ร่วมทำบุญบูชา มงคลสยบโลกธรรมยาตรานะจบกิจ 28 โพธิวงศ์เลิกรบเลิกเบียดเบียน(ไล่,ล่า..) พ่ออาจารย์พล

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย คุรุปาละ, 12 ตุลาคม 2014.

  1. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,133
    ค่าพลัง:
    +16,534
    ปัญจสิขรคนธรรพ์เทวบุตร(เทวดา 5 จุก)

    ไปอ่านเจอในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเคยพิมพ์ไว้เรื่องของท่าน เขียนว่าเเต่งกับลูกสาวพระอินทร์แบบนั้น ก็ในเมื่อคนเขียนยังไม่มีเวลาแสวงหาความรู้แล้วคนอ่านก็คงจำอะไรผิดๆกันไปจนตาย

    มาดูเรื่องของเทพคนธรรพ์ซึ่งมีศักดิ์ใหญ่ เป็นที่โปรดปรานของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นที่รักใคร่เอ็นดูของเทวดาในทุกชั้นฟ้ากันนะครับ

    ....อันว่าคนธัพเทวบุตรนั้น เมื่อยังอยู่ในมนุษย์โลกแล ว่าได้กระทำบุญมามากแล้ว แลได้ไปเกิดในจาตุมหาราชิกา แลเทพยดาตนนั้นสูงได้ 6,000 วา แลประดับด้วยเครื่องสนิมอาภรณ์ทั้งหลาย เทียรย่อมแก้วแหวนเงินทองแลดูรุ่งเรืองงามดั่งภูเขาทองแล อันว่าอาภรณ์นั้นถ้าแลว่าจะถอดออกใส่เกวียนในมนุษย์นี้ได้ 1,000 เกวียนแล อันว่ากระเเจะเเลจวงจันทน์อันเทพยดาทาตัวนั้นถ้าแลว่าจะขูดออกใส่ตุ่มไหได้ 9 ตุ่มแล อันว่าตุ่มแลไหแต่ละลูกนั้นบรรจุข้าว 4 กระเฌอแล ท่านจึงนุ่งผ้าขาวบริสุทธิ์แล้วจึงสอดกุณฑลในกรทั้งสองงามนักหนา แล้วจึงเกล้าผมเป็น 5 เกล้า แลชักมวยออกอันทั้ง 5 อันนั้นแล ไว้ปลายผมนั้นห้อยลงไปข้างหลังทุกอัน แลคนธัพผู้นั้นเกล้าผม 5 อัน เหตุดังนั้นจึงเรียกว่า ปัญจสิขรเพื่อดังนั้นแล คนธัพเทวบุตคนนั้นชอบเนื้อพึงใจแก่เทพยดาทั้งหลายนักแล........

    ปัญจสิขร แปลว่า5จุก เทพคนธรรพ์ปัญจสิขร ก็คือเทวดา 5 จุก เป็นเทพคนธรรพ์ที่มีหน้าที่และศักดิ์ใหญ่มากองค์หนึ่งในจาตุมหาราชิกาและดาวดึงษ์สวรรค์ เพราะเป็นถึงเทวเลขาประจำสุธรรมาเทวสภา กับทั้งเป็นอินทรเลขา คือเลขาธิการประจำองค์ท้าวสักกะเทวราชจอมเทพแห่งดาวดึงษ์

    ในสุธรรมาเทวสภา เทพคนธรรพ์ปัญจสิขร เป็นผู้ตามเก็บบัญชีกรรมดีกรรมชั่วของมนุษย์ ที่ผ่านการตรวจสอบแล้วจากท้าวจตุโลกบาลทั้ง4 ก่อนนำมาส่งมอบให้เทพมาตลี-เทพสารถีและพ่อบ้านประจำวิมานไพชยนตมหาปราสาทของท้าวสักกะเทวราช เทพมาตลีตรวจสอบดูแล้วจึงถวายท้าวสักกะ จากนั้นท้าวสักกะก็จะนำเข้าเทวสภา

    ตามบันทึกในพระไตรปิฏก การปรากฏองค์ของพระอินทร์เพื่อเข้าเฝ้าเบื้องพระพักตร์พระบรมศาสดา ต้องรับสั่งให้เทพคนธรรพ์ปัญจสิขรเป็นผู้ปรากฏองค์เข้าทูลขอพระพุทธานุญาตเพื่อเข้าเฝ้าก่อนเสมอ ดังเช่นที่มาของสักกปัญหสูตรหมวดทีฆนิกาย พระไตรปิฏกฉบับบสยามรัฐเล่มที่ 10/45

    เทพคนธรรพ์ปัญจสิขร ได้ปรากฏองค์ดีดพิณขับเพลงบูชาพระรัตนตรัยควบคู่ไปกับการสรรเสริญคุณแห่งกาม ว่าตนเองมีความชอบพึงใจและสมหวังในกามปานใด ก็รักบูชาคุณพระรัตนตรัยมากปานนั้นเช่นกัน

    ซึ่งในบทสรรเสริญความสุขความสมหวังอันเกิดจากคุณแห่งกามนั้น เทพคนธรรพ์ปัญจสิขรได้เล่าเรื่องที่ตนสมหวังต่อสุริยวัจผู้เป็นธิดาท้าวติมพรุ(บางคนมั่วเป็นธิดาพระอินทร์) คนธรรพราชาพระองค์หนึ่ง โดยมีท้าวสักกะหรือพระอินทร์เป็นผู้จัดพิธีสยุมพรให้ แล้วเทียบว่า กรรมดีในกามโลกให้ตนสมหวังได้ในสิ่งใดฉันใด กรรมดีในการบูชาพระรัตนตรัยก็ส่งผลให้ตนสมหวังในสิ่งที่ปรารถนาได้เช่นกันฉันนั้น

    เมื่อพระพุทธองค์สดับเพลงพิณแล้วได้ตรัสชมเชยและถามว่าบทเพลงนี้ได้แต่งขึ้นแต่ครั้งใด

    เลขาธิการประจำเทวสภาองค์นี้ก็ได้ทูลตอบว่า แต่งขึ้นแต่ครั้งที่พระบรมศาสดาตรัสรู้ใหม่ๆ ขณะประทับอยู่ที่ต้นอชปาลนิโครธ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา จากนั้นจึงทูลขอโอกาสกับพระบรมศาสดาว่า ท้าวสักกะเทวราชผู้เปรียบเสมือนเทพบิดาแห่งตน(คงรักพระปัญจสิขรมากจริงๆ) พร้อมทวยเทพจำนวนหนึ่งมีพระประสงค์ขอเข้าเฝ้า ซึ่งพระบรมศาสดาก็มีพระพุทธานุญาติ สักกปัญหสูตรจึงได้เกิดขึ้น ณ กาลนั้น

    พิณประจำพระองค์ ที่เทพคนธรรพ์ปัญจสิขรใช้ขับเสียงและให้จังหวะดนตรีนี้ ในบันทึกสุมังคลวิลาสินี ว่ามีลักษณะเป็นสีเหลืองอร่ามอ่อนงามดังสีผลมะตูมสุก คันพิณเป็นทองคำ สายเป็นเส้นเงินและลูกบิดวิจิตรด้วยแก้วประพาฬ

    และในอรรถกถาแห่งสังยุตตนิกาย ได้กล่าวถึงที่มาของพิณนี้ว่า แต่เดิมเป็นของประจำพระหัตถ์แห่งพระยามาราธิราชปรนิมมิตวสวัตตี(จอมฟ้าพญามาร) ซึ่งตอนนั้นพระองค์เสด็จติดตามขัดขวางไม่ให้เจ้าชายสิทธัตถะบรมโพธิสัตว์ดำเนินเข้าสู่วิถีแห่งพุทธภูมิ ตลอดระยะเวลาที่ออกบวชหาวิธีหลุดพ้น6ปี

    สุดท้ายพบว่า ความบากบั่นเข้าขัดขวางกลับไปเสริมกำลังใจในการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเเจ้า เมื่อพ่ายแพ้ในที่สุดจึงเกิดความสะเทือนใจ จนพิณประจำพระวรกายหล่นจากหัตถ์และอ้อมกรอย่างไม่รู้สึกพระองค์ แล้วเสด็จจากไป

    ท้าวสักกะเทวราชซึ่งแอบติดตามมาเห็นพิณเข้าจึงรีบเข้าเก็บยึดไว้ แล้วประทานให้แก่ปัญจสิขรคนธรรพ์เทวบุตรได้ใช้เป็นพิณประจำพระองค์มาแต่บัดนั้น จะเห็นว่าพระอินทร์ท่านรักและเมตตาพระปัญจสิขรจริงๆ ไม่เเปลกที่พระปัญจสิขรจะเคารพท่านเสมอบิดา

    ตำแหน่งเทพคนธรรพ์ปัญจสิขรนี้ ชาวพุทธถือเป็นตำแหน่งหมุนเวียน เมื่อเทพองค์เก่าถึงวาระหมดบุญหรือสิ้นกุศลกรรมในส่วนนี้แล้วจิตเคลื่อนจากไป ก็จะมีเทพองค์ใหม่อุบัติิขึ้นมาและรับการเเต่งตั้งทดแทนเรื่อยๆ ซึ่งท่านพระอานนท์พุทธอนุชาเองก็เคยมีอดีตชาติได้เกิดมาอยู่ในตำแหน่งนี้ เเละในชาดกชื่อสุทธโภชนก็ว่า แม้พระอนุรุทธะ อัครสาวกผู้เลิศในทิพจักขุญาณก็เคยได้กินตำแหน่งเทพคนธรรพ์ปัญจสิขรนี้เหมือนกัน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1213230665.jpg
      1213230665.jpg
      ขนาดไฟล์:
      28.2 KB
      เปิดดู:
      847
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ตุลาคม 2014
  2. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,133
    ค่าพลัง:
    +16,534
    พระวิษณุกรรม

    เทพที่จะนำมาเสนอในวันนี้ เป็นบรมครูแห่งศาสตร์การช่างทุกแขนง มีเรื่องราวปรากฏอยู่ประปรายไม่เด่นชัดนัก มาดูเรื่องราวของพระองค์กันดีกว่า

    วิสสุกัมเทวบุตร เทพเจ้าชาวดาวดึงษ์ ผู้เป็นสถาปนิกและมัณฑนิกพระองค์นี้ ปรากฏขึ้นแว้ปเดียวในตำนานของชาวพุทธโบราณ

    นั่นคือ เป็นสถาปนิกสร้างปราสาทราชวัง ให้กับพระเจ้าสุทัสนจักรพรรดิ จอมจักรพรรดิผู้มีอาณาจักรจรด 4 คาบสมุทร

    ในมหาสุทัสนสูตร หมวดทีฆนิกาย มหาวัคค์ แห่งพระไตรปิฏก ตอนที่พระพุทธองค์ทรงชี้จุดที่จะประทับเพื่อปรินิพพาน ทรงมีเหตุผลที่เลือกจุดนี้ว่า เป็นตำแหน่งเดียวกับที่ฝังร่างของพระเจ้ามหาสุทัสนจักรพรรดิ

    ในอรรถกถาแห่งธรรมบท ตอนปกิณณกวรรควรรณนา เมื่อจุลสุภัทรา ธิดาคนหนึ่งของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ทูลอาราธนาพระพุทธองค์พร้อมพระอรหันตสาวก 500 องค์ ผ่านกำแพงอากาศ 120 โยชน์

    วิสสุกัมมเทวบุตรก็ได้รับคำบัญชาจากพระอินทร์ ให้เนรมิตรเรือนยอด500 นำพระพุทธองค์พร้อมเหล่าอรหันตสาวกจากเชตวันวิหาร ไปเลื่อนลงยังอุคคนคร เมืองที่จุลสุภัทราอยู่ในพริบตา

