[มาอ่านประวัตินางในวรรณคดีเล่นๆกันจ้ะ] .... นางไอ่คำ (ต่อ) เมื่อบุญบั้งไฟเสร็จสิ้นลงท้าวผาแดงและท้าวพังคี ต่างฝ่ายต่างกลับบ้านเมืองของตน ในที่สุด ท้าวพังคีก็ทนอยู่บ้านเมืองแห่งตนไม่ได้ เพราะหลงใหลในศิริโฉมอันงดงามของนางไอ่ จึงพาบริวารย้อนขึ้นมายังเมืองเอกชะทีตาอีก โดยแปรงร่างเป็นกระรอกเผือกอย่างเดิม ส่วนที่คอแขวนกระดิ่งทอง ไปเกาะอยู่บนกิ่งไม้ใกล้หน้าต่างห้องนอนของนาง เมื่อเสียงกระดิ่งทองดังกังวาลขึ้น นางไอ่ได้ยินก็เกิดความสงสัย จึงเปิดหน้าต่างออกไปดู เห็นกระรอกเผือกน่ารักน่าเอ็นดู นางก็เกิดความพอใจอยากได้ จึงสั่งให้นายพรานฝีมือดี ออกติดตามจับกระรอกเผือกได้ แต่จนแล้วจนรอดนายพรานก็จับไม่ได้ นางไอ่เกิดความไม่พอใจขึ้นมาแทนที่ และสั่งให้นายพรานจับมาให้ได้ไม่ว่าจะจับเป็นหรือจับตาย นายพรานออกติดตามกระรอกเผือก เริ่มตั้งแต่บ้านพันดอน บ้านน้ำฆ้อง ก็ไม่มีโอกาสจับกระรอกเผือกเสียที จึงไล่ติดตามมาจนถึงบ้านนาแบก บ้านเหล่าหมากบ้า บ้านเหล่าแชแลหนองแวง บ้านเหล่าใหญ่ บ้านเมืองพริก บ้านคอนสาย บ้านม่วง ก็ยังจับไม่ได้ ในที่สุด ผลกรรมแต่ชาติปางก่อนตามมาทัน เมื่อกระรอกเผือกตัวน้อยหนีนายพรานมาถึงต้นมะเดื่อที่มีผลสุกเต็มต้น เจ้ากระรอกน้อยก็ก้มหน้าก้มตากัดกินลูกมะเดื่อด้วยความหิวโหย นายพรานไล่ตามมาทันก็เกิดความโมโหที่จับเป็นไม่ได้ จึงตัดสินใจจับตาย ด้วยการใช้หน้าไม้อาบยาพิษ ยิงถูกร่างเจ้ากระรอกเผือกเต็มรัก กระรอกเผือกหรือท้าวพังคี รู้ดีว่าต้องตายแน่ๆ จึงสั่งให้บริวารกลับเมืองบาดาลเพื่อนำเอาความไปเล่าให้บิดาทราบ และก่อนสิ้นใจ ท้าวพังคีก็แสดงอิทธิฤทธิ์ โดยร่ายมนต์อธิษฐานว่า "ขอให้เนื้อของตนมีมากมาย 8000 เล่มเกวียน มากพอเลี้ยงผู้คนได้ทั้งเมืองอย่างทั่วถึง" เมื่อกระรอกเผือกสิ้นใจตาย นายพรานกับพวกนักล่าฝีมือฉกาจ ก็นำเอาร่างของกระรอกเผือกไปชำแหละอาเนื้อที่บ้านเชียงแหว เมื่อนายพรานปาดเอาเนื้อให้ผู้คนทั้งบ้านใกล้บ้านไกลได้กินกัน ก็ปรากฎว่าเนื้อของกระรอกน้อยก็เพิ่มขึ้นมาอย่างทวีคูณ ผู้คนในเมืองต่างพากันกินเอกระรอกอย่างอิ่มหมีพีมัน ยกเว้นผู้คนที่บ้านดอนแม่หม้ายไม่มีผัว หรือ "บ้านดอนแก้ว"ซึ่งอยู่กลางทุ่งหนองหานเท่านั้น ที่พวกพรานไม่ได้แบ่งปันให้กิน ฝ่ายบริวารท้าวพังคีเมื่อกลับถึงเมืองบาดาล ก็เล่าเหตุการณ์ท้าวพังคีถูกนายพรานฆ่าตายให้พญานาคราชผู้เป็นบิดาฟังบิดาท้าวพังคีก็เกิดความกริ้วโกรธา สั่งจัดบริวารเป็นริ้วขบวนนาคา ขึ้นไปอาละวาดเมืองพญาขอมให้ถล่มทลายหายแค้น พร้อมประกาศก้องว่า "ใครกินเนื้อลูกภังคีของข้า พวกมึงอย่าไว้ชีวิต" ...................................
