นิทาน เรื่อง "พญานาค"

ก็คุณปุณฑ์ อดีตมาจากพญานาคนี่คะ อย่ามาอำกันดีกว่า
ผู้ี่ที่เข้ามาในกระทู้นี้ ล้วนมีอดีตผูกพันกับพญานาคทั้งสิ้นค่ะ
ยุคนี้ เป็นกึ่งพุทธกาลค่ะ เป็นยุคของเหล่าเทพเทวาีที่จะดูแล
รักษาพระพุทธศาสนาของพระสมณโคดมองค์สมเด็จพระสัมมาฯ
ดังนั้น พญานาคซึ่งเป็นบริวารของเทพเทวา จึงขึ้นมาเยอะค่ะ
ไม่ได้ึ้ขึ้นมาพากันหลงทาง แต่ให้ช่วยเหลือกันและกันเพื่อ
ให้บรรลุเป้าหมายที่เคยขอปาวารณาไว้ต่อองค์สมเด็จพระสัมมาฯ

 

และในยุคปลายก็จะมีเหล่าภูติผีปีศาจ เปรต อสุรกาย สัมภเวสีค่ะ
ที่ขอดูแลต่อไป จนสิ้นอายุขัยแห่งพุทธศาสนาขององค์สมเด็จฯ

 

จำได้ว่าตัวเองร่วงมบุญและเคยมีเกือบ
50 องค์ค่ะหลากสัณฐาน บางชิ้นตั้งใจทำบุญและ
มอบเพชรพญานาคให้คนอื่นไปเรื่อย
เก็บไว้กับตัวจริงๆ 40 เศษๆ แต่เร็วๆ นี้ก็ให้เค้าไปอีก
จนบัดนี้เหลื่อแค่ 30กว่าองค์ เพื่อเก็บไว้ใช้ในงาน
ศาสนกิจที่ตนสนใจจะทำน่ะค่ะ

คิดแล้วก็ขำตัวเองค่ะ..บูชามาบ้างเค้าให้มาบ้าง
แต่สุดท้าย...ก็รอเวลาไปจากเราอยู่ดี

 

เราเคยพบกับกรมหลวงชุมพรฯ ท่านบอกว่าเราเป็นนางฟ้าหนีมาเกิด
ทีแรกก็ไม่เชื่อ แอบขำตัวเอง แต่เรื่องหนีมาเกิดเนี่ยจริงค่ะ

พอท่านบอกว่า เราเคยทูลกับพระพุทธองค์ว่า "ทำดีถึงแม้ไม่มีใครเห็น ผีสางเทวดาก็เห็น"
พอได้ยินประโยคนี้ ใช่เลยค่ะเราคิดอย่างนี้เสมอและไม่เคยพูดให้ใครฟัง

การหนีมาเกิดก็ระลึกได้ตั้งแต่เล็กๆ แล้ว แต่ไม่เคยพูดให้ใครฟัง
กลัวเค้าจะว่าเราบ้า ตอนเด็กๆ จะกลัวภาพผู้หญิงสวยๆ หน้าคม
เหมือนฝรั่ง ผมยาวหยักศกและตัวเองชอบวาดรูปด้านข้างของผู้หญิงค่ะ
ตาคมๆ ผมยาว จมูกโด่งๆ ในใจลึกๆ กลัวว่าเค้าจะรู้ และมาตามตัวกลับไป
แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงได้คิดอย่างนั้น ทุกครั้งที่คิดไม่ดี จะปวดหัวเหมือนถูกบีบขมับ

คนเราตายเกิดมาแล้วด้วยกันหลายชาติ อาจจะีมีชาติใดชาติหนึ่งก็ได้ค่ะ
ที่เคยเกิดเป็นพญานาค ซึ่งอาจจะไกลจากชาติปัจจุบันนี้ก็ได้

 

เราว่าชาติไหน ก็คงจะไกลจากเรามากๆค่ะ เพราะนึกอะไร จำอะไร ไม่ได้เลยจ้า อิอิ

ได้แต่ตั้งหน้าตั้งตา ทำชาตินี้ให้ดีต่อไปค่ะ...