    เป็นการสร้างเรือนประทับแบบเปิดประตูมิติเพื่อย่นระยะทาง 120 โยชน์นั่นเอง

    มีเล่าเพียงสั้นๆนะครับ บทบาทของพระองค์ก็มักจะสร้างอะไรหลายๆอย่างแบบวิจิตรอลังการได้ชั่วพริบตามีปรากฏให้เห็นกันทั่วไป

    ยืมรูปเขามานะครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,133
    ค่าพลัง:
    +16,534
    พุทธคุณในมงคลวัตถุ

    พุทธคุณในวัตถุมงคล ชื่อก็ตรงตัว พุทธคุณ ก็คือคุณของพระพุทธเจ้า สิ่งนี้ต้องเเยกให้ออก ต่างจากเทวาธิคุณและคุณผีทั้งหลาย

    จะเห็นได้ว่ามีการใช้คำคำนี้ปนเปกันไปหมดพระสายพรายก็มีพุทธคุณได้ ถ้าสำเร็จด้วยพุทธคุณแล้วยังต้องใช้ผงผีทำไม

    คุณของพระพุทธเจ้านี้เคยถามพ่ออาจารย์แล้ว ท่านว่าถึงจะดับขันธ์ปรินิพพานไป คุณของท่านก็ยังมี ยังสถิตย์อยู่ มีอยู่ในทุกอณูของบรรยากาศ ถ้าเรารู้จักใช้เราทำเป็น ก็ดึงเอาคุณของพระองค์มาใช้ การเสกวัตถุมงคลก็เหมือนกัน ขึ้นชื่อว่าสำเร็จด้วยคุณของพระองค์แล้วเชื่อได้เลยว่าจะไม่มีวัตถุมงคลอื่นใดยิ่งกว่า เพราะสำหรับเราเเล้ว สิ่งที่อยู่สูงเเละเหนือกว่าคุณพระพุทธเจ้าไม่มี

    หลายท่านคงสงสัย ว่าทำไมใช้วัตถุมงคลซึ่งสำเร็จด้วยอำนาจพุทธคุณแล้วยังมีผลต่างๆกันเเยกไปอีก ไม่เหมือนกันหรอ นั่นก็เสน่ห์นี่ก็เมตตา บางอย่างก็คงกระพัน มหาสะท้อนอะไรสารพัด

    เรื่องนี้ก็ต้องทำความเข้าใจให้ยิ่งขึ้นไปอีก จะกล่าวง่ายๆในเเง่ตะกรุดก่อนเเล้วกัน ท่านว่าครูบาอาจารย์แต่โบราณนั้น ได้คิดค้นหมวดหมู่ การจัดวางหัวใจหลักธรรมต่างๆ จึงสำเร็จเป็นยันต์ต่างๆมากมาย พูดง่ายๆว่าพระยันต์ต่างๆคือหลักหัวใจคำสอนโดยย่อต่างๆที่นำมารวมจารึกบันทึกไว้ก็ไม่ผิด พ่ออาจารย์ท่านบอกว่า ยันต์แต่ละแบบเเต่ละประเภทนั้น ครูบาอาจารย์ท่านใช้จนเชื่อได้สนิทใจเเล้ว ว่าเด่นทางด้านใดดียังไงจึงถ่ายทอดต่อ จึงบันทึกไว้ เหมือนการทำสถิติแบบนั้น

    หากจะกล่าวถึงของที่สำเร็จโดยอำนาจพุทธคุณแล้วก็สรุปสั้นๆง่ายๆว่าครอบจักรวาลก็ไม่ผิด เพียงเเต่จริตคนจะคิดไปเองเสียมากว่าแบบนั้นดีกว่าแบบนี้เจ๋งกว่า จะไม่แปลกเลยที่ครูบาอาจารย์ยุคก่อนจะพูดว่า อะไรที่เป็นคงกระพันแบบสุดๆนั่นก็เป็นเมตตาเเบบสุดๆเหมือนกัน(เห็นมั๊ย มันพลิกแพลงได้)

    หากไม่สำเร็จด้วยอำนาจพุทธคุณหรือเทวาธิคุณ ทีนี้ก็มาดูกันในกรณีสำเร็จด้วยอำนาจจิตของผู้เสกเอง ว่าท่านมีคุณธรรมระดับไหน ท่านตั้งอารมณ์เสกแบบไหนเล่นธาตุอะไรหนักไปทางไหน ก็จะเน้นให้มีอิทธิคุณออกมาเป็นด้านๆไปได้เหมือนกัน

    ยกตัวอย่างคงกระพัน ของจำพวกที่หนังเหนียวฟันไม่เข้า คนไม่รู้เอาปืนไปยิง พอยิงออกกระจุยก็ต่อว่าอาจารย์นั้นๆเสียยกใหญ๋ ท่านไม่ได้ลงมหาอุตม์เอาไว้คนลองที่ไม่รู้และไม่ถามก่อนนั่นเเหละที่เสร่อไม่เข้าเรื่อง คนจะเข้าใจกันผิดๆสับสนปนเปกันว่าของเหนียวของคงกระพันปืนต้องยิงไม่ออก ที่จริงการเสกนั้นมันคนละอย่างมหาอุตม์ก็คือมหาอุตม์ คงกระพันก็เป็นเรื่องของคงกระพัน

    สำหรับพ่ออาจารย์นั้น จริตท่านจะหนักทางเมตตา เรียกได้ว่าหากไม่สำเร็จด้วยพุทธคุณหรือเทวาธิคุณ ให้ท่านมาเสกเองของเหนียวก็เป็นเมตตาได้

    ท่านว่าสมัยนี้ เรื่องคงกระพันมหาอุตม์ตกไปแล้ว ไม่เหมือนเมื่อก่อน ไม่ได้เป็นโจรเป็นเสือปล้นเขา คนสมัยนี้หลักใหญ่คือทำมาหากินเเสวงหาความเจริญก้าวหน้าให้กับชีวิต ที่สำคัญคนไทยโกรธกันเเละเกลียดกันรุนเเรงกว่าอดีตเพียงเพราะเรื่องของคนอื่น

    พ่ออาจารย์ท่านจึงเน้นทำของเมตตาเเละของที่ใช้ในทางโชคลาภเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งนานๆทีท่านจะจับของเเนวเหนียวๆมหาอุตม์ ท่านให้เหตุผลว่า สมัยนี้เหนียวไปทำไมจะไปยิงไปรบกับใคร เอาเเค่ตัวเราอยู่ที่ไหนไม่มีคนเกลียดมีคนรักคนเมตตา ทำมาหากินเจริญรุ่งเรืองก็พอ ถ้ากลัวภัยอันตรายก็ลงแคล้วคลาดได้ แบบนี้อันตรายก็จะไม่โดนเราอยู่ดี

    พูดถึงพุทธคุณหลักใหญ่ที่ครอบคลุมทุกประเภทนั้นก็มี แต่คนเราก็แปลก ตราบใดที่เรายังเเสวงหาเเละต้องการไม่สิ้นสุด เราจะพอมั้ยเราจะจบรึเปล่า เราจะมั่นใจเเละพร้อมลุยไปกับมงคลวัตถุนั้นโดยปราศจากข้อกังขาเเละสงสัยมั๊ย บางทีกำลังใจก็สำคัญเหมือนกันเวลาเราใช้เครื่องราง ถ้าใจเราครึ่งๆกลางๆมันก็พูดยาก

    พ่ออาจารย์บอกว่า มนุษย์นี้ก็แปลก เทพเทวดาน่ะเชิญท่านมาได้ ท่านมาท่านก็จะดูการกระทำของเราเป็นหลักใหญ่ก่อนที่จะสงเคราะห์ให้ในเรื่องต่างๆ ไม่มีเทวดาที่ไหนหรอกที่สักเเต่จะให้ตามที่มนุษย์ขอ โดยไม่ดูไม่มองอะไรเลย ทำตัวไม่มีคุณค่ารอโอกาสอยู่เฉยๆไปวันๆ คนประเภทนี้เทวดาเขาก็ไม่ฟังคำร้องขอเหมือนกัน ขึ้นชื่อว่าวัตถุมงคลไม่ต้องมีเยอะหรอก สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็เช่นกัน หากท่านเล็งเห็นกำลังใจของเราว่าพอช่วยได้ เป็นคนมีคุณค่าสมควรที่จะช่วยเเละหากท่านช่วยเเล้วท่านไม่ไปไหนหรอก ท่านอยู่ช่วยกันจนตายจากกันไปข้าง แค่นึกถึงท่านก็มา

    เรื่องการสักยันต์ก็เหมือนกัน ท่านไม่เอาเลย ท่านว่ามันเปรอะ มันติดตัวไปจนตาย ที่ทำงานบางแห่งเขาตรวจเขาไม่ชอบ จะเอาออกก็ต้องลบเสียเงินเยอะกว่าตอนสักเสียอีก ท่านจึงเลือกทำเเต่วัตถุมงคล ท่านว่าชอบด้านไหนวันไหนนึกอยากใส่อะไรก็หยิบมาใส่ได้ ถ้าเบื่อก็ถอดออกเปลี่ยนสลับกันได้ แบบนี้ไม่เจ็บตัวเนื้อตัวก็ดูสะอาดสะอ้านดีด้วย

    ดังนั้น ก่อนจะใช้วัตถุมงคลต่างๆ เราควรตั้งคำถามให้กับตัวเองก่อนว่าต้องการอะไร และจะจบมั๊ย ไม่มีใครรู้นิสัยตนเองดีเท่ากับตนเอง ดังนั้นคำตอบก็คงคิดได้ไม่ยาก
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • untitled.png
      untitled.png
      ขนาดไฟล์:
      89.8 KB
      เปิดดู:
      433
  4. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,133
    ค่าพลัง:
    +16,534
    ความคืบหน้าของพ่ออาจารย์พล

    ขณะนี้โค้ดทางช่างเเจ้งว่าเสร็จแล้ว ที่เป็นชื่อพ่ออาจารย์ รอผมเดินทางไปรับ ต่อไปได้ตอกเป็นมาตรฐานสำหรับวัตถุมงคลท่านต่อไป

    ทีนี้มาดูไม้สัก ซึ่งได้มาตรงตามนิมิตรของพ่ออาจารย์พล เป็นไม้ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ซึ่งทำจากไม้สัก บอกที่มาละเอียดไม่ได้บอกได้เเต่อายุ100กว่าปีเเละเกี่ยวข้องกับสมเด็จโต วัดระฆัง ถือเป็นของสูงเเละเเรงมาก

    เมื่อศิษย์นำมามอบให้ท่านรุ่งขึ้นพ่ออาจารย์ถึงกับบอกว่า พวกกุมารหรืออะไรที่อยู่กันนี่เงียบหมดเลย เขากลัวไม้นี้กันมากเป็นของสูงจริงๆ

    พ่ออาจารย์เตรียมไว้สร้างพ่อขุนผาเมือง ทีนี้มวลสารก็ครบถ้วนทั้งมวลสารที่ได้ตามนิมิตรทั้งหมด เหลือเเต่รอผงมหาจักรพรรดิ์ของพี่หมอ ซึ่งไม้นี้พ่ออาจารย์ได้ดำเนินการเลื่อยเเละเเกะด้วยตัวท่านเองทุกขึ้นตอน ท่านว่าอาถรรพ์สูง ท่านจึงทำทั้งหมดเอง และเราทำเองใช้ไม้ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ล้วนๆของแท้ๆไม่ต้องกลัวว่าจะมีเจือปน เขาจะเอาไปเก็บเอาอย่างอื่นมาเเกะ แบบนั้นที่นี่ไม่มี ชมเรียกน้ำย่อยกันไปก่อนนะครับ