[มาอ่านประวัตินางในวรรณคดีเล่นๆกันจ้ะ] .... นางไอ่คำ (ต่อ) พญานาคพาบริวารออกอาละวาดไปทั่วแดนเมืองเอกชะทีตา เสียงดังครืนๆ ฆ่าผู้คนตายไปอย่างมากมายสุดคณานับ แผ่นดินเมืองพญาขอมก็ล่มทลายลงเป็นหนองหาน ส่วนบ้านดอนแก้วหรือดอนแม่หม้าย แห่งเดียวที่ผู้คนไม่ได้กินเนื้อท้าวพังคี จึงไม่ได้ล่มทลายลงดังที่เห็นในปัจจุบัน ขณะที่บ้านเมืองกำลังล่มทลายเพราะอิทธิฤทธิ์ของพญานาคศรีสุทโธอยู่นั้น ท้าวผาแดงก็ขี่ม้าบักสามมุ่งหน้าไปหานางไอ่ ท้าวผาแดงเห็นนาคเต็มไปหมด และได้เล่าเรื่องที่พบเห็นให้นางฟัง แต่นางกลับไม่สนใจ แต่ได้ทำอาหารที่มีกลิ่นหอมหวนเป็นพิเศษมาให้ท้าวผาแดงรับประทาน ท้าวผาแดงจึงถามว่า เนื้ออะไร ทำไมจึงหอมนัก ก็ได้รับคำตอบจากนางว่า "เนื้อกระรอกนายพรานยิงตายนำมาให้" เท่านั้นเอง ท้าวผาแดงก็ทราบในทันทีว่าเป็นเนื้อของท้าวภังคี ลูกชายเจ้าพ่อศรีสุทโธนาค เจ้าเมืองบาดาล จึงไม่ยอมกินอาหาร "ต้องห้าม" ที่นางยกมาให้ พอตกตอนกลางคืนผู้คนกำลังหลับสนิท เหตุการณ์ร้ายก็เกิดขึ้น เสียงครืนๆแผ่นดินถล่มมาแต่ไกล ท้าวผาแดง ก็รู้ทันทีว่าเป็นการกระทำของพญานาค จึงคว้าร่างนางไอ่ขึ้นหลังม้าบักสามควบหนีออกจากเมืองอย่างสุดฝีเท้าเพื่อให้พ้นภัย แต่นางไอ่ได้กินเนื้อกระรอกกับชาวเมืองด้วย แม้ว่าท้าวผาแดงจะควบม้าคู่ชีพไปทางใหนนาคก็ดำดินติดตามไป แผ่นดินก็ถล่มทลายตามไปด้วย ท้าวผาแดงควบม้าไปทางภูพานน้อยต้นลำห้วยสามพาด เพื่อหนีไปยังเมืองผาโพง พญานาคก็ติดตามอย่างไม่ลดละ และแปลงร่างเป็นขอนไม้ยางขนาดยักษ์ขวางเส้นทางไว้ ม้าบักสามก็กระโดดข้ามอย่างสุดฤทธิ์ สองขาหน้าข้ามขอนไม้ไปได้แต่สองขาหลังคู้ขึ้นมาไม่ข้าม จึงทำให้ม้าเสียหลักล้มพังพาบลง อวัยวะเพศของม้าไปกระแทกกับภูพานน้อยเป็นร่องลึกลงไป และกลายเป็นต้นลำห้วยสามพาด มาตั้งแต่บัดนั้น
[มาอ่านประวัตินางในวรรณคดีเล่นๆกันจ้ะ] .... นางไอ่คำ (ต่อ) ในที่สุดนางไอ่ก็ถูกพญานาคใช้หางฟาดตกลงจากหลังม้า และพญานาคก็คว้าตัวนางไปต่อหน้าท้าวผาแดง สุดแรงที่จะตามเมียรักกลับคืนมา เมื่อท้าวผาแดงกลับไปถึงเมืองผาโพง ก็คิดถึงนางไอ่เมียรัก ตรอมใจ ข้าวปลาไม่กิน ร่างกายผ่ายผอม สุดท้ายท้าวผาแดงจึงทำพิธีฆ่าตัวตาย เพื่อต้องการไปเป็นหัวหน้าผี นำทัพไปรบกับพญานาคช่วงชิงนางไอ่กลับคืนมาให้จงได้ เมื่อท้าวผาแดงตายเป็นผี ก็ได้ไปเป็นหัวหน้าผีสมดังประสงค์ พอได้โอกาสเหมาะ ผีผาแดงก็เตรียมไพร่พลเดินทัพผีไปรบกับพญานาค บริวารท้าวผาแดงมีเป็นแสนๆ เดินเท้าเสียงดังอึกทึกปานแผ่นดินจะถล่ม เข้ารายล้อมเมืองพญานาคเอาไว้ทุกด้าน ต่างฝ่ายต่างใช้อิทธิฤทธิ์ รบกันนานถึง 7วัน7คืน ไม่มีใครแพ้ชนะ ฝ่ายเจ้าพ่อศรีสุทโธ เจ้าเมืองบาดาลซึ่งแก่ชราภาพมากแล้ว ก็ไม่อยากก่อกรรมก่อเวรเพราะต้องการไปเกิดในแผ่นดินพระศรีอาริยเมตไตรย์อีก จึงไปหาท้าวเวสสุวัณ ผู้เป็นใหญ่ให้มาตัดสินความ ท้าวเวสสุวัณจึงเรียกทั้งสองฝ่ายมา โดยให้ทั้งสองฝ่ายเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ทราบฟังเรื่องทั้งหมดจบแล้ว ท้าวเวสสุวัณจึงบอกว่า เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นมันเป็นผลของ "บุพกรรม" หรือกรรมเก่าแต่ชาติปางก่อนที่ตามาในชาตินี้ และทั้งสองฝ่ายก็มีเหตุผลก้ำกึ่งกัน จึงให้ทั้งสองเลิกรา ไม่ต้องเข่นฆ่ากันอีก ขอให้มีเมตตาต่อกัน และให้ทั้งสองฝ่ายรักษาศีลห้า ปฏิบัติธรรมและมีขันติธรรมต่อไป ส่วนนางไอ่ ระหว่างนี้ก็ให้อยู่เมืองพญานาคไปก่อน รอให้พระศรีอาริยเมตไตรย์จุติมาตัดสินว่าจะตกเป็นของใคร ท้าวผาแดงและพญานาคได้ฟังคำสั่งสอนของท้าวเวสสุวัณก็กลับมีสติ เข้าใจในเหตุและผลต่างฝ่ายต่างอนุโมทนาสาธุการ เหตุร้ายจึงยุติลงด้วยความเข้าใจ มีการให้อภัยกันในที่สุด นิยายรักเศร้าสุดประทับใจเรื่องผาแดง-นางไอ่ จึงจบลงแต่เพียงเท่านี้... ****************** หวังว่าคงได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลินได้ ไม่มากก็น้อยนะจ้ะ
ร้องเพลงให้ฟังตอนบ่ายนะ แต่ก่อนแต่ไร ไปแอ่วต่างได๋กัน เฮาก็ไปโตยกัน ตึงวันแสนม่วนใจ๋ พอพบฮู้จักสาวชาวกรุงบ่เต้าใด อ้ายก็ไปเอาอกเอาใจ๋แต่เขา แค่เพียงบ่เมิน เชื่อกำเปิ้นแล้วกา ฮู้จักเพียงหน้าตา ฮู้ใจ๋เปิ้นหรือเปล่า ตึงวันเปิ้นมีป้อจายมาคอยเฝ้า เปิ้นจะอี้แล้วคงบ่ดีไปไว้ใจ๋ เคยกิ๋นผักกาดจอ บ่เคยกิ๋นพิซซ่า หากว่าลงต๊องจะยะจะได เปิ้นบ่ไจ้คนเมือง บ่เมินหากเปิ้นลาไกล อ้ายจะอู้จะได้บ่ออก ก็บ่ได้หวง ทวงอะหยังวุ่นวาย เป็นแต่เพียงเสียดาย ข้ากลัวอ้ายโดนหลอก เปิ้นกึ้ดกับอ้ายจะไดก็บ่บอก เป็นจะอี้แล้วอ้ายจะไว้ใจได้กา ปากแดงๆ จะไว้ใจได้กา หน้าสวยๆ จะไว้ใจได้กา แก้มขาวๆ จะไว้ใจได้กา ตาหวานๆ จะไว้ใจได้กา ใส่เอวลอย จะไว้ใจได้กา นุ่งสั้นๆ จะไว้ใจได้กา อยู่เมืองไกล จะไว้ใจได้กา บ่ไจ้ข้าเจ้า จะไว้ใจได้กา [ame="http://www.youtube.com/watch?v=SDd9CEI4WB0&feature=channel&list=UL"][/ame]
