักเราเอง ไอ้วิชาระยำพวกนี้แกไม่ต้องไปใช้" โดนด่าจมดิน ไม่มีที่จะสิทธิ์เรียน..!

    ส่วนอันสุดท้าย ปั้นเหน่งกับกปาละ ส่วนใหญ่เจาะจากหน้าผากผีตายโหง อาตมภาพก็มีอยู่หลายอัน เพราะว่าศึกษาเรื่องพวกนี้ก็เลยเก็บ ๆ เอาไว้บ้าง พวกกปาละนี่ ส่วนใหญ่ทางด้านสายมันตรยานจากทิเบต ที่ปัจจุบันเป็นวัชรยาน เขาทำมาใช้ในพิธีทางศาสนาของเขา พวกปั้นเหน่งมักจะเลือกเอาผีตายโหง ที่ตายวันเสาร์ เผาวันอังคารเหล่านั้น เพราะว่าถือว่ามีอำนาจมากกว่าปกติ ขลังกว่าผีตายทั่วไป
     
  10. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,558
    ค่าพลัง:
    +26,399
    คราวนี้ในเรื่องความเชื่อเรื่องพระเครื่อง อาตมากลัวพวกเราหลงทางไกลเลยพูดถึงเครื่องรางก่อน แล้วก็ดึงเรามาหาพระรัตนตรัยในตอนท้าย ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเตลิดเปิดเปิง

    ในสมัยแรกต้องการที่พึ่งในพระพุทธศาสนา ก็ใช้วิธีรำลึกถึง เรียกว่าอนุสติ ก็คือพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ ตามนึกถึงคุณความดีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หลังจากนั้นสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องค่อย ๆ ยากขึ้น คนทำตามได้น้อย ก็สร้างเป็นพระพุทธรูปขึ้นมา

    พระพุทธรูปนี้ นอกจากสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นรูปเคารพแล้ว ยังมีที่มาที่ไปตามที่นักวิชาการเชื่อก็คือ เริ่มมาจากสมัยพระยามิลินท์ หรือที่บาลีเรียกว่า มิลินทะ อังกฤษเรียกว่า พระเจ้าเมนันเดอร์ สร้างขึ้นมาเพราะว่าชาวกรีกมีค่านิยมในการสร้างรูปวีรบุรุษของตน ในเมื่อท่านมานับถือพระพุทธศาสนาก็เริ่มสร้างพระพุทธรูปขึ้นมา ที่เราเรียกว่า พระพุทธรูปสมัยคันธาระ คันธาระนี่สมัยนี้ฝรั่งเขาอ่านว่า กันดาฮาร์ พวกเราก็กันดาฮาร์ตามเขาไป ลืมไปว่าเราเรียกว่าคันธาระมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

    สิ่งทั้งหลายเหล่านี้อยู่ในปากีสถาน อาตมภาพเข้าไปดูมาหมดแล้ว ไปแล้วรู้สึกตลกตัวเองอยู่เหมือนกัน เพราะว่าไปถึงเขาก็ต้อนเข้าห้องฝ่ายผู้หญิงเพื่อตรวจตัวพวกเรา เนื่องจากว่าผู้ชายชาวปากีสถานหนวดเคราเฟิ้มทุกคน แล้วอาตมาไปก็ห่มจีวรเหมือนกับชุดผู้หญิง เขาก็เลยไล่ไปทางห้องผู้หญิงเพื่อตรวจตัว หนวดเคราก็ไม่มีกับเขา

    ประเทศปากีสถานฟังดูแล้วน่ากลัวมาก ก็คือเป็นอิสลาม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ แต่จริง ๆ แล้วมีชาวพุทธอยู่หน่อยหนึ่ง คำว่าหน่อยหนึ่งก็คือประมาณสามสี่แสนคน แต่ว่าประชากรเขา ๒๕๐ กว่าล้านคน สามสี่แสนก็เลยเป็นน้ำหยดเดียวในทะเลทราย เขาไม่รู้จักแม้กระทั่งพระ

    บรรดาเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ใส่ชุดปกติขาว เดินมาถามเลยว่า ยูแต่งตัวแบบนี้นับถือศาสนาอะไร ต้องบอกเขาว่าเป็น Buddhist Monk พอถึงเวลา อ่านชื่อ ก็บ่น "Your name' re too long" ชื่อคุณยาวฉิบหายเลย เพราะว่าสมณศักดิ์ของพระ ต้องเขียนครบทุกตัว เขาเอามาไล่นับ บอกโอ้โห ๒๘ ตัวอักษร โดนทุกที...!
     