    ไม้เหล่านี้ทางวัดเจ้าอามเคยนำมาแกะสมเด็จให้บูชาราคาวัดองค์ละ10,000 ของพ่ออาจารย์แกะเองย่อมใหญ่เเละหนากว่านั้นใส่มวลสารอุดตะกรุดวางใจได้เลย ที่สำคัญราคาบูชาไม่แพงแบบที่คิด เอาเเค่ว่าถ้าศรัทธาเก็บปัจจัยมาบูชาได้ก็แล้วกัน ถือเป็นของสูงที่จะหาไม่ได้อีกเเน่นอนในชีวิต เพราะเป็นของที่ทันสมเด็จโตเเละเป็นของสูงของศักดิ์สิทธิ์มีพลังของท่านในปริมาณมาก ท่านลงอุโบสถทำวัตรสวดมนต์ปลุกเสกพระอัญเชิญเทวดาไม้เหล่านี้ก็ได้ซึมซับพลังงานเหล่านั้นไปด้วยครั้งเเล้วครั้งเล่ายุคเเล้วยุคเล่า ติดตามกันดีๆครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,133
    ค่าพลัง:
    +16,534
    หลักธรรมกับการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน

    มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฐา มโนมยา
    มนสา เจ ปทุฏฺเฐน ภาสติ วา กโรติ วา
    ตโต นํ ทุกฺขมนฺเวติ จกฺกํ ว วหโต ปทํ
    ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า
    มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จด้วยใจ
    เหมือนล้อหมุนตามรอยเท้าโคที่ลากเกวียนไป ฉะนั้น
    ถ้าคนมีใจชั่ว ก็พูดชั่วหรือทำชั่วตามไปด้วย
    เพราะความชั่วนั้น ทุกข์ย่อมติดตามเขาไป

    มโน ปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา
    มนสา เจ ปสนฺเนน ภาสติ วา กโรติ วา
    ตโต นํ สุขมนฺเวติ ฉายา ว อนุปายินี
    ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า
    มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จด้วยใจ
    ถ้าคนมีใจดี ก็จะพูดดีหรือทำดีตามไปด้วย
    เพราะความดีนั้น สุขย่อมติดตามเขาไป
    เหมือนเงาติดตามตัวเขาไป ฉะนั้น

    มีคนมาสอบถามท่านเรื่องการทำสมาธิวิปัสสนา ท่านได้ยกหลักธรรมข้อนึงมาพูดตามที่พิมพ์ไว้ด้านบน ท่านเเจกเเจงเเละอธิบายขยายไปทีละเรื่องเหลือเชื่อ อ่านยังไงทีเเรกก็ไม่น่าเกี่ยวกับเรื่องกรรมฐานวิปัสสนาได้เลย แต่มันก็คือสัจธรรม ไม่เกี่ยวไม่ได้

    ธรรมทั้งหลายนั้นมีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นหัวหน้า สำเร็จด้วยใจ แต่ผู้เจริญก็อย่าได้หลงใจ หลงไปในสิ่งปรุงเเต่งที่จะมาเป็นรูปเป็นเสียงเป็นสิ่งสวยงามต่างๆ เพราะในขั้นตอนการทำสมาธินั้นย่อมจะเกิดความสุขมีปิติเป็นล้นพ้น ถ้าหลงติดอยู่ในส่วนนี้ก็ไม่สามารถยกขึ้้นสู่วิปัสสนาได้ ก็เหมือนติดอยู่ในกามภพเวียนว่ายตายเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้จักจบสิ้นนั่นเอง

    สิ่งที่เราจะต้องก้าวผ่านไปให้ได้ในการทำสมาธิก็คือ อารมณ์ต่างๆทั้งวิตก วิจารณ์ ปิติ สุข เอกัคคตา สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่เหมือนกัน ในบางคนก็เกิดขึ้นทีละอย่าง ในบางคนก็เกิดไวมากไล่เรียงไปเเทบจะพร้อมกัน

    การทำวิปัสสนากรรมฐานนั้นหลักใหญ่ของพระพุทธศาสนาคือการใช้ความคิด ใช้ปัญญาพิจารณาสิ่งต่างๆจนรู้เเจ้งเห็นจริง ที่เราต้องทำสมาธิก่อนก็เพื่อให้จิตใจนิ่งสงบพอเหมาะพอควรกับการที่จะใช้ความคิดพิจารณาสิ่งนั้นๆได้

    เราไม่สอนให้คนพยายามตัดความคิดต่างๆที่จะเกิดขึ้นระหว่างการทำสมาธิ เพราะมันเหมือนเป็นยาขม พอเราไปตัดมันก็จะคิดใหม่อยู่นั่น เราควรทำซะให้มันเป็นประโยชน์ เมื่อจิตใจฟุ้งซ่านมีความคิดเเทรกเข้ามาเราก็ไม่ต้องไปตัดเราก็ปล่อยมันคิด เเต่เราพิจารณาตามมันไปเลย คิดตามมันไปเลย ใช้ความคิดของเราจบสิ่งเหล่านั้นให้อยู่ในอริยสัจ พิจารณาสิ่งที่เข้ามาในความคิดเรา มองให้ออกว่าอะไรคือทุกข์ของสิ่งนั้น อะไรเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ของเรื่องนั้นๆ อะไรคือการดับสิ่งนั้นเเละอะไรคือวิธีการที่จะใช้เพื่อดับสิ่งเหล่านั้น

    ยกตัวอย่างถ้าเห็นภาพที่สวยงามก็เเยกเเยะให้ออกพิจารณาไปเลยว่าภาพเหล่านี้สวยงามอย่างไรพอเปี่อยเน่าเเล้วเป็นอย่างไรเเยกธาตุั้งสี่ออกจากกันทุกสิ่งทุกอย่างสุดท้ายมันก็จะกลับคืนสู่ธรรมชาตินั่นเอง

    ท่านว่าร่างกายของคนเรานี้ก็เหมือนรถยนต์ จะใหม่จะเก่ามากหน้าหลายตา ก็คิดซะว่ารถยนต์หลายยี่ห้อ เราเกิดมาในเเต่ละภพชาติหน้าตายังไม่เหมือนเดิมเลย ก็เพราะมโนวิญญาณของเรานั้นเปรียบเสมือนกุญเเจที่เข้ามาปฏิสนธิในร่างกายมาสตาร์ทเครื่อง เมื่อใช้งานจนหมดสภาพเเล้วก็ย่อมต้องกลับออกไป

    เช่นเดียวกับคำถามที่ว่าสวรรค์นรกเป็นอย่างไร ท่านเคยเห็นมั๊ยเคยไปมาหรือยัง ซึ่งเรื่องนี้ทุกคนเคยไปกันมาหมดเเล้วทั้งนั้น อยู่ที่ว่าเราจะรู้สึกตัวมั้ย ท่านว่าหายใจเข้าก็ไปสวรรค์แล้วครั้งหนึ่ง หายใจออกก็ไปนรกเเล้วครั้งหนึ่ง อยู่ที่ว่าเราจะรู้ตัวมั๊ย ว่าวันๆหนึ่งเราไปสวรรค์ไปนรกมาเเล้วไม่รู้กี่ครั้ง (ผมคิดว่าคงเป็นปริศนาธรรมว่าหยุดหายใจก็ตายหายใจมาก็เป็น) ทำไมเราถึงไม่รู้ตัวล่ะ ก็เพราะการปฏิสนธินี่มันไว ไวจนเราใช้สติตามไม่ทัน เปรียบเหมือนเราเอามีดไปผ่าน้ำ ผ่าเปลวไฟ เราคิดว่าน้ำเเละเปลวไฟขาดมั้ย เราคิดว่ามันไม่ขาด เเต่ความจริงมันขาด เเต่พอยกมีดออกมันก็ต่อติดกันเหมือนเดิม เป็นผืนน้ำเป็นเปลวไฟเหมือนเดิม ก็เพราะการปฏิสนธิของเขามันไวจนเราคิดตามไม่ทันนั่นเอง

    สิ่งทั้งหลายสำเร็จด้วยใจ เป็นไปตามกรรมที่ปรุงเเต่งขึ้นมา หมุนเวียนไม่มีวันหยุดซ้ำแล้วซ้ำเล่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ติดตามตัวเราไปไม่มีวันถอยห่างอยู่แบบนั้นชั่วกัปป์ชั่วกัลป์ มีเพียงสิ่งเดียวที่จะปลดเปลื้องการปฏิสนธิเหล่านี้ได้ก็คือพระนิพพาน แล้วพระนิพพานเกิดจากอะไร ก็เกิดจากการใช้การฝึกสมาธิและวิปัสสนาของเรานี่เเหละ เกิดเพราะสิ่งนี้ เป็นไปเพราะสิ่งนี้ ไม่ใช่เรื่องงมงาย เเต่เกิดจากการใช้ปัญญาในระดับวิปัสสนาพิจารณาความเป็นไปต่างๆ

    กลัวจะเบื่อกันก่อน วันนี้ขอจบเรื่องเเนวบรรยายหลักธรรมไว้เท่านี้ก่อนนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ตุลาคม 2014
  6. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,133
    ค่าพลัง:
    +16,534
    เหตุและที่มา แห่งความเจริญรุ่งเรือง

    ข้อคิดดีๆจากพ่ออาจารย์พล

    พระพุทธเจ้าของพวกเรานั้น ท่านตรัสมงคลไว้หลายประการเป็นต้นว่า ไม่คบคนชั้่ว คบบัณฑิต บูชาบุคคลที่ควรบูชา อยู่ในถิ่นที่เหมาะสม มีบุญวาสนามาก่อน เป็นต้น

    สิ่งต่างๆเหล่านี้คือมงคลทั้ง 38 ประการ เชื่อเรามั๊ยว่ามันทำได้ไม่ยากและหากทำได้ล้วนเป็นที่มาแห่งความเจริญรุ่งเรืองในตนเองทั้งสิ้น

    แต่ที่เราจะพูดนี้จะพูดเเค่เรื่องเดียว ซึ่งเราเชื่อว่าหลายคนมองข้าม แท้จริงเเล้วเราควรคิดและสำเหนียกเอาไว้ให้มาก ตระหนักไว้ให้ดี

    ที่เราใช้คำว่าเหตุและที่มาก็เพราะว่า สิ่งนี้เป็นที่มา สิ่งนี้เป็นข้อเท็จจริง สิ่งนี้มิได้โกหกหลอกลวง เพราะมีสิ่งนี้จึงมีพวกเราอยู่ในโลก นั่นคือพ่อแม่ของทุกๆคนนั่นเอง

    เพราะพ่อแม่คือสิ่งที่สูงส่ง ควรค่าและได้รับการบูชาก่อนครูบาอาจารย์ด้วยซ้ำ ขึ้นชื่อว่าคนเกิดมาต่างที่ต่างสังคมและวัฒนธรรมย่อมมีจริตต่างกัน แต่เชื่อได้ว่าไม่ว่าใครพ่อแม่เขาย่อมรักเขามากล้นพ้นความรักที่ผู้อื่นจะมีให้ได้ หากแต่จริตคนนั้นเเตกต่างกัน การแสดงออกย่อมไม่เหมือนกัน

    ทีนี้ลูกควรทำอย่างไรกับพ่อแม่ ก็ควรให้การอุปถัมภ์เลี้ยงดู ใส่ใจ บัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น การเลี้ยงดูบิดามารดานี้ก็ได้ชื่อว่าเเทนคุณของท่านแต่ก็ไม่สามารถตอบแทนได้ทั้งหมด แต่ที่แน่ๆไปไหนเธอเป็นคนกตัญญู ใครพบเห็นย่อมเป็นที่สรรเสริญ แม้ทำดีไว้ไม่มีใครเห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็เห็น เขาก็โมทนาสาธุการ นี่ยังน้อยนะ สังเกตุดูคนที่เลี้ยงบิดามารดา ประพฤติอย่างดีไม่ขาดตกบกพร่อง ชีวิตพวกเขานั้นหาความตกต่ำมิได้เลยในทุกๆเรื่อง

