โอลี่เหรอ? อ๋อ.ดิฉันรู้จักดีค่ะ เราเป็นเพื่อนรักกัน ตอนนี้เธออยู่ในช่วงจำศีลน่ะค่ะ เพราะเธอน้อยใจที่ไม่ค่อยจะมีใครเข้าใจเธอ ใครๆชอบคิดว่าเธอเจ้าชู้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เธอห่างไกลคำนั้นมาก ดิฉันการันตีค่ะ 555+
อ้าว..ได้เจอเพื่อนรักของคุณโอลี่แล้วหรือเนี่ย ใช่คนที่เธอพร่ำเพ้อหรือเปล่าคะ? แล้วเค้าเข้าป่าตอนดึกๆ กันทามมายล่ะคะ นั่นอ่ะจิ ก็ยังโง๊งงงง...งง อยู่ค่ะ ไปกับป้อจายสองต่อสองซะด้วยจิ แต่กลับไม่มีอาราย...เสียดายจัง ฮิ้ววว...
ใช่ค่ะ แม่นแหล่วว โอลี่กับดิฉันเป็นเพื่อนรักกันมาก (แทบจะเป็นคนๆเดียวกันเลยล่ะคะ) อ้อ.เรื่องเข้าป่า ดิฉันไม่ได้คิดแบบที่คุณนุ๊กคิดนะคะ (ท่าทางคุณนุ๊กจะทะลึ่งนะเนี่ย) ดิฉันแค่สงสัยว่ามีภารกิจอะไรที่สำคัญๆในป่าน่ะ เกี่ยวกับทางสมาธิน่ะค่ะ ใครจะไปรู้ล่ะคะ ดูท่าทางยิ่งเพี้ยนๆอยู่ 555+
แหม...คนนี้ หลอกไม่สำเร็จ ใช่ค่ะ มันเกี่ยวกับการปฏิบัติ เป็นการสอบอารมณ์ืทางฝัน เชิญคุณISAA แสดงความเห็นค่ะ เล่าให้ฟังหน่อยซิคะ ในมุมมองของคุณISAA คิดว่ายังไง?
ณ สถานที่เร้นลับแห่งหนึ่ง กลางหุบเขาในเขต จ.เพชรบูรณ์ เป็นที่อยู่อาศัยของ"นางพญางูใหญ่" ซึ่งเฝ้ารอคอยการกลับมาของสามีผู้จากไป ชาวบ้านชำนาญไพรในระเวกนั้น รู้ซึ้งถึงอาถรรพ์ป่าในหุบเขามรณะแห่งนี้ดี จึงหลีกเลี่ยงที่จะเข้าไปใกล้ ณ สถานที่แห่งนั้น เพราะต่างรู้กันดีว่า ไม่เคยมีใครได้กลับออกมาอีกเลย! จวบจนวันหนึ่งมีพระธุดงค์เข้าไปโปรดวิญญาณทรมานนั้น เรื่องราวต่างๆจึงได้ถูกเปิดเผยขึ้น... ย้อนรอยกรรม "นางพญางูทมิฬ" เร็วๆนี้......