  11. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,558
    ค่าพลัง:
    +26,399
    หลังจากที่มีการสร้างพระพุทธรูปแล้ว ขนาดใหญ่เกิน จะอุ้มหลวงพ่อโต วัดอินทร์ ไปออกรบด้วยก็ไม่ไหว...! ก็พัฒนามาเป็นพระเครื่ององค์เล็กลง ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือเบญจภาคี เริ่มจากหลวงปู่ วัดระฆังนั่นแหละ

    หลังจากนั้นก็มีผู้ที่ศึกษาทางไสยศาสตร์ เข้ามาผสมผสานกับพุทธศาสตร์ ใช้พระเครื่องพร้อมกับมีคาถากำกับ ถึงเวลาก็ต้องมานั่งภาวนากัน พระพุทโธปิด พระธัมโมปิด พระสังโฆปิด พระพุทธเจ้าแผลงฤทธิ์ ปิดด้วยพระพุทโธ ว่าไปเรื่อยแล้วแต่ถนัด ให้กำลังใจเรานิ่งและมั่นใจ ไม่เกิดความกลัว กล้าที่จะสู้รบ

    คนโบราณเก่งกว่า กำลังใจมั่งคงกว่า เพราะประเภทหอกดาบขาววับ วิ่งประจัญบานกันนี่ ถ้ากำลังใจไม่ดีก็เผ่นแน่บ แต่สมัยนี้บางทีอยู่ห่างกัน ๒๐ - ๓๐ กิโลเมตร ลูกยาวมาจากไหนก็ไม่รู้ ยิ่งสมัยนี้มีขีปนาวุธ เร็วกว่าเสียงเข้าไปอีก กว่าจะรู้ตัวก็ตู้ม...! ตายไปตอนไหนไม่รู้ บางทีมีเสียงถามว่า "เจ้าเป็นอะไรตาย ?" ยังบอกว่า "อย่าล้อเล่นน่ะ" ตายไปแล้วไม่รู้ตัว

    แต่ว่าในสมัยก่อนมีค่านิยมว่า "พระอยู่วัด คนอยู่บ้าน" ก็เลยไม่ค่อยนิยมในการใช้พระเครื่อง หลวงปู่หลวงพ่อมอบพระเครื่องไปให้ พอออกรบเสร็จ ไม่ว่าจะเป็นสงครามอินโดจีน สงครามเชียงตุงกลับมา ก็นำไปคืนวัด สมัยนี้ลูกหลานได้ยินนี่แทบจะกัดลิ้นตาย ของราคาแพง พ่อแม่เอาไปคืนวัดหมด เขาก็เลยใช้เครื่องรางของขลังติดตัวมากกว่า เป็นพวกตะกรุด พวกผ้ายันต์ อะไรเหล่านั้น เป็นต้น

    สมัยอาตมภาพเด็ก ๆ คนแถวบ้านไปเพชรบุรีมา เขาบอก "เฮ้ย คนเพชรบุรี เขาบอกว่ามีพระขรรค์เล่ม ปลัดขิกอัน ผ้ายันต์ผืน ไปได้ทั่วประเทศแล้ว" อันนั้นเขาหมายถึงหลวงพ่อโสก วัดปากคลองบางครก คนเขาเชื่อกัน คราวนี้ในเมื่อความเชื่อของเรา พอมันปะปนเข้ามาในส่วนหลัก ทำให้แนวความเชื่อนี้เปลี่ยนไป เดี๋ยวจะบอกว่าเปลี่ยนไปอย่างไร