เรื่องประหลาดที่เกิดขึ้น ในช่วงชีวิตหนึ่ง ... ขอให้มันเปนแค่ นิทานในความฝน ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว เด็กหญิงน้อยคนนึง ชอบไปไหนๆ กับพี่ชาย ซึ่งการไปเที่ยวเล่นซนกับพี่ชายนี้เอง ทำให้เด็กหญิงน้อยคนนั้น ได้พบกับเพื่อนชายที่อยู่ห่างไกลคนนึง จน เปนสัญญา จากอดีต ถึงปจจุบัน ... เราไปเที่ยวเล่นซนกัน ไม่ว่าจะบนผืนดิน สายน้ำ หรือแม้แต่บนฟา ... แต่เนื่องจากพี่ชาย ประสบเคราะห์กรรม จากความรักที่มีให้สาวนางหนึ่งในเมืองมนุษย์ ทำให้น้องหญิงคนนี้ไม่มีใครเล่านิทานให้ฟง ไม่มีใครพาไปเล่นซนที่ไหน จะมีแต่เพื่อนชายคนนี้ คนเดียว แม้เราจะอยู่กันคนละข้าง แต่เราทั้งสองนั้น ไม่ได้ต้องการแก่งแย่งชิง อะไรกับใคร อยากให้ทุกฝายรักกัน สามัคคีกัน ... มันก็แค่ความคิดสวยงามแบบเด็กน้อย ... นั่นสิ ไม่ว่าจะ เด็ก...หรือเด็กมนุษย์ ความคิดแบบนี้ก็ยังคงความบริสุทธิ์เสมอ เพื่อนชายคนนี้ ไม่ว่าจะไปไหน เรามักจะไปด้วยกันเสมอๆ เราชอบอ่านหนังสือเหมือนๆ กัน ... ที่ใต้ ต้นไทรริมน้ำ เพื่อนชายเอาหนังสือมาให้ และเล่าเรื่องราวต่างๆ มากมายเชียว ไม่ว่าจะเที่ยวเล่น หรือจะต้องไป เรียนวิชาอะไร ก็ไปด้วยกัน เสมอๆ ความรัก ความผูกพันธ์ มันค่อยๆ เติบโตขึ้น จนกระทั่งวันนึง ... ใต้ต้นไทรริมน้ำนั้น เพื่อนชายสีหน้าหม่นหมอง ... เพราะพรุ่งนี้จะต้องจากไปแล้ว และไม่รู้ว่า จะมาพบ กันเมื่อใด... อนิจจา น่าสงสารน้องหญิงน้อยนัก ... พี่ชายสุดที่รักก็มิอยู่แล้ว และนี่เพื่อนรักก็ยังจะต้องจากลากันไป อีก... "สัญญาว่าไปไม่นาน แล้วจะกลับมา รออยู่ที่นี่ เมื่อไปแล้ว จะไม่มองหญิงใดเลย ... สัญญา" ..... สัญญาใจจากเพื่อนชาย ด้วยสายตาอบอุ่น เด็ดเดี่ยว สายตานั้น จำฝงลึกอยู่ในจิตของน้องหญิงนี้ ชั่วนาน แสนนาน ... จบละคร่าาา 5555 เล่ามั่วๆ จบห้วนๆ ไม่เคยเปลี่ยนเลยเรา ^^