กรี๊ดๆๆๆ....เสียงโหยหวนทวนลมแว้วมาแต่ไกล มันทำให้พลานกริช ขนหัวลุกเมื่อเขาตามรอยหมูป่า หลงเข้ามาในเขตแดนอาถรรพ์นั้น!ประหนึ่งดังต้องมนต์สะกด เมื่อสายตาของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่กำลังเพ่งมองมาที่พลานสมัคเล่น ท่ามกลางมณีไพรสนฑ์ใหญ่ มันอาจเป็นรัตกาลคืนสุดท้าย ที่เขาจะได้มีโอกาส สัมผัสประกายตาสีแดงยามรัติกาลคืนนั้น... เมื่อใบไม้ไหว แสงจันทร์ในวันเพ็ญ สาดกระทบกับสรีระของอมนุษย์ผู้มีแววตาอันดุดันนั้น...เผยให้เห็นร่างอันใหญ่ยาวสีดำมะเมื่อม เขามิอาจกระดุกกระดิกไปไหนได้ เนื่องจากนางพญางูใหญ่นั้นชำนาญการ"ปล่อยพิษทางสายตา" นางใช้สรีระเคลื่อนตัววนไปมาโดยรอบชายหนุ่มผู้ยืนแข็งประหนึ่งดังรูปปั้นหินนั้น อย่างละเอียดถี่ถ้วน แล้วจึงกล่าวว่า... (ฝนตกเน็ตมีปัญหา โปรดติดตามตอนต่อไป):'(
ไปที่นี่นะ...คืนนี้ เจอกันตอนตีหนึ่ง วัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร จากตัวเมืองเชียงใหม่มุ่งหน้าไปตามถนนสายเชียงใหม่-ฮอด 58 กิโลเมตร เป็นวัดสำคัญคู่เมืองจอมทองและเป็นที่เคารพสักการะของชาวเหนือโดยทั่วไป ประเพณีเด่นของวัดคือ “การแห่ไม้ค้ำโพธิ์” ซึ่งเป็นประเพณีของชาวล้านนาที่ถือว่าการเอาไม้มาค้ำโพธิ์เป็นการสืบทอดพระ พุทธศาสนา พระธาตุเจ้าศรีจอมทองมีประวัติอันยาวนานมาตั้งแต่สมัยพระพุทธกาลซึ่งพอะสรุปได้ดังที่จะกล่าวต่อไป ตามตำนานที่กล่าวถึงความเป็นมาของพระบรมธาตุศรีจอมทอง สรุปใจความได้ว่าดอยจอมทอง หรือ ดอยศรีจอมทองนั้น ได้แก่ที่ตั้งของวัดพระธาตุศรีจอมทองในปัจจุบันนี้ ซึ่งมีลักษณะเป็นภูเขาดินสูงจากระดับที่พื้นราบอื่น ๆ ในบริเวณนั้น ที่ตั้งพระวิหารอันเป็นที่ประดิษฐานพระบรมธาตุเจ้าจอมทอง จะเป็นยอดของดอยลูกนี้ในสมัยพุทธกาล และ มีเมืองอยู่เมืองหนึ่งชื่อว่า “ เมืองอังครัฏฐะ ” มีเจ้าผู้ครองเมืองนั้นามว่า พระยาอังครัฎฐะ ซึ่งเมืองนี้ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับดอยจอมทองลูกนี้ ซึ่งพระยาอังครัฎฐะนั้นได้ทราบข่าวจากพ่อค้าที่มาจากอินเดียว่า “ บัดนี้พระพุทธเจ้าได้บังเกิดในโลกแล้ว เวลานี้ประทับอยู่ที่เมืองราชคฤห์ในประเทศอินเดีย ” จึงได้ตั้งจิตอธิษฐานขอให้พระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรด เมื่อพระพุทธองค์ทรงทราบด้วยพระญาณแล้ว จึงเสด็จสู่เมืองอังครัฏฐะพร้อมด้วยภิกษุสาวกทางอากาศ ได้มารับอาหารบิณฑบาตจาก พระยาอังครัฏฐะ และ ทรงแสดงธรรมโปรดพร้อมทั้งได้ตรัสพยากรณ์ไว้ว่า “ เมื่อเรานิพพาน แล้วธาตุพระเศียรเบื้องขวา( พระทักษิณโมลี ) ของเราจักมาประดิษฐานอยู่ ณ ที่ดอยจอมทองแห่งนี้ ” แล้วเสด็จกลับส่วน พระยาอังครัฏฐะเมื่อได้ทราบจากคำพยากรณ์นั้นแล้ว จึงได้สร้างสถูปไว้บนยอดดอยจอมทอง ด้วยหวังว่าจะให้เป็นที่ประดิษฐานพระบรมธาตุตามที่พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ไว้ นั้น พระยาอังครัฎฐะอยู่ครองราชย์จนสิ้นพระชนม์มายุของพระองค์ ต่อมาภายหลังเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว โทณพราหมณ์ได้จัดแบ่งพระบรมสารีริกธาตุให้แก่กษัตริย์ทั้ง ๘ นคร ซึ่งในครั้งนั้น มัลลกษัตริย์แห่งเมืองกุสินาราทรงได้พระทักษิณโมลีธาตุไว้ พระมหากัสสปะเถระเจ้าประธานฝ่ายสงฆ์ จึงได้กราบทูลมัลลกษัตริย์ถึงพุทธพยากรณ์ที่พุทธองค์เคยตรัสไว้ มัลลกษัตริย์ทราบดังนั้นจึงถวายพระบรมธาตุแด่พระมหากัสสปะเถระ ซึ่งท่านก็ได้อัญเชิญพระบรมธาตุวางไว้บนฝ่ามือ แล้วอธิษฐานอาราธนาพระบรมธาตุให้เสด็จไปยังดอยจอมทอง เพื่อประทับอยู่ในโกศแก้วอินทนิลภายในเจดีย์ทองคำ ที่พญาอังครัฎฐะได้สร้างถวายไว้ อยู่ที่ยอดดอยจอมทอง ตามที่พระพุทธองค์ได้พยากรณ์ไว้. กาลหลังจากที่พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานไปแล้วได้ ๒๑๘ ปี พระเจ้าอโศกมหาราช ได้เสด็จไปสู่ดอยจอมทอง และทรงได้สั่งขุดคูหาให้เป็นอุโมงค์ใต้พื้นดอยจอมทอง แล้วให้สร้างสถูปทองคำไว้ภายในคูหาและยังหล่อพระพุทธรูปทั้งเงินและทอง ตั้งไว้รอบสถูปนั้นแล้ว เอาพระบรมธาตุเจ้าที่อยู่ในสถูป ที่พระยาอังครัฏฐะ ให้สร้างไว้บนยอดดอยนั้น เข้าไปไว้ในสถูปที่สร้างใหม่ในคูหาใต้พื้นดอยจอมทองแล้วรับสั่งให้เอาก้อนหิน ปิดปากถ้ำคูหาเอาไว้ แล้วทรงอธิษฐานว่า “ ต่อไปข้างหน้า ถ้ามีพระเจ้าแผ่นดินและศรัทธาประชาชน มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ขอให้พระบรมธาตุเจ้าเสด็จออกมาปรากฏแก่ผู้ชนให้ได้กราบไหว้สักการบูชา แล้วพระองค์จึงเสด็จกลับเมืองปาตลีบุตร ประเทศอินเดีย
วันนี้วันพระ มีความฝันมาเล่าให้ฟังค่ะ แต่เป็นความฝันที่นานมากแล้ว อยู่ๆๆก็เพิ่งนึกได้แว้บเข้ามาค่ะ เรื่องมีอยู่ว่า ฝันว่า นั่งเรือกับผู้ชายคนหนึ่งเป็นเรือแจวธรรมดานี่แหละค่ะ ผู้ชายคนนั้นใส่ชุดขาว วัยกลางคน พาเราขึ้นเรอืแจวไปกลางแม่น้ำอยู่ๆๆก็เกิดน้ำวน หมุนเรือของเราแล้วฝ้ายก็ถูกดูด ลงไป โพล่เป็นปากทางเข้าถ้ำ เขาบอกว่าเขาไปซิ ว่ามีอะไร แต่ชายคนนั้นเขาไม่เข้ามาด้วย เราก็เดินเข้าไปในถ้ำ พอก้าวเข้าไปแล้ว
เหมือนอยู่คนละโลกเลย มีแม่น้ำใสมาก มีบ้านเรือน มีทุ่งนาเหมือนบ้านเรานี่แหละ แล้ว ฝ้ายก็มองไปบนท้องฟ้า ท้องฟ้า แบ่งครึ่ง ด้านหนึ่งเป็นก้อนเมฆเหมือนโลกมนุษย์ แต่อีด้นหนึ่ง ก้อนเมฆเป็นรูปดอกไม้ บนท้องฟ้าฟั่งรูปดอกไม้นั้น มีเทวดา นางฟ้า อยู่เต็มไปหมด บางคนก็ร่ายรำ บางคนก็ดีดพิณ บางคนก็ มีพานลอยมาแล้วบนพานก็มีดอกบัวด้วย มีนางฟ้าตนหนึ่งมองลงมาดูฝ้าย แล้วก็ฉายแสงใส่ตัวฝ้าย ประมาณ สองครั้ง ฝ้ายก็งงค่ะ แล้วก็ตื่น มันเป็นความฝันที่นานมากแล้ว เอามาเล่าให้ฟังค่ะ แต่เราก้ไม่รู้หรอกนะว่าความฝันมันจะสื่อถึงอะไร
มิน่าเล่า... มาเหมือนกันเลยเชียว อิอิ ติดตามอยู่เน้อ... ต้องทมิฬด้วยเหรอ ดุแน่ๆเลยนิ สนุกไหมล่ะคะคุณฝ้าย... อิอิ