    แนวทางการสร้างพระเครื่องบ้านเรา อันดับแรกเลย สร้างตามพระพุทธรูปสำคัญ ขายได้แน่นอน อย่างเช่นพระแก้วมรกตบ้าง พระพุทธชินราชบ้าง หลวงพ่อโสธรบ้าง ท่านที่เป็นพระศึกษาให้ดีนะครับ พระพุทธรูปบ้านเรา ๓๓ องค์จะสร้างนี่ต้องมีหนังสือขออนุญาตนะครับ ไม่อย่างนั้นแล้วผิดกฎหมาย นอกเหนือจากนั้นแล้ว อยากจะสร้างก็สร้างไป ท่านไม่ได้ว่าอะไร
     
  12. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,558
    ค่าพลัง:
    +26,399
    สร้างเป็นรูปพระมหาเถระสมัยพุทธกาล อย่างเช่นพระมหากัจจายนะ เห็นท่านอ้วนท้วนสมบูรณ์ เชื่อว่าในเรื่องของลาภผลหรือความสมบูรณ์พูนสุข พระสีวลี ไปไหนมีลาภมาก ในอดีตท่านทำบุญไว้มาก แล้วก็สร้างขึ้นมาหวังจะได้จากท่านตรงนี้ พระควัมปติหรือว่าที่เราเห็นเป็นรูปพระปิดตา ท่านนิยมเข้านิโรธสมาบัติ บุคคลที่เข้านิโรธสมาบัติ ออกมา ๗ วัน ๑๕ วัน ใครทำบุญด้วยมักจะรวยวันนั้นเลย เขาก็เลยนิยมสร้างเป็นพระปิดตาตามความเชื่อเหล่านี้

    อีกสายหนึ่ง ก็เป็นรูปเหรียญหลวงปู่หลวงพ่อของเรา หลวงปู่เงิน วัดบางคลาน หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง หลวงปู่กลั่น วัดพระญาติ อันนี้เบญจภาคี หลวงปู่ไข่ วัดเชิงเลนนี่เบญจภาคีพระปิดตา แนวการสร้างพระเครื่องในบ้านเรามักจะเป็นอย่างนี้

    วัสดุในการสร้าง ยากที่สุดก็โน่นเลย ผงวิเศษทั้ง ๕ ปถมัง อิทธิเจ ตรีนิสิงเห มหาราช พุทธคุณ ปิดโบสถ์ นั่งลบผง ๑๕ วัน ให้กินได้แค่น้ำบาตรเดียว จะมีน้ำสะอาด ๑ บาตร ก็น่าจะประมาณ ๕ - ๖ ลิตร ๑๕ วันอยู่ให้ได้ก็แล้วกัน เขียนผงลบผงกว่าจะเสร็จ จะเป็นลมตาย ครูบาอาจารย์ไม่รักเราจริง ไม่ทำให้หรอก

    สร้างจากโลหะที่เล่นแร่แปรธาตุต่าง ๆ อย่างเช่นว่านวโลหะ สัตตโลหะ ปัญจะโลหะ ก็คือโลหะ ๙ อย่าง ๗ อย่าง ๕ อย่าง อันนี้แต่แรกเริ่มเดิมทีมาจากความอยากรวย ผสมโลหะอยากจะให้เป็นทอง มีทุกชาติทุกภาษา ทางยุโรปอเมริกาก็มี เขาก็เล่นแร่แปรธาตุกันมา แต่ทางพม่านี่ทำสำเร็จ อาตมภาพเจออยู่ ๒ ราย ก็คือหลวงปู่วัดเขาตะมะยะ ชื่อทางพระท่านก็คืออูวินะยะ แล้วก็หลวงปู่วัดโพธิ์พันต้น ที่มงยัว ชื่อทางพระท่านก็คือนารทะ