 

คุณ nouk ครับ ช่วยเล่าเป้นวิทยาทานหน่อยครับ

ธาตุไฟแตก จะต้องแก้ไขยังไง

 

ก่อนที่จะเกิดมาภพภูมินี้ ทุกคนต้องได้ดื่มน้ำชนิดหนึ่งที่ทำให้ลืมอดีตชาติ
แต่สำหรับเราตอนที่มาเกิด เรามีผู้ช่วยนำทางคือท้าวเวสสุวรรณ
เราไม่ดื่มน้ำนั้น และท่องไว้ในใจว่าไม่ให้ลืมเรื่องราวทั้งหมด
แถมยังสามารถเลือกพ่อแม่ได้ด้วย เราเลือกพ่อแม่ที่มีศีลห้า
ไม่เน้นที่ความร่ำรวย ยศฐาบรรดาศักดิ์

 

คุณ hastin เรื่องปรับธาตุ ได้ลงไว้ในกระทู้นี้แล้วนะคะ
แต่จำไม่ได้ว่าหน้าไหน ถ้าว่างๆ ลองหาดูนะคะ
แต่ของตัวเองเีนี่ย ก็ใช้วิธีนั่งสมาธิปรับธาตุค่ะ นั่งจนตัวเอง
กลับไปสู่สภาวะเดิม คือต้องนั่งสมาธิให้เป็นเวลา
เวลาไหนก็เวลานั้น ตรงกันทุกวัน จำนวนเวลาก็เท่ากันทุกวัน
หรือจะเพิ่มให้มากกว่าก็ได้ค่ะ ก็ใช้เวลาเป็นปีเหมือนกันค่ะ
กว่าจะหายเอ๋อ เรียกว่าเอ๋อแล้วกันนะ เหมือนขวัญหาย
เพราะว่ากลัวและตกใจ ลืมตาขึ้นจากสมาธิทันที

 

อนุโมนาบุญจริงๆค่ะพี่นุ๊ก ...

สงสัยฟ้ามุ่ยคงจะดื่มไปหลายอึกเลยทีเดียว จนลืมสิ้น ลืมซากขนาดนี้ 555

 

อาการแบบนี้ ฟ้ามุ่ยเป็นบ่อยมากค่ะ เวลานั่งสมาธิ แค่ลมพัดกระดาษปลิว เพื่อนเคาะคอมฯดังไปหน่อย หรือเสียงเปิดประตู ก็สะดุ้งแล้วค่ะ

ต้องนั่งหลับตาต่อ ภาวนาเรื่อยๆ จนหายจากอาการนั้น แล้วค่อยถอนสมาธิค่ะ

 

ขอบคุณมากเลยค่ะที่เฉลยให้ เฮือกก สบายใจเลยล่ะค่ะ

 

ไปแอบอ่านเจอมาค่ะ ก็เลยเอามาฝาก

"....พญาธนบดี ศรีสัตตนาคบาดาล หรือจ้าวหล้าฯ นั้นเป็นคนครึ่งพญานาค
ด้วยเหตุที่ท่านมีพระบิดาเป็นมนุษย์ซึ่งจ้าวหล้าฯ สามารถเนรมิตอินทรีย์เป็นพญานาค
หรือเป็นมานพหนุ่มได้ง่ายกว่าพญานาคราชทั่วไป .......จะมาในกายของมานพหนุ่ม
นุ่งห่มสีเขียวมรกตหรือถ้าในช่วงเข้าพรรษาก็จะแต่งองค์ทรงภูษาสีขาวปักเหลื่อมพรรณรายสีมุก
เป็นประกายสีเงินยวงเจิดจำรัส ส่วนพระมารดาของท่านนั้นเป็นนางพญานาค
พระราชธิดาของพญาสนธินาคราช และนางพญาศรีภาวนานาคิณี...