    สมัยนี้บางคนคิดว่าอายไม่กล้าพูดไม่กล้าทำ แต่กับคนอื่นทำได้ กับผู้หญิงเเสดงความรักได้ กับครูบาอาจารย์หมั่นไปเยี่ยมไปหาซื้อของไปให้ต่างๆ ก็เเล้วเรื่องแบบนี้จะมีประโยชน์อันใด ถ้าเราได้ละเลยสิ่งดีๆที่อยู่ที่บ้าน ที่เลี้ยงเรามาเสียเเล้ว เราลืมพวกท่านไปนึกถึงคนอื่น เช่นนี้เรียกว่าอกตัญญูรึเปล่า

    กราบเท้าพ่อแม่เป็นประจำทุกวันคิดว่าควรอายมั๊ย จะให้ดีหาน้ำมาล้างเท้าท่านก็ยิ่งดีไม่ต้องอาย น้ำที่ล้างเท้าพ่อแม่นี่เเหละเอามาประพรมหัวเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตดียิ่งนัก ดื่มกินเข้าไปก็ถอดถอนคุณไสยอัปมงคลได้ทุกประการ ถูกทำเสน่ห์ก็จะกลับคืนฟื้นสติตัวเอง นี่แค่น้ำล้างเท้าผู้ให้กำเนิดยังมีคุณขนาดนี้ แล้วเราจะสนองคุณท่านผลดีจะไม่กลับมาที่เรามากกว่านี้หรือไง

    ก็ฝากไปคิดกันเอา ศาสนาพุทธสอนให้คิดพิจารณานะ ใช้ความคิดให้มากๆว่าเราเป็นคนอยู่ทุกวันนี้มีที่มาจากอะไร เราจะล้มจะได้ดีใครคือคนที่คอยเราเสมอ แล้วถ้าเราอยากจะได้ดี จงมองตนเองว่าได้ทำดีกับพ่อแม่เเล้วรึยัง ถ้ายังปล่อยให้ท่านรอกินข้าว ทิ้งให้ท่านรอการกลับมาไปไหนมาไหนไม่บอกไม่กล่าวปล่อยให้ท่านเป็นห่วง แบบนี้มันก็จะหยุดอยู่แค่ห้วงนึงแบบนั้นแหละไม่อาจจะก้าวต่อไปได้ คำว่าเป็นห่วงของพ่อแม่นี้นะเธอรู้มั๊ยว่าสุดยอดเลย ถ้าทำดีๆให้ท่านสบายใจ มีความสุข ภูมิใจที่มีลูกแบบนี้ เท่านั้นเเหละเธอ คอยดูความเปลี่ยนแปลงได้เลย เห็นได้ชัดและไวทีเดียว

    อย่าละเลยโอกาสทองที่อยู่ตรงหน้าไปแสวงหาคว้าก้อนหินก้อนกรวด ต่อให้เธอไปกราบพระอรหันต์เดินทางไกลเเค่ไหน แต่เธอลืมพ่อแม่ เราเชื่อว่าสิริมงคลก็ไม่มีกับเธอ มันไม่มีตั้งเเต่เริ่ม ตั้งเเต่เธอคิดที่จะออกจากบ้านเเล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ตุลาคม 2014
  7. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,133
    ค่าพลัง:
    +16,534
    ช่วงนี้มีข่าวพระเกจิชื่อดังหลายท่านมรณะภาพติดๆกัน ก็ขอน้อมส่งหลวงปู่หลวงพ่อด้วย

    พ่ออาจารย์เคยกล่าวไว้ว่า เมื่อสัญญาความจำได้หมายรู้ และเวรกรรมมาบรรจบกันทุกสิ่งของภพชาตินี้หมดไป เราก็ควรยินดีกับเขา การจากไปสำหรับผู้ประพฤติธรรมนั้นไม่ใช่สิ่งที่ควรเสียใจเลย

    เราเองต่างหากควรควบคุมอารมณ์และกำลังใจของเราให้ดี ท่านเหล่านั้นก็เป็นไปตามเวรกรรมเเละภพชาติของท่าน แม้ตัวเราเองก็ตามวันเวลาเหล่านั้นย่อมมาถึงเหมือนกัน ตระหนักกันเอาไว้เสมอ ว่าใครก็ไม่สามารถพ้นจากตรงนี้ กำลังใจอย่าให้ตก มีเวลาว่างก็ปฏิบัติกรรมฐานกันบ้าง อย่าหลงอย่าเสียเวลาเท่านี้พอ ถ้าจะนึกถึงท่านคำพูดคำสอนท่านที่ดีๆนั่นเเหละเป็นตัวเเทนให้เรานึกถึง
     
  8. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,133
    ค่าพลัง:
    +16,534
    การอธิษฐานใช้ของพ่ออาจาย์พล

    วันนี้จดมาให้ใช้กัน บางอย่างก็มีคาถาบางอย่างก็ไม่มีในวัตถุมงคลต่างๆ แต่ก่อนใช้ต้องมีบทไหว้ครูอยู่บทหนึ่งที่จะลืมไม่ได้คือ บทนี้ ให้ตั้งนะโม3จบแล้วกล่าวว่า

    นะมัสสิตตะวา อิสีสิทธิโลกะนาถัง พรหมมานังจะสหัมปติ มะอะอุ อทิกะมูลัง ตรีเทวานังมหาศาสตรา อุอุอะอะมะมันตรา อุอะสวามหามันตังมะอะอุโลปะเกยเยยยัง อังการะโหติสัมภะวัง ด้วยคติแห่งโพธิและมหากรุณาธิคุณ บรมครูเหล่าใด เทพพรหมเหล่าใด ที่พ่ออาจารย์พลได้เชื้อเชิญมาดีเเล้ว ขอจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายเหล่านั้นจงเป็นกำลังใจให้ข้าพเจ้า ให้ดำรงค์ชีวิตอยู่ประสบเเต่ความเจริญรุ่งเรืองและสำเร็จในทุกสิ่งที่ปรารถนา อย่าได้พึงรู้จักคำว่าไม่มี อย่าได้พึงรู้จักกับคำว่าพอ ขอคุณบรมครูเหล่านั้น เทพพรหมเหล่านั้น จงช่วยเหลือข้าพเจ้าในทุกๆด้าน(อธิษฐาน)
     
  9. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,133
    ค่าพลัง:
    +16,534
    การสวดมนต์

    มีคนมาถามพ่ออาจารย์เรื่องทำสมาธิ ไล่มาเลย เขาสงสัยทุกอย่าง คุยกันไปคุยกันมา มาถึงการสวดมนต์ปรากฏว่าเขาไม่เคยสวดเลย เขาพยายามนั่งสมาธิหลายๆชั่วโมงก็ไม่เห็นไม่เข้าใจอะไรมากขึ้น

    พ่ออาจารย์ท่านให้เหตุผลแบบนี้ว่า คนเราสมัยนี้แปลกมาก ชอบคิดไปเองถึงรสชาติผลไม้นั้นๆทั้งๆที่ยังไม่เคยเห็นไม่เคยกิน แต่ก็กลับนำมาพูดได้เหมือนตนเคยกินมาเเล้ว กล่าวคือใช้ปัญญาจำวิธีปฏิบัติคำสอนคำเทศน์ของคนอื่นเขามาสงสัยเเล้วก็ถาม มันจะไปเกิดมรรคเกิดผลได้อย่างไรคุณอยากกินผลไม้เเต่คุณไม่ปลูกต้นไม้ คุณมีกระถางคุณไม่ใส่เมล็ดพันธุ์ชาติไหนจะได้กิน

    พระธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ ปฏิบัติได้ ยึดถือเป็นแบบอย่างได้ งามทั้งในเบื้องต้น งามในท่ามกลางและงามในที่สุด หลักของธรรมนี้ก็ไม่ได้ไปไหนก็มาจากธรรมชาติรอบๆตัวเรานั่นเองไม่ใช่สิ่งไกลตัว ไม่ใช่สิ่งเข้าไม่ถึง ท่านเปรียบไว้ว่าพระธรรมเเละข้อปฏิบัติของพระองค์มีมากมายประดุจใบไม้บนต้นไม้มากจนประมาณด้วยตามิได้ว่ามีกี่ใบ ที่พระองค์ทรงนำมาสอนนั้นเปรียบเหมือนใบไม้ที่พระองค์หยิบมากำมือหนึ่งเท่านั้น เพราะอะไร ก็เพราะให้เหมาะกับสติปัญญามนุษย์ที่จะรับได้ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ในเเต่ละสมัยทรงเลือกธรรมที่เหมาะกับระดับสติปัญญาของมนุษย์ยุคนั้นมาสอนทั้งนั้นก็เพื่อความพอดีนั่นเอง

    พิจารณาตามเรา สมัยนี้คนฟังเทศน์กันมาก ฟังไปทำไมฟังเพื่ออะไร เคยคิดมั๊ย สมัยพุทธกาล สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังดำรงค์พระชนม์ชีพอยู่ ท่านเทศนาธรรมวาระต่างๆ เเม้คนที่อยู่ไกลจนขนาดต้องยืนฟังเขาก็บรรลุโสดาบันเป็นพระอริยบุคคลได้ เพราะเสียงที่ผ่านหูเขานั้น เขาใช้ใจฟังใช้ใจรับ คนเหล่านี้เขามีอินทรีย์ที่แก่กล้ามีบุญวาสนามาก่อน เขาใช้ปัญญาที่ศรัทธาเที่ยงเเท้พิจารณาข้อธรรมที่เขาฟัง มันจึงเกิดมรรคเกิดผล ลองดูสมัยนี้ ผ่านไปซัก10วัน ลองถามสิว่าฟังเทศน์เรื่องอะไรมา เข้าใจเเค่ไหน อย่าถามว่าจะเข้าใจเลยเอาเเค่ว่าจำได้มั๊ย เห็นมั๊ยนี่คือความต่างของยุคสมัยเเค่2,500ปี

    สมัยก่อนนั้น ไม่มีการสวดมนต์เเต่เวลาที่ผ่านมาก็เป็นประสบการณ์สู่รุ่นต่อรุ่น บทสวดมนต์นั้นมีไว้ก็เพื่อให้นึกถึงคำสอนของพระศาสดา ไปลองอ่านคำแปลเเละทำความเข้าใจดูซะ ดีกว่าไปแสวงหาพระอรหันต์ที่ไหนอีก ก็ในเมื่อพระธรรมที่จะเป็นเครื่องปลดเปลื้องอาสวะกิเลสมีอยู่เเล้วในหนังสือ คนเรานี่ก็เเปลก ก็พยายามเเสวงหาไม่สิ้นสุด การสวดมนต์นั้นให้ตั้งใจสวดใส่จังหวะเเละทำนองจะทำให้ไม่ง่วงไม่น่าเบื่อ ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าปิติมันก็เกิดรู้สึกขนพองสยองเกล้าอิ่มเอิบใจ นี่เเค่คิดจะสวดนะ

    การที่เราสวดมนต์ต้องมาพนมมือเเทนดอกบัว ใช้ตาสองข้างเเทนเเสงเทียนนั่งตัวให้ตรงๆเพื่อบูชาคุณพระพุทธเจ้านี้ ก็เพื่อฝึกอินทรีย์ของเราให้เเก่กล้ากอปรด้วยศรัทธาตั้งมั่นมีความอดทน เพื่อระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้าเเละเหนือสิ่งอื่นใดคือให้ซึมซับคำสอนทำความเข้าใจกับคำสอนเรื่องนั้นๆไปในตัว บ่อยเข้า บ่อยเข้า มากเข้า มากเข้า เมื่อเรามีเวลาทำสมาธิเลยไปถึงวิปัสนาทุกอย่างมันก็จะง่าย เพราะเรามีพื้นฐานที่ดี มีอินทรีย์ที่แก่กล้า แบบนี้สิไม่ต้องไปฟังหลวงปู่หลวงตาที่ไหนเทศน์ก็ได้ ก็ในเมื่อพระพุทธเจ้าเทศน์ไว้ดีเเล้ว หลวงปู่หลวงตาท่านก็เดินตามหลักธรรมเหล่านี้เช่นกัน เราก็มนุษย์เหมือนกัน ค่าความเป็นคนเท่ากัน ทำไมไม่ลองมาทำความเข้าใจกับเส้นทางนี้หลักธรรมนี้ด้วยตนเองกันบ้าง