    หลวงปู่นารทะแจกทองคำเท่าเม็ดถั่วเขียวให้ทุกคนที่ไปคนละ ๒ เม็ด ถ้าหากว่าเป็นบ้านเราปัจจุบันนี้ก็ร่วม ๕๐ สตางค์ ให้เอาไปขายเพื่อเอาเงินไปเลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย อาตมภาพไปท่านให้มาทั้งกำเลย กราบเรียนท่าน "หลวงปู่ครับ ขอตามโควต้า ขอเท่าทุน ๒ เม็ดพอ ที่เหลือหลวงปู่ไว้แจกเขาเถอะ ผมอยากรู้แค่นั้นเองว่ามันทองจริงหรือเปล่า" เอาไปให้เจ๊กตรวจดูแล้วเป็นทองแท้ นั่นก็คือการที่สำเร็จเล่นแร่แปรธาตุมา
     
  13. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,558
    ค่าพลัง:
    +26,399
    ส่วนบ้านเรา พอแปรธาตุนวโลหะมา สีเหมือนนาก เป็นพิงค์โกลด์ ถ้าหากว่าเป็นสัตตโลหะตามสายวัดเขาอ้อนี่คือทองเลย แต่เขาจะไม่บอก เขาจะบอกว่าเป็นทองมหาสัตตโลหะ นั่นคือการเล่นแร่แปรธาตุ

    อีกส่วนหนึ่งสำเร็จออกมาเป็นเมฆสิทธิ์บ้าง เมฆพัตรบ้าง แร่บางไผ่บ้าง วัตถุเหล่านี้เขาถือว่ามีอำนาจในการหนุนดวง ในการป้องกัน ก็เลยเอามาสร้างเป็นพระเครื่อง

    เครื่องรางยอดนิยมบ้านเราก็มีพวกตะกรุด มีดหมอ ผ้ายันต์ เบี้ยแก้ ลูกอม เหล่านี้เป็นต้น

    ถ้าพระเครื่องก็ต้องเป็นเบญจภาคี พระกริ่ง พระปิดตา รูปหล่อยอดนิยมไม่ต้องคิดเลย หลวงปู่ทวด วัดช้างให้ หลวงปู่เงิน วัดบางคลาน หลวงปู่เดิม วัดหนองโพ

    เหรียญเกจิอาจารย์ยอดนิยมก็หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง หลวงปู่กลั่น วัดพระญาติ หลวงปู่คง วัดบางกะพ้อม เหล่านี้เป็นต้น

    สร้างเครื่องรางของขลัง สร้างพระเครื่องเพื่ออะไร ? อันดับแรกเลย ที่ศึกษานั้นเพื่อฝึกตัวเอง ต้องภาวนา ต้องนั่งเขียนไปด้วยภาวนาไปด้วย เท่ากับสร้างสมาธิในขณะเคลื่อนไหว เคี้ยวหมากไปด้วย เสกไปด้วย เป็นอิริยาบถและสัมปชัญญะ ในมหาสติปัฏฐานสูตร ก็คือการฝึกกรรมฐานดี ๆ นี่เอง แล้วสมัยก่อนเขาทำเพราะมั่นใจว่าทำแล้วได้

    สร้างเพื่อสงเคราะห์ลูกศิษย์ บางคนก็โอ้โห มันมาอ้อนกราบมือกราบเท้าอยู่ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ธูปเทียนบายศรี มันแทบจะขนมาหมดทั้งปากคลองตลาด ท้ายที่สุดก็ต้องทำให้มันไป

    สร้างเพื่อสงเคราะห์ทหารฝ่ายเรา ยามออกศึกออกสงคราม

    สร้างเพื่อเป็นอนุสติ อันนี้น้อยมากนะในปัจจุบันนี้ การจะสร้างพระเป็นอนุสติ สำคัญที่สุด ออกแบบให้สวยครับ ถ้าคนเห็นพระสวยแล้วอยากได้
     
  14. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,558
    ค่าพลัง:
    +26,399
    ต่อไปก็คือ การสร้างเพื่อหาทุนสร้างถาวรวัตถุในวัด ไม่ว่าจะเป็นโบสถ์ วิหาร ศาลา สมัยอาตมภาพยังเด็กอยู่ ยังมีญาติโยมสร้างวัดถวายพระ แต่ช่วงนั้นพอดีเป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรม อาตมภาพเรียนชั้นป.๑ ตอนอายุ ๘ ขวบ เขาให้ท่องว่า สินค้าส่งออกสำคัญของไทย ได้แก่ ข้าว ไม้สัก ยางพารา ดีบุก ข้าวโพด บังเอิญเป็นคนเรียนแล้วไม่ลืม จำได้ทุกอย่าง