จ้าวหล้าฯ พญาธนบดีตระกูลศรีสัตตนาคบาดาล เป็นโอปปาติกะโยนิ
คืออุบัติเทพเกิดขึ้นเองโดยมิได้เริ่มต้นเหมือนสิ่งมีชีวิตทั่วไป แต่มีเหตุแห่ง
การอุบัติ

คือท้าวเธอองค์กัศยปะฤๅษี...(ฤๅษีแต่มีเมียได้นะคะเมียเยอะด้วย)
เสด็จประพาสเมืองล่างคือบาดาล ลักษณะก็คล้าย ๆ กับนางกัทรุ แม่นาค นี่แหละค่ะ
แต่เป็นช่วงแห่งการมาเกี่ยวข้องกับพื้นพิภพแถว มหานทีสีทันดรของเรา คือช่วงเขตลาว - ไทย น้ำโขง...นี่แหละ
แล้วให้มีเหตุให้มาถูกกับดักศิลา หลุดออกไม่ได้ ขณะนั้นท่านแปลงร่างเป็นพญานาคาหนุ่ม
ลักษณะครึ่งบนเป็นมาณพหนุ่มงดงามสุดพรรณา ท่อนล่างเป็นนาคาสีมรกตเกล็ดเลื่อมพรรณราย....

ว้า...มีแค่นี้เอง ขอจบก่อน เดี๋ยวจะไปตามหามาให้อ่านกันอีกนะ แต่ขอเดาว่าสุดท้าย
พระราชธิดาของพญาสนธินาคราช คงมาพบและได้ให้การช่วยเหลือ
จนก่อเกิดพญาธนบดีตระกูลศรีสัตตนาคบาดาล ขึ้นมา (เดานะคะ อย่าเพิ่งเชื่อ)

 

เงิบเยย รอฟังอยู่นะคะพี่นุ๊ก ปูเสื่อๆๆ

 

หมดเรื่องแล้วค่ะ น้องzaxc คราวหน้าถ้าโชคดี คงได้อ่านเพิ่มเติมค่ะ
ธิดาพญานาคไปไหนเนี่ย จะฝากถ้ำคุรุวาโร ซะหน่อย
พรุ่งนี้ไม่อยู่นะ เดินทางไกลอีกแล้ว ฝากดูแลด้วย
อย่าให้ใครเข้ามาปล่อยของนะ แมนๆ กันหน่อยนะจ๊ะ

 

งั้นเล่าเรื่องนี้ให้อ่านกันดีกว่านะ

ตำนานพระลาวล้านช้างสามพี่น้อง

ตอนนี้จะพูดถึงตำนานของพระลาวสามล้านช้างสามพี่น้อง ได้แก่ พระเสริม พระสุก พระใส ซึ่งหล่อขึ้นจากทองคำสีสุก (โลหะสำฤทธิ์ที่มีทองคำเป็นส่วนผสมหลัก ) ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับพญานาคในแม่น้ำโขง

ย้อนไปในรัชสมัยของ พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ช่วงปี พ.ศ.2093 - 2115 แห่งอาณาจักรล้านช้างศรีสัตนาคนหุต ทรงมีพระราชธิดา 3 พระองค์ พระราชธิดาพระองค์โต ทรงพระนามว่า สุก พระราชธิดาพระองค์กลาง ทรงพระนามว่า เสริม และพระราชธิดาพระองค์เล็ก ทรงพระนามว่า ใส ในปี พ.ศ. 2109 (อ้างจากการท่องเที่ยวของ สปป. ลาว) พระธิดาทั้ง 3 พระองค์ได้ทรงร่วมกันสร้างพระพุทธรูปประจำพระองค์ขึ้น 3 องค์ เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา และเพื่อความเป็นสิริมงคล โดยมีขนาดลดหนั่นกันตามลำดับ