    แง่คิดดีๆสำหรับวันพระใหญ่นะครับ :cool:
     
  10. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,133
    ค่าพลัง:
    +16,534
    ย้ำคำท่าน อย่าชะล่าใจ

    ของสูงครูแรงเเบบนี้หายากมาก ย้ำคำพ่ออาจารย์ท่านว่าอย่าชะล่าใจ เพราะเพิ่งเคยได้ยินครั้งเเรกที่ท่านทำวัตถุมงคลมา ไม้ใบระกา หางหงส์แกะไม่ได้ ต้องใช้เฉพาะส่วนช่อฟ้าเท่านั้น ซึ่งเหลือน้อยจริงๆ ยิ่งเป็นไม้สัก สมัยวัดระฆังได้รับการเสกจากเจ้าพระคุณสมเด็จโตด้วย ไม่อยากให้พลาดกัน

    ผมชอบกลอนบทนี้มากเลย ให้ท่านท่องเป็นทำนองเสนาะให้ฟัง เพราะติดหูทีเดียว


    ท้าวสหัมบดีพรหม เป็นบรมในพรหมมา
    ทรงฤทธิ์ศักดา กว่าบริษัททุกหมู่พรหม
    น้อมหัตถ์นมัสการ ประดิษฐาน ณ. ที่สม-
    ควรแล้ว จึ่งบังคม ชุลีมาศ พระสัมมา
    ขอพรอันประเสริฐ วาระเลิศ มโหฬาร์
    ปวงสัตว์ในโลกา กิเลสน้อยก็ยังมี
    ขอองค์พระจอมปราชญ์ สู่ธรรมาสน์อัศรุจี
    โปรดแสดงพระสัจธรรม เทศนา แลวาที
    เพื่อให้สำเร็จผล แด่ปวงชน บรรดามี
    สู่สุขเกษมศรี สมดังเจตนา เทอญ


    สุดยอดบรมครูผู้ยิ่งใหญ่และประเสริฐสุดในฝ่ายพรหมของพระพุทธศาสนา เจ้าแห่งพรหมโลกผู้อาราธนาสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกโปรดเวไนยสัตว์ ด้วยพระเมตตาของพระองค์ บรมครูผู้เป็นใหญ่เป็นผู้นำแห่งหมู่พรหมสุทธาวาส พรหมผู้ได้ชื่อว่ามีรัศมีรุ่งเรืองที่สุด เป็นใหญ่สูงสุดเปรียบดั่งกษัตริย์เหนือกษัตริย์ เทพเจ้ายิ่งเทพเจ้าในหมู่พรหม ผู้ได้รับการกราบไหว้บูชาทุกภพภูมิ และเมตตารักใคร่สรรพสัตว์ผู้ทุกข์ยากมากที่สุด ก็คือ ท้าวสหัมบดีพรหมผู้เป็นบรมครูใหญ่ของพ่ออาจารย์พลนั่นเอง
     
  11. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,133
    ค่าพลัง:
    +16,534
    สมาธิ กับประโยชน์ในชีวิตประจำวัน

    ผมเป็นคนเหนื่อยง่ายเเละหอบบ่อย แค่วิ่งก็หอบเเล้ว พ่ออาจารย์บอกว่าเราหายใจผิดจังหวะผิดวิธี แล้วก็หายใจผิดๆแบบนี้มาตั้งเเต่เกิดจึงทำให้มีอาการดังกล่าวข้างต้น

    ท่านว่าการทำสมาธิช่วยเเก้ไขเรื่องเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี ให้หัดฝึกทำซะใหม่โดยการหายใจ ให้หายใจเข้าสูดเข้าไปให้สุดและปล่อยลมหายใจออกให้สุด พยายามฝึกพยายามทำบ่อยๆจนกลายเป็นนิสัย ท่านว่ามีดีถึง 2 แขนงด้วยกัน
    1. สิ่งที่จะได้จากการฝึกลมหายใจนี้ คือสุขภาพดี ไม่เหนื่อยง่าย อาการหอบจะค่อยๆหายไป และยังเป็นคนมีสติรู้จักการคิดทบทวนสิ่งต่างๆเเบบฉับพลัน ไอ้ตัวสติที่ได้จากการทำสมาธินี่เเหละ มีคุณค่าสำหรับชีวิตคนๆหนึ่งมาก มีค่าเสียยิ่งกว่าสมบัติพันล้านเเถมยังไม่มีขายหาซื้อที่ไหนไม่ได้ หากมีติดตัวติดกายใครเเละหมั่นใช้หมั่นขัดเกลาเเล้ว คนผู้นั้นจะเป็นยอดคนเเละประสบความสำเร็จไม่ยาก
    2. การเล่นลมหายใจนี้จะช่วยยกระดับภูมิจิต ภูมิธรรมให้เราเเบบไม่รู้ตัว แค่การเล่นลมหายใจนี่เเหละ หมั่นฝึกให้เป็นนิสัย ทำได้ในทุกอิริยาบท ไม่ว่าจะยืนเดินนั่งนอนกินข้าวเเม้เเต่เข้าห้องน้ำก็ยังทำได้ และการเล่นลมหายใจนี้ ยังทำให้คนธรรมดาตาสีตาสากลายเป็นพระอริยบุคคลมามากกว่ามาก บางคนเป็นพระอรหันต์ได้ก็เริ่มมาจากการเล่นลมหายใจนี่เเหละ เห็นมั๊ยล่ะ ขึ้นชื่อว่าสิ่งมีชีวิต มีลมหายใจกันหมด ใครจะเอามาใช้ได้ขนาดไหนมันอยู่เเค่นี้จริงๆ มีสมบัติล้ำค่าติดตัวกันทุกคนให้หมั่นใช้หมั่นขัดเกลาสิ่งเหล่านี้ไว้จะเกิดผลดี

    สตินี้ทำไมต้องหมั่นฝึกในทุกอิริยาบท ทำไมต้องหมั่นเจริญสติตลอดเวลา คิดตามเรานะ คนเราจะตายวันนี้พรุ่งนี้ไม่มีใครล่วงรู้ จะตายตอนไหนเพราะอะไร หากไม่หมั่นเจริญสติไว้มันจะร้ายมากกว่าดี

    คนเราทำบุญมาทั้งชีวิต เผลอทำบาปกรรมครั้งเดียว คนๆนั้นยึดติดกับบาปที่ตนได้ก่อขึ้น เมื่อตายไปแล้ว หากพญายมท่านให้โอกาสถึง3ครั้งก็ยังระลึกถึงคุณความดีต่างๆที่ตัวทำไว้ไม่ออก เพราะอะไรก็เพราะกรรมมันบดบังสิ่งดีๆที่ได้กระทำ และคนผู้นั้นไม่เคยเจริญสติ ไม่เคยหมั่นฝึกการเล่นลมหายใจอะไรเลย เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ต้องไปเสวยทุกขเวทนาในนรกให้หมดก่อนถึงจะรอกรรมดีที่ทำไว้ตามสนอง เเต่หากคนผู้นั้นมีสติพึงระลึกถึงสิ่งดีๆที่ตนเองได้ทำไว้เเล้ว พญายมท่านก็จะพิจารณาให้ขึ้นไปเสวยผลบุญนั้นๆก่อน เมื่อเสวยผลบุญนั้นก็หมั่นเจริญสติต่อไปทำพระกรรมฐานเจริญสมาธิเพื่อจะได้มีโอกาสเกิดมาในภพชาติที่ดียิ่งๆขึ้นไปไม่ใช่ปล่อยให้ผลบุญนั้นหมดก็จะได้ไปเสวยผลกรรมรับทุกขเวทนาต่อ

    เห็นมั๊ยคนเรานั้นคิดไม่ถึงกัน เเค่คำว่าสติตัวเดียวสำคัญขนาดนี้ สติตัวเดียวนี้ชี้นรกสวรรค์ได้ สติตัวเดียวนี้ทำให้ชีวิตคนประสบความสำเร็จได้ จะไม่ให้สำเร็จได้อย่างไร ก็ไอ้ที่เล่นลมหายใจก็คือการทำสมาธิภาวนาใช่มั๊ย เมื่อทำเป็นนิสัย ทำเป็นอารมณ์ เทพยดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านรับรู้ท่านเห็นเเล้ว ท่านชอบเเล้ว คนๆนี้พวกเราพึงใจคนๆนี้ไปไหนก็ตามกันไป ไปช่วยไปอำนวยพรช่วยเหลือกันสารพัด นี่เเหละที่เค้าเรียกว่าสวรรค์เข้าข้างทำอะไรก็สะดวก มันโล่งไปหมด ถึงจะมีปัญหาอุปสรรค หากหมั่นเจริญสติเเละใช้ปัญญาพิจารณาเสมอๆ เชื่อแน่ว่าปัญหาใหญ่เท่าช้างเราก็จะมองมันไม่ต่างจากเมล็ดถั่วเขียวเเละหาทางออกได้เเบบคาดไม่ถึงอีกด้วย

    ก็ฝากกันไว้ เรื่องที่ใครก็ทำได้ คือการเล่นลมหายใจนั่นเอง
     
  12. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,133
    ค่าพลัง:
    +16,534
    พิจารณา พิจารณา พิจารณาๆๆๆ

    ขอยกเรื่องคำสอนเล็กๆมาให้อ่านใคร่ครวญกัน คุณธรรมวันละนิด

    หลักสำคัญใหญ่ของการมีชีวิตในสังคมมนุษย์ปัจจุบันนั้น เป็นอะไรที่แยบคายและมีสิ่งลวงหลอกปรนเปรอเธออยู่มาก การที่ผู้ปฏิบัติธรรมหมั่นเจริญสมาธินั้นก็ดี ก็คือการเจริญสตินั่นเอง ทีนี้สติตัวนี้มันก็คือความระลึกได้ เมื่อเราฝึกให้ชำนาญเเล้วมันก็จะระลึกได้ในการกระทำก่อนที่เราจะลงมือทำลงมือตัดสินใจในทุกๆสิ่ง

    ดังนั้นผู้ที่ฝึกสตินั้นจะฝึกสติอย่างเดียวไม่ได้ จะต้องฝึกการพิจารณาเป็นพื้นฐานควบคู่กันไปด้วย การพิจารณานี้ก็คือการใช้ความคิดเเละสติทบทวนไตร่ตรองสิ่งที่เห็น เหตการณ์ที่มีอยู่เบื้องหน้า โดยตั้งมั่นอยู่ในความถูกต้องไม่โลเล ซึ่งเราเริ่มฝึกได้จากตัวเราเองจนถึงสิ่งที่อยู่รอบๆตัวเราทุกอย่าง เราสามารถใช้ปัญญาพิจารณาสิ่งเหล่านั้นได้ เท็จในจริง จริงในเท็จ สิ่งใดลวงสิ่งใดเเท้ ความรู้สึกที่เป็นรากเหง้าเดิมของจิตเราที่ผ่านการฝึกมาดีเเล้วจะตอบปัญหาเหล่านั้นเอง