    ปรากฏว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ต้องการแรงงานมากเป็นพิเศษ คุณต้องการจะส่งออก ต้องทำทีหนึ่งเป็นหมื่นเป็นแสนตัน ต้องระดมคนเข้าไปอยู่ในกระบวนการเขาหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการผลิตยาง ผลิตไม้สัก ผลิตข้าวโพด ผลิตมันสำปะหลัง กำลังคนที่จะเข้าวัดเพื่อช่วยพระซ่อม สร้างสิ่งต่าง ๆ ก็หมดไป

    คนรวยเอาเงินส่งให้พระ "หลวงพ่อ ผมต้องการทำสิ่งนี้ รบกวนหลวงพ่อทำด้วยนะครับ" ท่านทั้งหลายเห็นหรือยังครับว่ามันแปรสภาพไป กลายเป็นพระสร้างเองตั้งแต่ตอนไหน แค่ประมาณ ๕๐ ปีเอง หลังจากนั้นท่านทั้งหลายเหล่านี้พอธุรกิจรัดตัว มีทั้งอิมพอร์ต เอ็กซ์พอร์ตยุ่งไปหมด เวลาแม้กระทั่งจะมาวัดก็ไม่มี เวลากระทั่งจะเอาสตางค์ไปถวายวัดก็ไม่มี พระท่านต้องหาทุนสร้างเอง

    หลังจากที่หาทุนสร้างไประยะหนึ่ง มีผู้หวังดี แต่ประสงค์ร้ายหรือเปล่าก็ไม่รู้ เห็นพระไม่มีความชำนาญ เข้าไปอาสาช่วยสร้างให้ คราวนี้ก็ต้องมีส่วนหนึ่งที่ตัวเองมีผลประโยชน์ข้าวพกข้าวห่อ อยู่ในลักษณะค่าดำเนินการ แต่ปัจจุบันนี้น่ากลัวมาก อย่างอาตมภาพถ้าสร้างพระ ๕,๐๐๐ องค์ ดีไม่ดี เขาทำไป ๒๐,๐๐๐ – ๓๐,๐๐๐ องค์

    ก็เลยกลายเป็นสิ่งที่พวกเราเรียกกันในปัจจุบันว่า "พุทธพาณิชย์" ก็คือตั้งใจทำมาขายเลย แต่ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจ ถ้าเขาไม่ต้องการ มันขายไม่ได้นะ ก็เลยขึ้นอยู่กับ demand กับ supply นี่แหละ อุปสงค์ความต้องการมาก แต่อุปทานก็คือความสนองต่ำ มันก็จะแพง หายาก
     
  15. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,558
    ค่าพลัง:
    +26,399
    วัดท่าขนุนใช้วิธีนี้ สร้างทีหนึ่ง ๑๐,๐๐๐ องค์ ลูกศิษย์จะกี่หมื่นก็เรื่องของมันให้มันไปตีกันเอง เพราะฉะนั้น...ที่วัดสร้างเมื่อไรก็ตีกันแทบวัดแตก บางทีจองกัน ๒๐ – ๓๐ นาที หมดเกลี้ยงแล้ว แต่ว่าเราเอาเงินไป เพื่อทำตามที่ทุกคนตั้งใจเอาไว้ว่า เราสร้างอันนี้มาเพื่อกองบุญนี้ สิ่งที่เขาได้ไปเป็นสิ่งตอบแทน ถ้าหากว่ารักษากำลังใจตนเองได้ดี ปกป้องคุ้มครองตนเองได้ ก็ยินดีด้วย ท่านใดถ้ายึดเป็นอนุสติ ระลึกถึงพระรัตนตรัยได้ ยิ่งดีเป็นการมากขึ้นไปอีก