วันนี้ไม่มีเรื่องเล่า งั้นพาเที่ยว..แอ่วธรรมชาติ กันเน้อ...งามจั้ดนัก อุทยานแห่งชาติแม่เมย ในท้องที่ตำบลแม่อุสุนั้น เดิมเป็นวนอุทยานถ้ำแม่อุสุ มีอาณาเขตทิศเหนือจดแม่น้ำเมย ทิศใต้จดห้วยโป่งและห้วยม่วง ทิศตะวันออกจดห้วยพูลซะ ห้วยพอนอโก ตามทางหลวงสายแม่สอด-แม่สะเรียง ทิศตะวันตกจดแม่น้ำเมย ในท้องที่ตำบลแม่สอง เดิมเป็นพื้นที่ป่าสัมปทานเก่า อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าท่าสองยาง มีอาณาเขตติดต่อดังต่อไปนี้ คือ ทิศเหนือจดทางหลวงสายแม่สลิด – อมก๋อย ทิศใต้จดลำน้ำแม่สองและทางหลวงสายแม่สอด–แม่สะเรียง ทิศตะวันออกจดห้วยแม่หลุยและลำน้ำแม่สอง ทิศตะวันตกจดแม่น้ำเมย แหล่งท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติแม่เมย ม่อนกิ่วลม ม่อนพูนสุดาและม่อนปุยหมอก เป็นจุดชมทิวทัศน์ของขุนเขาและทะเลหมอกที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีใน หมู่นักท่องเที่ยวและนักถ่ายภาพธรรมชาติมานานหลายสิบปี ถ้ำแม่อุสุที่มีความสวยงามไม่แพ้ถ้ำอื่นๆ รวมทั้งน้ำตกแม่สลิดน้อยและน้ำตกชาวดอย ปัจจุบันแหล่งท่องเที่ยวเหล่านี้ อยู่ในความดูแลของอุทยานแห่งชาติแม่เมย ท้องที่อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก จุดชมทะเลหมอก จุด ชมทะเลหมอกนี้ อยู่หลังที่ทำการอุทยานแห่งชาติแม่เมย มีความสูงประมาณ 1,100เมตร เป็นจุดที่มองเห็นทะเลหมอกได้กว้างไกลมาก รวมทั้งพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก อีกทั้งเป็นจุดชมวิวที่ต้อนรับผู้ที่นิยมการเดินป่า เพราะจะต้องเดินเท้าเข้าไปประมาณ 3-4ชั่วโมง และต้องพักค้างแรม 1คืน เพื่อชมทิวทัศน์ที่สวยงาม ถ้ำแม่อุสุ ( Unseen Thailand ) เป็น ถ้ำหินปูนที่มี ขนาดกว้างใหญ่ มีลำน้ำแม่อุสุไหลเข้าสู่ปากถ้ำซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ แล้วไหลเวียนไปออกด้านหลังถ้ำลงไปสู่แม่น้ำเมยซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันตก เฉียงใต้ มีระยะทางโดยประมาณ 450เมตร ปากถ้ำกว้างประมาณ 20เมตร สูงประมาณ 6เมตร ภายในของถ้ำมีคูหาใหญ่ๆ อยู่ 3คูหา มีหินงอกหินย้อยที่สวยงามมาก เวลากลางวัน แสงอาทิตย์ส่องลาดผ่านปล่องถ้ำลงมากระทบหินทราย เกิดประกายแวววาว บริเวณปากทางเข้าถ้ำมีเจ้าหน้าที่นำเที่ยวชมภายใน ทางเดินในถ้ำค่อนข้างสะดวก มีเพียงบางช่วงที่ต้องปีนป่ายก้อนหินบ้าง