    ทำไมถึงต้องฝึกการพิจารณา เพราะศาสนาพุทธนั้นสอนศาสนิกให้เชื่อในเหตุผล เชื่อในสิ่งที่พิสูจน์ได้ เเละการพิจารณาให้ชินเป็นนิสัยนั้นยังส่งผลต่อการทำวิปัสนาด้วย ดังนั้นเวลาเราจะเจริญสมาธิ เราจะท่องคำว่าพิจารณาๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆท่องเเบบนี้ไปเรื่อยๆก็ได้ เพื่อฝึกสติเราให้ยึดติดกับคำๆนี้จนกลายเป็นคนช่างสังเกตุให้เป็นนิสัยต่อไปก็จะพิจารณาสิ่งที่อยู่รอบตัวพิจารณาตัวเอง มองเห็นธาตุขันธุ์ แยกธาตุทั้ง4 พิจารณาจากเกิดจนดับจากดับจนเกิดใหม่ซ้ำเเล้วซ้ำเล่า พิจารณาความทุกข์ความสุขความสำเร็จความผิดหวัง พิจารณากลับไปกลับมาย้อนไปย้อนมา ก็จะเกิดความเบื่อหน่ายในวัฏฏะ ทีนี้เมื่อมาทำวิปัสนามันก็จะง่าย

    การพิจารณานี้ควรฝึกไปควบคู่กับการเจริญสติ ทำได้ทุกวันในทุกสถานที่อย่าได้ขาด ลืมก็ทำใหม่ จะทำให้ความคิดให้ตัวปัญญาของเราเฉียบขาดมากขึ้น เมื่อมีเหตุการณ์ต่างๆกระทบเข้ามาในชีวิตก็พิจารณาถึงเหตุที่มาของสิ่งนั้น ไล่ไปถึงเหตุเเตกย่อยไปถึงกิเลสเเละตัณหา3ที่ผสมกันเป็นรูปนามเป็นความทุกข์เป็นความสุขของเหตุการณ์เหล่านั้น ฝึกเอาไว้จนมองโลกเเละรู้เท่าทันความเป็นไปของโลก เพียงเท่านี้ก็จะเป็นคนที่สามารถใช้ปัญญาเเก้ไขปัญหาต่างๆได้ทันท่วงที

    สมัยนี้สิ่งลวงหลอกมันเยอะ สิ่งปรนเปรอมันก็เยอะ ยิ่งนับวันคุณธรรมก็จะเสื่อมสัจธรรมก็จะถอยหลัง เพราะอะไร คุณธรรมเเละสัจธรรมที่เเท้นั้นตั้งอยู่โดยธรรมชาติเเละเราจะเกิดดับสิ่งนี้ก็ยังอยู่ไม่ได้ไปไหน จะโทษว่าเป็นความเสื่อมของยุคสมัยมันก็ไม่ถูก เพราะร่างกายนี้เราควบคุมอยู่ ดังนั้นต้องโทษที่ตัวคนเอง การฝึกจากเรื่องเล็กๆง่ายๆเพื่อเข้าไปหาหลักใหญ่นั้นเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เพราะถ้าข้ามขั้นคิดเเต่จะกระโดด ตกลงมามันจะเจ็บ หากเราไม่มีพื้นฐานที่ดีเเล้วจะต่อยอดอะไรได้ เมล็ดพันธุ์ที่ดีย่อมให้ผลิตผลที่ดีไปด้วย ถ้าคนที่ฟังใช้ใจฟังฟังด้วยสติพิจารณาทีละขั้นทุกคำพูดของเรา เขาก็จะพอเข้าใจได้ เเต่ถ้าใช้หูฟังคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว คิดว่าเป็นเรื่องทำเมื่อไหร่ก็ได้ แบบนี้เขาก็จะใช้เวลานานกว่าจะเข้าใจ

    วันนี้จบเเรื่องการพิจารณาไว้เเต่เพียงเท่านี้นะครับ พิจารณา พิจารณา พิจารณาๆๆๆๆๆๆ
     
  13. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,133
    ค่าพลัง:
    +16,534
    ประโยชน์ของพาหุง 8 บท

    พิมพ์เป็นวิทยาทาน พ่ออาจารย์ถอดมาจากลายมือของหลวงปู่เฒ่ายิ้ม วัดหนองบัว ซึ่งถอดยากเเละพิมพ์อ่านยากมาก

    พระคาถาอิติปิโสแลให้เจริญภาวนาไว้ ไม่ตายด้วยคมอาวุธหอกดาบเลย ใช้เสกน้ำมันให้เดือดทาตัวเป็นคงทนทรหดอยู่คงหอกดาบปืนไฟ ทำอันตรายมิได้เลย เสกขมิ้นเสกว่านกินก็ได้ ผู้ใดได้บริกรรมไว้ผู้นั้นจะมีปัญญาดั่งพระพุทธโฆษาจาริย์แล ท่านตีค่าไว้เป็นค่าควรเมือง เมืองหนึ่ง

    พระคาถาพาหุงทั้ง8บท อันได้แก่
    - พาหุงสะหัส....
    - มาราติเร....
    - นาฬา.....
    - อุกขิต....
    - กัตวา....
    - สัจจัง....
    - นันโท.....
    - ทุคคา.....
    - เอตา....

    ไหว้คุณพระพุทธา พระมหาอนันตคุณ มีฤทธิ์อันสมบูรณ์ สืบบุราณมานานเนือง

    พาหุงบทต้นนั้น คุณอนันต์อเนกเมือง ช่วยสัตว์ไม่ขัดเคือง ล้ำเลิศยิ่งทุกสิ่งสรรพ์

    ถ้าแม้นจะแก้คุณ ให้ดับสูญสิ้นเสียพลัน ภูติผีปีศาจอัน ที่สมมติมนุษย์ทำ

    บทสองคือมารา ให้เสกยากินประจำ มีคุณนั้นเลิศล้ำ เสดาะโรคไม่ราคิน

    เเม้นเข้าสู้ไพรสณฑ์ จะผจญด้วยไพริน สารพัดสัตว์กลัวสิ้น ด้วยนาฬาประเสริฐสม

    แม้นจะจรไปต่างเมือง ให้รุ่งเรืองทั่วนิคม ฝูงชนยอมนิยม มโนน้อมเป็นไมตรี

    อุกขิตตะขักให้ภาวนา ได้ลาภาเหมือนวารี บูชาทุกดิถี มาสู่ที่สำนักตน

    อนึ่งมีศัตรูหมาย มาทำร้ายจราจล จะให้จิตผู้นั้นวน สามิภักดิ์มารักเรา

    ให้รำพึงพระคาถา กัตวาแล้วนึกเอา ผู้นั้นจะบรรเทา กลับใจจิตรเป็นมิตรพลัน

    เเม้นจะพูดให้เขาเชื่อ สัจจังเจือเป็นนิรันดร์ เห็นจริงทุกสิ่งสรรพ์ ไม่คลางแคลงระแวงใจ

    แม้นถูกอสรพิษ ไม่ว่าฤทธิสิ่งอันใด ดับพิษได้เร็วทันใจ วิเศษในบทนันโธ

    อนึ่งประจนปัจจามิตร ทุคหทิฏในมะโน ปิดฉาทิฏฐิโก มนุสโสระอายใจ

    เอตาปิพุทธ อย่าได้ละรำพึงไป พระคุณอนันต์ใน อุดมเลิศในธาตรี

    พาหุงทั้ง8บท ท่านกำหนดพระคุณมี ยิ่งพื้นพระธรณี จะกำหนดให้ชื่นชม หนึ่งแก้ความเขาปองหา ตักน้ำมาโดยนิยม สิบนิ้วนั่งประนม ทำน้ำมนต์ด้วยบาลี พาหุงทั้ง8บท เขียนชื่อจดจงทันที เสกแล้วเอาวารี ชุบขยี้ละลายไป ศูนย์สิ้นไม่แก่นสาร อธิษฐานตามชอบใจ โจทย์จนไม่ทนได้ กองทิ้งไข่เหนือศิลา จงจำกำหนดแน่ เท่านี้แลพระคาถา 8บทดั่งพรรนา ยุติกาเท่านี้เอย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ตุลาคม 2014
  14. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,133
    ค่าพลัง:
    +16,534
    ถามท่านเเล้ว ถ้าเต็มสูตรคงจะไม่เล็กเลย คงจะยาวพอประมาณ เพราะมีจำนวนยันต์ถึง8ยันต์ด้วยกัน ต่างกันที่รายละเอียดในเเต่ละเเบบการลง เมื่อทั้ง8พระยันต์มาประกอบกันถึงจะเรียกว่ามหาบุรุษ8จำพวกแบบเต็มสูตร

    คำว่ามหาบุรุษแปดจำพวกนี้ ไม่ได้หมายถึงพระราชา อำมาตย์หรืออะไรเเบบที่นิยายเขาเขียนขายของ เเต่หมายถึงพระอริยบุคคลที่ได้คุณธรรมทั้ง8จำพวก อันได้แก่
    - โสดาปัตติมรรค
    - โสดาปัตติผล
    - สกิทาคามิมรรค
    - สกิทาคามิผล
    - อนาคามิมรรค
    - อนาคามิผล
    - อรหัตมรรค
    - อรหัตผล

    หนึ่งพระยันต์ก็เป็นตัวแทนของระดับคุณธรรมเบื้องต้น 1 ระดับ รวมกันเป็นแปดพระยันต์แทนคุณธรรมทั้ง 8 ระดับ ประกอบเป็นมหาบุรุษ 8 จำพวก

    ที่นิยมลงกันก็เพียงตัวย่อเเบบตัวผู้ตัวเมียเพียงเท่านี้ ก็ใช้ได้เเล้ว ท่านอธิบายมาประมาณนี้ครับ

    พิมพ์ตกไปหน่อย เหตุที่พลิกหน้ามือเป็นหลังมือทำเรื่องเป็นไปไม่ได้ให้เกิดขึ้นได้ เพราะคุณธรรมทั้ง8นี้ สามารถเปลี่ยนคนธรรมดาให้เป็นอริยบุคคลได้ คุณธรรมทั้ง8นี้ สามารถยังความมืดให้กลับเป็นสว่างได้ เป็นปริศนาธรรมที่ผู้ใดได้พบคุณธรรมทั้ง8นี้ ก็จะประสบเเต่ความเจริญรุ่งเรือง ไม่มีวันตกต่ำลงมาอีกเเล้ว ที่ใดที่มีคุณธรรมทั้ง8ปรากฏอยู่สถานที่นั้นก็จะงอกงามเจริญรุ่งเรืองเเม้เเต่เทพยดาก็จะมารักษาทุกเช้าค่ำเป็นพระยันต์ที่เมื่อลงเต็มสูตร ก็จะเป็นตามที่กล่าวมาเป็นปริศนาธรรมชั้นเลิศที่กล่าวสรรเสริญคุณธรรมทั้ง8ระดับของพระพุทธศาสนา ที่ถูกถอดเเละนำมาจารึกไว้ในรูปแบบของอักขระยันต์ การลงให้ประสิทธิทัั้ง8พระยันต์ก็มีขั้นตอนที่พิศดารที่ไม่สามารถกล่าวได้ พ่ออาจารย์ท่านเปรียบการลงพระยันต์ทั้ง8นี้ไว้ อุปมาเหมือนกับการสร้างบ้านแปลงเมืองทีเดียว

    พิมพ์ตกอีกนิดหน่อย ท่านว่าเเม้เเต่ในตำราของอ.เทพ สาริกบุตร ที่มีบันทึกพระยันต์ทั้ง8ไว้ ก็ยังมีการบังอักขระ ถ้าไม่ได้เรียนเเละสืบทอดมาจริง สำหรับยันต์มหาบุรุษ8จำพวกนี้ ก็เป็นอันว่าเลิกคิดไปได้เลย ที่ทำกันก็เป็นเพียงตัวย่อเหลือ2พระยันต์ตัวผู้ตัวเมียเท่านั้น ในบันทึกทั้ง8พระยันต์ของอ.เทพก็มีการบังอักขระเอาไว้อีก สำหรับการทำนี้ พ่ออาจารย์บอกว่าถ้าต้องการตัวเต็มจริงๆ ให้ไปรีดเเผ่นทองคำ หรือแผ่นเงินเเท้ๆมาท่านถึงจะลงให้
     