    เพราะว่าการใช้เครื่องรางหรือพระเครื่อง มีข้อห้าม และมีข้อต้องปฏิบัติ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็เหมือนกับเป็นศีล ทำตามข้อห้ามคือรักษาศีล ภาวนาคาถาก่อนใช้ก็คือสมาธิ คราวนี้ก็อยู่ที่เราว่าจะปรับมาเป็นภาวนาได้อย่างไร

    ครูบาอาจารย์ของอาตมภาพทำได้ ท่านเริ่มจากคาถาอาคมที่เป็นไสยศาสตร์ แล้วเปลี่ยนกลับมาเป็นพุทธศาสตร์ ให้อาตมภาพกลับมาอยู่ในทางด้านคุณพระรัตนตรัยได้ โดยเฉพาะบางท่าน ท่านใช้คำนี้ หลวงปู่ดู่ พฺรหฺมปญฺโญ วัดสะแก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา คนไปบอก หลวงปู่สร้างพระเครื่องทำให้คนยึดติด หลวงปู่ท่านตอบแค่นี้ครับ "ติดวัตถุมงคล ดีกว่าติดวัตถุอัปมงคล"

    ขออนุญาตจบการบรรยายที่รวบรัดที่สุดในโลกแต่เพียงเท่านี้ ขอบคุณทุกท่านครับ มีใครสงสัยอะไรยกมือถามได้เลย
     
  16. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,558
    ค่าพลัง:
    +26,399
    ถาม : ปัจจุบันกระแสเกี่ยวกับเครื่องรางของขลัง ทำไมเกิดขึ้นมาเร็วแล้วก็จบลงเร็วครับ อนาคตต่อไปเครื่องรางของขลังจะยังมีคนนับถือกันอยู่ไหม ?

    ตอบ : เรื่องการนับถือยังมีเป็นปกติ แต่อุปทานเกินอุปสงค์ หลวงปู่พัฒน์ (หลวงปู่เจ้าคุณพระราชมงคลวัชราจารย์) ปีที่ผ่านมาออกไป ๓๐๐ รุ่น..! ใครจะไปตามเก็บไหว ในเมื่ออุปทานมากกว่าอุปสงค์ กระแสก็ตก เพื่อนของอาตมภาพสร้างจตุคามรุ่นแรก ได้กำไร ๑๒ ล้านบาท รีบสร้างรุ่นที่สอง แต่ไม่ทัน กระแสตก ๑๒ ล้านก็เลยตกลงไปอยู่ในกองจตุคาม ทุกวันนี้ก็กองพะเนินเต็มวัด อาตมภาพไม่ได้สร้างสักองค์ แต่เสกไป ๓๐ กว่ารุ่น..!

    การนับถือศาสนายังเป็นเรื่องที่ทุกคนจะต้องยึดถือ แม้ใครบอกว่าไม่มีศาสนาก็ตาม หลักการยึดถือและปฏิบัติบางอย่างนั่นแหละคือศาสนาของเขา เพียงแต่ว่าถ้าไม่ประกอบไปด้วย ศาสดา ศาสนบุคคล ศาสนวัตถุและศาสนธรรม เขาไม่ถือว่าเป็นศาสนา บางทีเขานับเป็นลัทธิหรือนิกาย ไม่ต้องห่วง..ไม่ไปไหนหรอก เดี๋ยวก็ฟื้นขึ้นมาใหม่
     
  17. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,558
    ค่าพลัง:
    +26,399
    ถาม : เรื่องวัตถุมงคล คนจีนเขาโดนหลอก หรือว่าเอาไปแล้วได้ผลจริงครับ ทำไมพระเครื่องของไทยถึงไปอยู่เมืองจีนหรือฮ่องกงเยอะมากเลยครับ ?

    ตอบ : เขาเอาไปใช้แล้วได้ผลจริง จนเกิดความเชื่อถือ แล้วรู้ไหมกว่ากระผม/อาตมภาพจะไปทิเบตได้ โดนสอบหูตูบเลย เนื่องเพราะว่าพระรุ่นก่อน ๆ หน้านั้น ไปทีหนึ่งก็กระเป๋าขนาด ๘๐ ลิตร บรรจุเครื่องรางของขลังไป รูปหนึ่ง ๔ - ๕ กระเป๋า เชื่อไหมว่าเปลี่ยนเป็นแบงค์หยวนได้หมดเลย ไม่เหลือกลับมาแม้แต่ชิ้นเดียว..!