ใช้เวลาเที่ยวชมประมาณ 1ชั่วโมง ในช่วงฤดูฝนระดับน้ำในถ้ำจะขึ้นสูงจนไม่สามารถเข้าไปในถ้ำได้ ถ้ำแม่อุสุจึงเที่ยวได้เฉพาะในช่วงฤดูหนาวและฤดูแล้ง ถ้ำแม่อุสุอยู่ห่างจากอำเภอท่าสองยางตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 105สายแม่สอด - แม่สะเรียง ระยะทางประมาณ 13กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายตามถนน รพช. ผ่านบ้านทีโนะโคะ ระยะทาง 2กิโลเมตร ถึงถ้ำแม่อุสุ น้ำตกชาวดอย อยู่ห่างจากที่ทำ การอุทยานแห่งชาติ ตามถนนแม่สลิด-แม่ระเมิง ประมาณ 5 กิโลเมตร ระหว่างหลักกิโลเมตรที่ 17-18 มีเส้นทางเดินเท้าประมาณ 500เมตร ใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที จะพบกับน้ำตกชาวดอยที่ไหลจากหน้าผาสูงราว 25-30 เมตร ลักษณะเป็นน้ำตกขนาดกลางชั้นเดียวที่ทิ้งลงสู่เบื้องล่าง รวมตัวเป็นสายธารไหลลัดเลาะไปตามโขดหินที่ระเกะระกะกลางลำห้วยแลดูสวยงาม แปลกตา น้ำตกแม่ระเมิง จาก ที่ทำการของอุทยานแห่งชาติ ตามเส้นทางสู่ม่อนกิ่วลมอยู่บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 20 ทางด้านขวามือจะพบน้ำตก ลักษณะเป็นน้ำตกขนาดเล็กสูงราว 15เมตร ตกลงมาเป็นสองชั้นไหลลงสู่แอ่งน้ำเบื้องล่าง น้ำตกแม่สลิดน้อย อยู่ด้านหลังที่ทำ การอุทยานแห่งชาติ ต้องเดินทางเท้าลัดเลาะไป ตามลำห้วยแม่สลิด ใช้เวลาประมาณ 30นาที ระหว่างทางจะมีพันธุ์ไม้ที่น่าสนใจให้ศึกษา เช่น ดอกเทียน หงอนเงือกเล็ก แววมยุราเล็ก ดอกไม้เถา เห็ดป่าสีสวยสดใส และเฟิร์น ใช้ชมตลอดทาง ถึงน้ำตกชั้นแรก แยกเป็นสองสายตกจากหน้าผาสูงราว 40เมตร ส่วนชั้นที่ 2, 3และ 4ต้องปีนป่ายไปตามไหล่เขาที่สูงชัน ชั้นบนสุดจะพบน้ำตกอีกสองชั้นใหญ่ๆ มีสายน้ำทิ้งตัวไหลลงสู่เบื้องล่างติดต่อกันลงมาถึงสองชั้น จากหน้าผาสูงชันไม่น้อยกว่า 80เมตร ลงสู่แอ่งน้ำใหญ่ด้วยความแรงของสายน้ำทำให้เกิดละอองเป็นฝอยฟุ้งกระจายไป ทั่ว
อยากจะลืม ทุกสิ่ง ทิ้งความหลัง แต่ก็ยัง กลับจำ คำรักหวาน ที่เธอบอก หลอกฉัน เมื่อวันวาน แม้ผ่านนาน ยังจำ ย้ำฝังใจ..! [ame="http://www.youtube.com/watch?v=Se4zR5RwWSQ&feature=player_embedded#t=31s"][/ame]