  15. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,133
    ค่าพลัง:
    +16,534
    คาถา พระเจ้า 28 พระองค์

    ตังเมสะทิโก มังสุเรโส อะปะนา ปะสุสุปิ อะทะสิติ ปุวิสิเว กุโรกะโค นะมามิหัง

    พ่ออาจารย์พลคัดลอกมาจากลายมือหลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว พระคาถานี้เป็นหัวใจพระพุทธเจ้าทั้ง 28 พระองค์ ถ้าผู้ใดได้พบเป็นบุญของผู้นั้น ผู้ใดได้ภาวนาไว้จะเกิดบุญกุศลมาก แลภาวนากันอาวุธอันตรายได้ทุกประการ ใช้ปลุกเสกเครื่องรางทั้งปวงมีอิทธิฤทธิ์ยิ่งขึ้นไปอีก ถ้าจะเสกน้ำมันทาตัวให้เป็นคงทนชาตรีให้เสก10จบ เสกเกลือกินก็ได้เสก 9 จบ เสกน้ำมันดิบทาบาดแผลทั้งปวง

    ถ้าจะผจญด้วยศัตรูให้ภาวนาพระคาถานี้ทำอันตรายเรามิได้ ถ้าไปศึกทางเรือ อาวุธทั้งหลายผิดสิ้นแล

    ถ้าเขาตามมา ให้เสกไม้ขว้างไว้ตามมามิได้เเล ถ้าจะเเหกหนีไป ให้ปิดปากเอามืออุดจมูกทั้งกลั้นหายใจภาวนา ศัตรูทำร้ายเรามิได้

    ถ้าเขาล้อมเรือนเราไว้จะหนี ให้เขียนตัวนะลงบนฝ่ามือ เสกด้วยคาถานี้ 7 จบ เสกด้วยนะโมพุทธายะอีก 7 จบแล้วตบที่หน้าผาก กลั้นใจเอาลิ้นดุนเพดานปากไว้ภาวนาลงไปเถิดมิเห็นตัวเราเลย

    เคล็ดวิชาวันละเล็กละน้อย เมื่อจะใช้ให้ระลึกถึงคุณหลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว เจ้าของวิชาเป็นที่สุดก็จะประสิทธิทุกประการ
     
  16. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,133
    ค่าพลัง:
    +16,534
    หลายๆคนอาจงงว่าทำไมพ่ออาจารย์ออกวัตถุมงคลเยอะจัง

    ท่านทำให้ดู ให้รู้ ทำแบบอนุรักษ์สรรพวิชาเเต่เก่าก่อน อันไหนที่ไม่มีคนทำ ท่านก็ทำเพื่อไม่ให้มันหายไป ไม่ต้องมาบูชากับท่านก็ได้ แค่ดูก็พอ เพราะว่าบางอย่างที่ลงที่ทำก็ทำยาก ไอ้ที่เห็นจารไม่เยอะอาจจะเสกยากกว่าไอ้ที่จารเยอะๆก็ได้ บางอย่างก็เป็นของที่ครูบาอาจารย์แต่โบราณหวงเเหนมากๆ ท่านก็ทำให้ดู ว่ามีดียังไงทำไมท่านถึงหวงไม่ยอมให้คนบูชาง่ายๆ

    ตะกรุดทั้งหลายที่จะอกมาช่วงนี้ ก็จะเป็นวิชาโบราณๆที่ถูกลืมไปแล้ว หรือไม่ครูบาอาจารย์ก็หวงเเหนไม่ค่อยถ่ายทอดสืบต่อให้ใคร ไม่ยอมทำออกให้ใครบูชาเป็นต้น ก็ดูไว้ประดับความรู้ ถ้าจะบูชาก็ค่อยมาว่ากันอีกที
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ตุลาคม 2014
  17. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,133
    ค่าพลัง:
    +16,534
    ปโชตา พระคาถาทั้ง14บท

    จะขอพิมพ์แบบเดิมๆเพื่ออรรถรสในการอ่าน เป็นการเขียนลายมือเเบบหลวงปู่ยิ้ม อาจจะค่อนข้างอ่านยากเเละตกหล่น การเขียนแบบโบราณๆ

    สิทธิการิยะ พระคาถาทั้ง14บทนี้ บางเกิดในเมืองลงกาทวีป นักปราชญ์และผู้วิเศษทั้งหลาย มีความปราถนาจะให้บังเกิดความเจริญแก่พระมหากษัตริย์ คือพระยาเทวานัมปิยะดิษ จึงเลือกเอาพระพุทธคุณที่วิเศษ ประกอบขึ้นเป็นพระคาถา 14 บท ถวายแก่พระพุทธเจ้า เทวานัมปิยะดิษ พร้อมด้วยอุปเท่ด้วย

    พระเจ้าเทวานัมปิยะดิษ เธอก็ทรงเล่าเรียนเอาพระคาถานี้ไว้ แล้วทรงสวดมนภวานาเป็นเนืองนิจ ก็ได้บังเกิดพระยศพระเกียรติตะบะเดชะ ปรากฏไปทั่วทิสานุทิส เสวยราชสมบัติยืนนานจีรังกาลอยู่ในเมืองอะนุราชบุรี ลังกานั้น

    จึงมีพระมหาเถรเจ้าองค์หนึ่ง ชื่อพระมหาชัยมงคลเถรเจ้า เธอมีศีลบริสุทธิ ได้ไปไหว้พระทันตธาตุถึงเมืองลังกา เธอมีความปราถนาจะให้เป็นผลประโยชน์ แก่พระมหากษัตริย์ในชมภูทวีป

    เธอจึงขอเอาพระคาถาทั้ง14บทนี้้ มาถวายแก่สมเด็จพระพรหมไตรโลกเจ้า สมเด็จพระพรหมไตรโลกเจ้าจึงถวายแก่พระมหากษัตริย์ในชมภูทวีป และพระมหากษัตริย์ก็ได้เรียนเอาไว้ สวดมนต์ภาวนาเป็นนิจ กาลก็ได้จำเริญพระยศพระเกียรติปรากฏไปทั่ว ต่างประเทศต่างก็อ่อนน้อมมาสู่พระราชสมภาน มิอาจจะแข็งอยู่ได้เลย ด้วยเดชะนุภาพพระพุทธมนทั้ง14บทนี้แล

    อธิบายว่า ท้าวพระยามหากษัตริตราธิราชและสมณพราหมณ์ เศรษฐีคหบดีทั้งหลาย ผู้ใดปราถนาซึ่งประโยชน์และความสุขในโลกนี้ ทั้งสามนี้ไซร้ ให้เรียนซึ่งคาถานี้ โดยอุปเทด์กระทำให้ชำนาญ แลสาทยายไว้ทุกวันเป็นเนืองนิตรมิได้ประมาศ

    และกษัตริย์พราหมณ์เศรษฐีกฏุมภีทั้งหลายนั้น ก็จะถึงซึ่งความศิริสวัดดิภาพ หาโรคาพาธมิได้ แลอาจกระทำให้เป็นที่เกรงขามแก่ข้าศึกสัตรู มีอายุยืนยาววัฒนาถาวร มีชัยชนะเเก่ข้าศึก ปรากฏไปในทิศสานุทิศต่างๆ

    บรรดาคนทั้งปวงมาอยู่ในอำนาจแห่งตนด้วยเดชะพระคาถานี้ คนทั้งหลายก็น้อมนำเอาบรรณาการมาให้ ได้รับความสุขตราบเท่าถึงการกำหนดสิ้นชนมาด้วยอำนาจพระคาถาทั้ง14บทนี้แล

    พระคาถาทั้ง14บทนี้ ชื่อจุทัสสะคาถา ไหว้นมัสการพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ แก้วทั้งสามประการเป็นมหาวิเสสนักแล สำหรับองค์พระมหากษัตริย์เจ้าได้ทรงสาธยายสวดมนต์ภวานาทุกวันทุกค่ำเช้าเป็นนิจไป จะได้บังเกิดเป็นกุศลผลบุญยิ่งนัก ด้วยเดชะพระคาถา14บทนี้ ให้จำเริญยศ เกียรติ รักษาสิริสมบัติบังเกิดธนลาภ ประสิทธิชัยชนะตะบะเดชะสวัสดิมงคล สตรูพินาศและเทพยาดาทั้งหลาย ย่อมคุ้มครองรักษา ครั้นเมื่อถึงกาลดับขันธ์ จะได้ผ่านสวรรค์เทวโลกแล้วจะได้มาผ่านพิภพในมนุษย์(เกิดเป็นกษัตริย์)โลกนี้ และแม้จะไปบังเกิดที่ใดๆก็จะได้เป็นใหญ่เเก่คนทั้งหลายแล

    ๑.ปถมคาถา
    ปะโชตา ธัมมะภา โหตุ โชติวะโร สะตะวะโห
    ตะวะริโย สุวะตาภา ธะโร โยโค จ สุ สัมมา

    ๒.ทุติยคาถา
    โคโนชิโย โยชิโนโค โนทาตุโส โสตุทาโน
    ชิตุโนมะ มะโนตุชิ โยโสมะติ ติมะโสโย

    ๓.ตติยคาถา
    นะมามิตัง นะระวะรัง นะเยหิสะ นะรามะรัง
    เนตะวา มะตัง ปะระติรัง นิพพุโต สัพพิ โย ปะรัง

    ๔.จตุตถคาถา
    โนธิโร มุนิโน มะโน โนมะโน ธะมะโน ธิโน
    โนทิโนถะกะมาเตโน เตโตมาโรวิโรธิโน

    ๕.ปัญจมาคาถา
    กะรุณาธิ กะจิตตัตโถ กะตัดโถ สะกะ ธัมมะโต
    กะตะนะเม กะพุทธัสสะ กะตัญชุลิง กะโรมะหัง

    ๖.ฉัฏฐมคาถา
    มะโนชิโต มะโตชิโน มะโนภิโน มะโนธิโร
    มะโรธิโน มะโนตะโร มะโรตะโน

    ๗.สัตตมคาถา
    นะมามิ นาถังวะระทัง วะราทัง อะโนมะเกหา ภินะตัง ภะวัคคัง
    กุมาระนาสัง วะราทังนะรานัง อะกามะเทหา ภินะตัง ภะวัคคัง

    ๘.อัฏฐมคาถา
    โย โพธิปัตโต วะระโท มะรานัง เทวาติเทโว ภิตะมาระนาโส
    โยโพธิปัตโต สะระโส มะลานัง โอวาทะเทตัง ภินะมามินาถัง

    ๙.นวมคาถา
    โย เทติเทวะเทโวคัง มัคคังโนคคงผะลังตะโต
    นะมามิตัง ระหะมัคคัง โนโสปาเล ติทายะโก

    ๑o.ทสมคาถา
    นะมามิพุธธัง ตะมะหังธิโย ธิโย นะมามิธัมมัง ตะมะหังชิโย ชิโย
    นะมามิสังฆัง ตะมะหังริโย ริโย นะมามิติคคัง ตะมะหัง ภิยโย ภิยโย

    ๑๑.เอกาทสมคาถา
    นะยะสะนายะโก ปะชามะพุเชกา นะราภะมะหาติ
    พุทธาปะโมมะ นะยะสะนายะโกชิวิชะโย นะยะสะนายะโกวิมะโล วิโมมะโก

    ๑๒.ทวาทสมคาถา
    มุนิโน วะทะนาตายะ ปะโพเธตุ ปะชาปะชัง
    มุนิโน วะทะนาตายะ ปะโพเธตุ ปะชาปะชัง

    ๑๓.เตรสมคาถา
    สิริกิระณะ กิระโน ภาสะปาทังทวะอัคคัง สิริกิระณะภิมานัง มาระมันตังวิธังมัง
    สิริกิระณะมิเกตัง มิเกตุมิกังติโลเก สิริกิระณะกะรัตตังโลกะนาถัง นะมามิหัง