    คนจีนศรัทธาเรื่องพวกนี้มาก เพราะว่าช่วงนี้เขาแย่งกันทำมาหากิน อะไรที่ทำให้เสริมดวงได้ สร้างลาภผลได้ เขาเชื่อหมด จนกระทั่งเกิดอะไรพิลึกพิลั่นแปลกประหลาดมหัศจรรย์ขึ้นมาเยอะแยะ ในตำราก็ไม่มี อย่างเช่นว่าสร้างจิ้งจอกเก้าหาง อาตมภาพฟังแล้วก็เครียด ไปเอาตำราที่ไหนมาสร้างวะ..?!

    แต่คราวนี้เขาเชื่อ อย่าลืมว่ามโนมยา สำเร็จด้วยใจ ไอ้ที่พวกเราเคยได้ยินเขาเล่านิทานว่า ลูกศิษย์วัดท่านหนึ่งโดนเขาตี ล้มลงไปแล้วพระที่อมไว้หลุดออกจากปาก เขาควานมาใส่ปากได้ ปรากฏว่าพระดิ้นได้ จึงเกิดกำลังใจ ตีคู่ต่อสู้กระจัดกระจายหมดทั้งแก๊งค์เลย พอคายพระออกมา กลายเป็นลูกเขียดตายแหง..! ก็เพราะคิดว่าพระดิ้นจะช่วย "หลวงพ่อไม่ต้อง..ผมไหว" นั่นคือกำลังใจ

    ฉะนั้น..ถ้าหากว่ากำลังใจมุ่งไปจริง ๆ ก็จะสำเร็จด้วยใจ จะเรียกว่าเขาโดนหลอกก็ใช่ แต่ว่าส่วนหนึ่งที่สำเร็จก็คือกำลังใจเขามั่นคงครับ

     
  18. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,558
    ค่าพลัง:
    +26,399
    ถาม : ทำไมในวงการถึงนิยมพระเครื่องมากกว่าพระพุทธรูปคะ ?

    ตอบ : เพราะว่าพระพุทธรูปองค์ใหญ่ พกติดตัวยากอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งก็คือ ในเรื่องของพระเครื่องหรือพระพุทธรูปก็ตาม ไม่ได้เป็นที่นิยมเฉพาะอย่าง ส่วนที่เขานิยมคือความเชื่อถือศรัทธาเฉพาะในหลวงปู่หลวงพ่อองค์นั้น แล้วหลวงปู่หลวงพ่อองค์นั้นสร้างอะไรออกมา คนก็จะแห่กันไปเช่าบูชา ฉะนั้น..ถ้าหากว่าท่านสร้างพระพุทธรูป คนเขาก็แห่ไปเช่าพระพุทธรูป

    ที่น่าสงสารที่สุดคือที่วัดท่าขนุน เขามาถามว่ามีวัตถุมงคลรุ่นนี้ไหม อาตมภาพตอบไปว่า "เจ้าอาวาสยังไม่มีเลย ขายเรียบ..!" สำคัญที่ตัวคนสร้าง ไม่ได้สำคัญว่าสร้างอะไร ฉะนั้น..ถ้าหากว่าสร้างโดยท่านนั้น อย่างหลวงพ่อคูณ คนก็แห่กันไปบูชาแล้ว
     
  19. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,558
    ค่าพลัง:
    +26,399
    ถาม : เคยได้ยินว่า คนจีนมองประเทศไทยว่าเป็นดินแดนของไสยศาสตร์มนต์ดำ อันนี้เป็นเรื่องจริงแค่ไหนครับ ? และแร่ที่เขามีความเชื่อว่าจะนำมาซึ่งความมั่งคั่งด้านการเงิน จริงหรือเปล่าครับ ?