ในพิธีการหล่อพระพุทธรูปทั้ง 3 องค์นั้น พระภิกษุและฆราวาสช่วยกันทำการสูบเตาหลอมทองอยู่ตลอดถึง 7 วัน แต่ทองก็ยังไม่ละลาย พอถึงวันที่ 8 มีเพียงพระภิกษุสูงอายุรูปหนึ่งกับสามเณรรูปหนึ่งสูบเตาอยู่ ก็ปรากฏมีชีปะขาวคนหนึ่งมาอาสาสูบเตาแทนพระและเณร แต่วันนั้นญาติโยมต่างเห็นบรรดาชีปะขาวสูบเตาอยู่เป็นจำนวนมาก เมื่อพระภิกษุและสามเณรฉันเพลเสร็จแล้วก็จะไปสูบเตาต่อ ปรากฏว่าได้มีผู้เททองลงเบ้าทั้ง 3 จนเรียบร้อยแล้ว แต่ไม่เห็นชีปะขาวอยู่แม้แต่คนเดียว การหล่อพระพุทธรูปทั้ง 3 องค์ สำเร็จลงด้วยดีอย่างน่าอัศจรรย์ พระราชธิดาเสริม พระราชธิดาสุก และพระราชธิดาใส ได้ถวายพระนามของพระองค์เป็นนามของพระพุทธรูป คือ พระเสริม เป็นพระพุทธรูปประจำพระราชธิดาองค์พี่ พระสุก เป็นพระพุทธรูปประจำพระราชธิดาองค์กลาง และพระใส เป็นพระพุทธรูปประจำพระราชธิดาองค์สุดท้อง

 

หนูรอวันโชคดีอยู่นะคะ พรุ่งนี้เดินทางไกลขอให้เดินทางปลอดภัยนะคะพี่นุ๊ก ;k04

 

สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงลงความเห็นเกี่ยวกับพระพุทธรูปทั้ง 3 องค์นี้ว่า พระสุก พระเสริม พระใส เป็นพระพุทธรูปลาวล้านช้างที่งดงามยิ่งกว่าพระพุทธรูปองค์อื่น ๆ และทรงสันนิษฐานเรื่องการสร้างเป็น 2 ประการ คือ อาจจะเป็นพระพุทธรูปที่สร้างจากเมืองหนึ่งเมืองใดทางตะวันออกของอาณาจักรล้านช้าง และต่อมาตกอยู่ในเขตล้านช้าง หรืออาจสร้างขึ้นในเขตล้านช้างโดยฝีมือช่างลาวพุงขาว

ที่ประดิษฐานพระสุก พระเสริม พระใส คราวแรกประดิษฐานอยู่ ณ เมืองเวียงจันทร์ นานเท่าไรไม่ปรากฏ ครั้น พ.ศ 2321 เมื่อรัชกาลพระเจ้ากรุงธนบุรี ได้เกิดสงคราม ขึ้นระหว่างกรุงธนบุรีกับกรุงศรีสัตนาคนหุต (เวียงจันทร์) ครั้นนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ดำรงพระยศเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ได้เป็นจอมพลยกทัพมาตีเวียงจันทร์ พระเจ้าธรรมเทวงศ์จึงได้อันเชิญไปไว้ที่เมืองเชียงคำ ครั้นต่อมาด้วยเหตุใดไม่ทราบได้ พระใสจึงถูกอัญเชิญมาประดิษฐานไว้ที่วัดโพนชัย เมืองเวียงจันทร์อีก

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ครั้งเจ้าอนุวงศ์ เจ้าผู้ครองอาณาจักรล้านช้างก่อกบฏ ไม่ขอขึ้นตรงต่อกรุงรัตนโกสินทร์อีกต่อไป พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงโปรดให้สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพเป็นแม่ทัพยกทัพไปปราบ และได้ตั้งค่ายทหารที่เมืองพานพร้าว ทหารไทยเข้าตีเมืองเวียงจันทน์จนเจ้าอนุวงศ์หนีไปจากเวียงจันทน์ ในครั้งนั้นได้อัญเชิญพระพุทธรูปที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาจากเมืองเวียงจันทน์หลายองค์ ได้แก่ พระแซกคำ พระฉันสมอ พระเสริม พระสุก พระใส พระแก่นจันทน์ พระเงินหล่อ พระเงินบุ พระสรงน้ำ มาเก็บรักษาไว้ที่เมืองพานพร้าว และได้มีการสร้างพระเจดีย์เพื่อประดิษฐานจารึกพระนาม พระเจดีย์ปราบเวียง ต่อมาเจ้าอนุวงศ์ได้ร่วมกับพวกญวนเข้ายึดเมืองเวียงจันทน์คืนและตีค่ายพานพร้าว ทหารฝ่ายเจ้าอนุวงศ์ได้ทำการรื้อพระเจดีย์ปราบเวียง และนำพระพุทธรูปที่บรรจุอยู่ทั้งหมดกลับเวียงจันทน์ ต่อมาทหารไทยเข้ายึดค่ายพานพร้าวคืนและตีเมืองเวียงจันทน์ ทำลายเมืองเวียงจันทน์ กำแพงเมือง ป้อมเมือง และหอคำ จนกลายเป็นทะเลเพลิง เหลือไว้แต่วัดสีสะเกดและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ประจำเมืองบางแห่ง และได้มีการนำพระพุทธรูปจำนวนหนึ่งข้ามกลับมาฝั่งไทย