คำสัญญา..จากชาย...พาใจหม่น แค่คำคน..ลวงหลอก หยอกให้หลง แต่ในใจ ที่พูดไป ไร้มั่นคง หวังให้หลง เชื่อใจ แล้วจากจร ปล่อยให้ใจ ซื่อซื่อ หลงเชื่อรอ กับคำล้อ หลอกเรา... เกินไถ่ถอน เมื่อรู้ตัว เหลือน้ำตา เป็นเพื่อนนอน ไหลอาบหมอน...ทุกคืนค่ำ...เพียงเดียวดาย อย่ามอง การจากลา ว่าทำร้ายใจ ตรงกันข้าม มันท้าทายความห่วงหา ว่าเมื่อเรา ไกลจาก ไปสุดตา ความผูกพันธ์ จะมีค่าหรือเปลี่ยนไป ในที่สุด จุดจบ ของบางอย่าง ก็เป็นจุด เริ่มสร้าง บางสิ่งได้ จุดจบของการพบกัน คือการไกล ก็เริ่มสร้าง ความห่วงใยได้พร้อมกัน
สวัสดียามบ่ายค่ะ ชาวเมืองคุรุวาโรทุกท่าน จำใจ จำจากเจ้า จำจร จำจาก มิ่งสมร อ่อนล้า จำใจ จากไป ไกลตา จำสัญญา จำได้ แม้ไกลกัน จากเจ้า จากไป ใจแทบขาด อนงค์นาฏ เคียงเขนย เคยร่วมฝัน นับแต่นี้ เราไม่มี กันและกัน แต่สักวัน ฝันสมหวัง ดังหมายปอง..เด๊อ.อออ เห็นสาวๆ กำลังซาบซึ้งกับบทกลอนอันอ่อนหวาน....ก็มีบทเพลงจาก..บรรเลงมาฝาก..อิอิ
ยังเหมือนเดิม อยู่ที่เดิม ทุกสิ่งอย่าง ไม่เคยวาง จากไป ไกลเลยหนา แม้จะไกล แสนไกล สุดสายตา แต่ทว่า ใกล้ใจ ไม่เคยเลือน...เน้อ.อออ กลอนมันพาไปเด๊อ.ออออ ค่ะ.
ซื้อโอ่งมาจากปาลาวันตี แล้วบอกให้นาคีนางมณีนพรัตน์นั้นลงไปในโอ่ง พอลงเสร็จ มีศรีสุจิตรามาร้องโวยวายว่า จะไปดูแลมณีนพรัตน์เลยขอลงโอ่งไปด้วยครับ สายตามองเห็นทิพย์อักษรกำลังเลื้อยมา เลยบอกให้เลื้อยลงโอ่งอีกใบ ท่ามกลางเสียงบอกว่า ไม่ให้ทิพย์อักษรลงโอ่งจากปาลาวันตี แต่ทิพย์อักษรก็เลื้อยลงโอ่ง กำลังขนโอ่งขึ้นรถมีนาคีสีทองเลื้อยมาอีก เลยบอกปาลาวันตีนำโอ่งมาอีกใบ มาใส่นราวดี ครับ แล้วขึ้นรถเร่ขายโอ่ง ซื้อโอ่งแถมนาคีครับ ท่ามกลางเสียงบ่นของปาลาวันตีว่า ไม่อยากขายโอ่งที่ทิพย์อักษรอยู่ในโอ่งใบนั้น ก็เขาเรียกว่า เก็บเอาไปฝัน แต่สีของพญานาคของทิพย์อักษรนั้นสวยงามดีครับ สีขาวออกไข่มุกครับ
เอ่ยวาจา คำลา ว่าจำจาก คงแสนยาก จากไป ไกลเพื่อนฉัน มิตรภาพ คงอยู่ใกล้ ไม่ไกลกัน แม้วันนั้น วันไหน ไม่ลางเลือน..นะจ๊ะ ป.ล. วันนี้ พอจะด้นกลอนสดได้...แสดงว่าใจไม่ค่อยว้าวุ่นเท่าไหร่..นิ
เอ่ยวาจา คำลา ว่าจำจาก คงแสนยาก จากไป ไกลเพื่อนฉัน มิตรภาพ คงอยู่ใกล้ ไม่ไกลกัน แม้วันนั้น วันไหน ไม่ลางเลือน..นะจ๊ะ ตอบว่า ฝันว่าขี่หมอนข้างแปลว่า ใจ นั้นคิดถึงคนที่เคยชอบพอครับ<!-- google_ad_section_end -->