    ตอบ : ขอตอบเรื่องความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ของคนจีนก่อน ความจริงแล้วรอบบ้านของเราทุก ๆ ที่ซึ่งอาตมภาพเคยไป มีไสยศาสตร์ทั้งหมด แต่ว่าในส่วนที่คนจีนเชื่อว่าบ้านเราเป็นประเทศแห่งไสยศาสตร์ ก็เพราะว่าจีนไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน พวกท่านทั้งหลายสืบกลับไปเถอะ ๗ - ๘ ชั่วคน อย่างน้อยต้องมีอากงอาม่าอยู่แทบทุกบ้าน ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ทำให้เขากลมกลืนกับวัฒนธรรมไทยได้ง่ายที่สุด

    ในเมื่อเขาเข้ามา ญาติพี่น้องร่วมแซ่ทางด้านนี้ จะเป็นญาติก็ดี จะเป็นผู้ร่วมการค้าอะไรก็ตาม ก็พาเขาไปตามวัด พาเขาไปหาครูบาอาจารย์ที่ตนเองนับถือ จะเป็นพระหรือฆราวาสก็ตาม เมื่อทำพิธีกรรมต่าง ๆ แล้วเกิดผลขึ้นมา ก็เลยทำให้ความเชื่อถือเขามากขึ้น ๆ แล้วบอกกันไปปากต่อปาก

    ด้วยความที่เขามีการติดต่อค้าขายกับเรามากอย่างหนึ่ง ความที่ญาติพี่น้องของเขาอยู่ในบ้านเราจนกลืนคนไทยแล้วมากอีกอย่างหนึ่ง ทำให้ประสบการณ์ด้านนี้ในเมืองไทยของเรามากเป็นพิเศษ เขาก็เลยเชื่อว่าบ้านเราเป็นเมืองแห่งไสยศาสตร์ อาตมภาพไป เขาจะให้ไปเสกที่บ้านอย่างเดียวเลย ฟังแล้วเซ็งมาก..ให้ธรรมะไปไม่เอา จะเอาแค่เสริมดวง..!

    ส่วนแร่ธาตุอะไรบางอย่าง ที่บอกว่ามีอานุภาพในการดึงดูดสิ่งที่ดี ๆ เข้ามา พวกท่านทั้งหลายเอาหลักฟิสิกส์หรือวิทยาศาสตร์เข้าไปจับก็ได้ครับ แกนกลางของวัตถุธาตุทุกอย่างคือพลังงาน เพียงแต่ว่าพลังงานนั้นส่งผลในด้านไหนมากกว่า ท่านที่เข้าถึงจริงก็สามารถหาพลังงานที่หนุนเสริมในเรื่องของโชคลาภ ตัดเคราะห์ ป้องกันภัยให้กับพวกเราได้

    ท่านทั้งหลายอาจจะสงสัยว่าครูบาอาจารย์สมัยก่อนใช้กสิณ ใช้อภิญญา เปลี่ยนของเหลวกลายเป็นของแข็ง เปลี่ยนของแข็งกลายเป็นของเหลว เปลี่ยนหินกลายเป็นทอง ท่านเปลี่ยนกันตรงไหน ? ก็เปลี่ยนแค่การจัดเรียงโมเลกุลของวัตถุนั้น ๆ เท่านั้นเอง แต่ว่าเปลี่ยนเร็วมากด้วยอำนาจจิต ไม่ได้เปลี่ยนด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ก็เลยทำให้คนเห็นเป็นไสยศาสตร์ไป แต่ความจริงแล้วอธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ได้ทั้งหมด

    ดังนั้น..ถ้าหากว่าวัตถุสิ่งนั้น ๆ แกนกลางของเขา พลังงานของเขา ให้ผลทางด้านไหน ก็จะก่อให้เกิดผลทางด้านนั้นจริง แต่ต้องเสริมด้วยความเชื่อของเราด้วย ความเชื่อของเราจะเป็นกุญแจที่สำคัญที่สุด ถ้าเชื่อมั่นมากก็ได้ผลมาก

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    การบรรยายทางวิชาการเรื่อง "ความเชื่อเรื่องพระเครื่องและเครื่องรางในสังคมไทย"
    ณ ห้องประชุมวิทยาลัยนานาชาติปรีดีพนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
    วันอาทิตย์ที่ ๑๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)

     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...