    ๑๔.จุททสมคาถา
    ติโลกะ มัคคา หะนะโก มะตัง นะโย สัพพะทะโย มะหะสะมะ ปะธังสะยิ
    ติโลกะ มัคคา หะนะโก มะตัง นะโย ปัตเตวะ นิพพานะ ปุรังปะเวสะโย

    ลงให้ขนาดนี้ เห็นบ่อทองก็ควรลงมือขุด รีบๆท่องเรียนเเละสวดไว้ทุกเช้าค่ำ ชาติหน้าเกิดมาได้ไม่ลำบาก ใครก็ทำแทนเราไม่ได้นะครับ สวดแล้วเป็นประโยชน์แก่ตัวก็ทำไปเถอะดีกว่าเอาเวลาไปเสเพล อย่างน้อยก็ได้ตั้งสติบูชาคุณพระรัตนตรัย:cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ตุลาคม 2014
  18. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,133
    ค่าพลัง:
    +16,534
    คาถา ปลุกเสกของ(วิทยาทาน)

    ให้ท่องอาราธนาก่อนใช้พระเครื่องเเละเครื่องรางทั้งปวง ประสิทธินักแล

    * เอหิพุทธานุภาเวนะ เอหิธัมมานุภาเวนะ เอหิสังฆานุภาเวนะ เอหิพุทธังมาเรโส เอหิธัมมังมาเรโส เอหิสังฆังมาเรโส ถะมาโทมะมัง นะเรนะรัง นะเรพุทธังวะจะนังมะมะ เอหิพุทธัง กูจะครอบกูจะครอบ เอหิธัมมัง กูจะครอบกูจะครอบ เอหิสังฆัง กูจะครอบกูจะครอบ เอหิพุทธัง กูจะสูบกูจะสูบ เอหิธัมมัง กูจะสูบกูจะสูบ เอหิสังฆัง กูจะสูบกูจะสูบ เอหิพุทธัง กูจะปลุกกูจะปลุก เอหิธัมมัง กูจะปลุกกูจะปลุก เอหิสังฆัง กูจะปลุกกูจะปลุก
    * กูจะปลุกหมื่นมนต์ พระยามนต์ กูจะปลุกหมื่นยันต์ พระยายันต์ กูจะปลุกคาถาทั้ง84,000อักษร อักขระ41ตัว อะอาอิอีอุอูเอโอ กะขะคะฆะงะ จะฉะชะฌะยะ ฏะฐะฒะนะ ตะถะทะธะนะ ปะผะภะพะมะ ยะระละวะสะหะละจะอัง กูจะสูบไว้ในดวงจิตกู มั่วสุมประชุมกันเข้า เป็นกำแพงแก้วภายในภายนอก บรรดากูจะออกปาก สิทธิทั้งหลาย มนุสสโตวา อมนุสสโตวา พุทธังคัจฉะติ ธัมมังคัจฉะติ สังฆังคัจฉะติ อย่าช้าอาคัจฉายะ อาคัจฉาหิ ในสถาน ทิเนฐาเนติฏฐะติ พระพุทธายะ พระธัมมายะ พระสังฆายะ สหัสสโกฏิพรหมมา ติเทวานัง ตังตัง มังมัง รักขันตุ สัพทา อิมังกายพันธนังอธิฏฐามิ พุทธังประสิทธิเม ธัมมังประสิทธิเม สังฆังประสิทธิเม สิทธิวาจา มหายะสัง สิทธิเตชา มหายะสัง พุทธังสัจจัง ธัมมังสัจจัง สังฆังสัจจัง สิทธิวันทา นะมามิหัง สิทธิกิจจัง สิทธิวาจัง สิทธิกัมมัง สิทธิตะถาคะโต สิทธิเตโช ชะโยนิจจัง สิทธิลาโภ นิรันตะรัง สิทธิวันทา นะมามิหัง สัพพะสิทธิ ภะวันตุเม
     
  19. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,133
    ค่าพลัง:
    +16,534
    บุญทำ กรรมแต่ง

    วันนี้จะยกเรื่องเล็กๆที่จดไว้จากบันทึกพ่ออาจารย์มาพิมพ์นะครับ

    พูดถึงกรรม คนเราทั้งหลายจะรู้สึกไม่ดีทันที รู้สึกกลัวกันมาก จนลืมพิจารณาไปว่ากรรมนั้นแยกเป็นทั้งดีเเละชั่ว กรรมเป็นสิ่งที่บุคคลหนึ่งได้เพียรกระทำสั่งสมมาและก็จะสนองคืนเเก่เขา ตามกฏแห่งกรรมที่ใครๆเขาก็พูดกันว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

    ทีนี้เรามาดูกันบ้าง คนสมัยนี้นิยมเสดาะเคราะห์ต่อชะตาตัดกรรม กรรมมันตัดกันได้ด้วยงั้นหรือ พระพุทธเจ้ายังไม่พ้นกรรมเเล้วเกจิอาจารย์ที่ไหนช่างหาญกล้ามาตัดกรรมแก่เราได้

    บางคนก็มีความเข้าใจผิด ทำดีทำเพื่อชะลอกรรมชั่วในอดีต ทำเพื่อลบล้างกรรมในอดีต มันลบล้างกันไม่ได้ มันก็เหมือนตะกอนที่อยู่ในน้ำ จะเอาน้ำเติมไปให้มากเท่าไหร่ ตะกอนมันก็นอนก้นอยู่อย่างนั้น เมื่อใช้น้ำหมดตะกอนก็ย่อมจะฟุ้งกระจายขึ้นมา เฉกเช่นเดียวกัน เปรียบกันได้เห็นชัดเจน

    การทำดี เพื่อจะลดทอนกรรมหนักให้เบาลงนั้น ที่จริงมันทำไม่ได้ จะได้เเค่กรรมดีที่เราทำมันจะสนองก่อน สุดท้ายก็ไม่พ้นกรรมชั่วสนองอยู่ดี ดูอย่างพระโมคคัลาน์สิ ท่านมีฤทธิ์เลิศเป็นเอกหาตัวจับยากถึงปานนั้น เวลากรรมชั่วตามสนองปกติท่านจะเหาะหนี เเต่สุดท้ายท่านก็ยอมรับโดยดียอมโดนทุบจนตาย ตายเเบบทรมานกระดูกแตกทั้งร่างเพราะมันหนีไม่ได้นี่ขนาดพระอรหันต์ที่ทรงฉฬภิญญาอรหันตานุภาพนะ ใครมันจะใหญ่เกินกรรมใครจะหนีกรรมได้ ส่วนตัวของเรา เราเห็นว่าที่ไปตัดกรรมมันเป็นเรื่องไร้สาระมากเสียเวลาเเละเสียเงินทองเปล่าๆ

    ถ้าอยากให้กรรมชั่วตามสนองช้าประสบความสุขก่อน ก็ทำดีมากๆ มันลบล้างไม่ได้เเต่มันก็ยังชดเชยกันได้ เเต่กรรมชั่วไม่ได้หมดไปนะ มันก็รอเวลาสนองอยู่ดี ดูอย่างพระโมคคัลลาน์สิกลับตัวกลับใจทำดีเเล้วบวชจนสำเร็จอรหันต์แล้วพอถึงเวลากรรมก็ยังตามท่านอยู่ดี นี่คนเรา ถ้าใจกล้าคิดว่าตัวเองเป็นบุรุษชาติอาชาไนยเกิดมาไม่ง้อฟ้าง้อดินเชื่อกฏแห่งกรรมมั่นใจการกระทำตัวเองนะ เวลากรรมตามทันก็รับไปเลย อธิษฐานไปเลย เอาให้มันหมดในชาตินี้ จะเรื่องร้ายเเรงเรื่องเเย่เเค่ไหนรับไปเลย เราไม่ลงนรกเเล้วใครมันจะลงนรก ไม่ต้องไปกลัวมัน มันคือผลการกระทำของเราเเต่อดีต ทำอะไรไว้เราควรรับผิดชอบด้วยตัวเราเองให้มันหมด ให้มันจบ

    ทีนี้เราจะผจญกรรมด้วยอะไร เราควรใช้สติ สติที่เราฝึก ที่เราได้จากสมาธิวิปัสสนานี่แหละใช้ผจญโรคเวรโรคกรรมได้ดีนัก ค่อยๆใช้สติพิจารณาความทุกข์ที่เข้ามา หาสาเหตุและตั้งใจแก้ไข สตินี้ดีกว่าพรของท้าวสักกเทวราชเสียอีก แล้วเธอก็จะผ่านห้วงกรรมที่ถาโถมอย่างไม่ยากเย็นอะไรเลย ไม่รู้สึกละอายบ้างหรอที่ต้องทำบุญเหมือนคอยตั้งใจซื้อบุญเพื่อชะลอกรรม คนแบบนี้ก็ทำไม่ถูก จะรังเเต่ผูกเวรผูกกรรมให้ทบถมขึ้นเป็นทวีคูณ ชาติหน้าก็ใช้ไม่หมดเเถมยังต้องเจอหนักกว่าเดิมเสียอีก

    ฝากไว้เป็นข้อคิดเล็กๆ เตือนใจตนเองนะครับ
     
  20. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,133
    ค่าพลัง:
    +16,534
    คาถา วันละนิด

    วันนี้ใจดีให้ 2 คาถาเลย :cool:

    คาถาพระนารายณ์คลายจักร
    โล ปุ สุ สะ วิ พุท สัง ภะ อะ
    พระคาถาหัวใจอิติปิโสถอดบทนี้ เมื่อขุนแผนจะเข้าห้องใช้เสดาะกลอนแล ใช้เสกปูนสูญฝีก็ได้ เสกน้ำมนต์เสดาะลูก เสกแป้งพกถอนคุณถอนของได้ทุกชนิด เสกไพลแก้ปวดบวม ใช้ถอนคุณผีคุณคนได้ทุกประการ

    คาถาพระนารายณ์ตรึงจักร
    อะ ภะ สัง พุ วิ สะ สุ ปุ โล
    พระคาถานี้ เป็นคาถาปิดทวารทั้ง 9 ของพระพุทธเจ้า แม้จะถูกของ กระทำด้วยอำนาจมนต์ดลคุณไสยประการใดๆก็ดี ถ้าภาวนาพระคาถาบทนี้ไว้ ถึงแม้เทวดาลงมาทำ กูก็มิถูกแล แม้ว่าผีสารพัด ผีโป่ง ผีป่า ผีตายโหงตายห่า ผีกระสือ ผีปอบ ผีทุกประการที่เข้าสิงอยู่ในคนไข้ ให้เอาคาถาบทนี้ ภาวนาผูกเสียออกมิได้เลย ถ้าจะเเก้ไขใช้บทนารายณ์คลายจักรเเก้เถิด เป็นคาถามหาวิเสสนักแล ถึงเเม้ว่าจะเสดาะด้วยคาถาใดๆก็ดี ถ้าเอาคาถาบทนี้ผูกแล้วแก้มิตกเลย(คนใช้คาถาเเละถือเครื่องรางลองขบคิดดู ประโยคสุดท้ายนี้สำคัญมาก)

    คาถาพระนารายณ์คลายจักร เเม้เเต่หลวงปู่ยิ้มยังบันทึกไว้ว่าขุนแผนยังใช้เสดาะกลอน ใครที่รักเล่นทางเสน่ห์เล่กลจำไว้บ้างก็ดีกันทะเลาะกับแฟนได้เข้าห้องได้ เเต่คนใช้คงต้องมีพลังจิตที่ฝึกมาดีเเล้วพอสมควร ไม่เช่นนั้นท่องเฉยๆของเก่าไม่มีก็ไม่ได้เรื่องอะไร
     

แชร์หน้านี้

Loading...