 

อุ่ยด้วยเนตอืดอนาถจิต แอบมีมาฝากอีกเรื่องด้วย ขอบคุณเรื่องราวดีๆๆค่ะ

 

การอัญเชิญพระเสริม พระสุก พระใส จากเมืองเวียงจันทน์

ในตอนที่อัญเชิญพระใสจากเวียงจันทน์ มาประดิษฐานที่วัดโพธิ์ชัยเมืองหนองคายนี้ คราวอัญเชิญมาไม่ได้อัญเชิญมาจากเมืองเวียงจันทน์โดยตรงแต่ได้อัญเชิญมา จาก ภูเขาควายซึ่งชาวเมืองได้อัญเชิญไปซ่อนไว้แต่ครั้งเวียงจันทน์เกิดสงคราม การอัญเชิญมาได้อัญเชิญขึ้นประดิษฐานบนแพไม้ไผ่ซึ่งอัญเชิญมาทั้ง 3 องค์ ล่องมาตามลำแม่น้ำโขงเมื่อถึงตรงบ้านเวินแท่นที่นั้นได้เกิดอัศจรรย์คือ แท่นของพระสุกได้แหกแพจมลงในน้ำโดยเหตุที่มีพายุแรงจัดพัดแพจนเอนเอียงแพไม่ สามารถรับน้ำหนักของพระแท่นไว้ได้ อาศัยเหตุที่แท่นของพระสุกได้จมลง ณ ที่ตรงนั้นจึงได้ชื่อว่า "เวินแท่น" มาจนบัดนี้ ครั้นเสียแท่นพระสุกแล้ว ก็ยังอัญเชิญล่องมาตามลำน้ำโขง (น้ำงึ่ม) เฉียงกับบ้านหนองกุ้ง อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย เล็กน้อย พอถึงที่นั้นได้บังเกิดพายุใหญ่เสียงฟ้าคะนองร้องลั่น จนในที่สุดพระสุกได้แหกแพจมลงในน้ำ พอพระสุกจมลงในน้ำแล้วอาการวิปริตต่างๆ ก็สงบเงียบอาศัยเหตุนี้ ที่นั้นจึงได้นามว่า "เวินสุก" (จนบัดนี้พระสุกยังจมอยู่ในน้ำโขงตรงนั้นตราบเท่าทุกวันนี้)

เมื่อเป็นเช่นนี้ยังคงเหลืออยู่แต่พระเสริมกับพระใส ที่ได้นำเข้ามาถึงเมืองหนองคาย พระเสริมได้อัญเชิญประดิษฐานไว้ ณ วัดโพธิ์ชัยส่วนพระใสได้ประดิษฐานไว้ ณ วัดประดิษฐ์ธรรมคุณ (วัดหอก่อง) ต่อมาในรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จฯ พระจอมกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ให้ขุนวรธานีและข้าหลวงอัญเชิญ พระเสริม จากวัดโพธิ์ชัยลงไปกรุงเทพฯ ขุนวรธานีเมื่อมาถึงหนองคาย ได้ทราบว่าพระใสเป็นคู่กับพระเสริมจึงได้อัญเชิญจากวัดหอก่องขึ้นสู่เกวียน นัยว่า จะอัญเชิญไป กรุงเทพฯ กับพระเสริม แต่พอมาถึง ณ วัดโพธิ์ชัย พระใสได้แสดงปาฏิหาริย์ไม่สามารถขับเกวียนซึ่งประดิษฐานหลวงพ่อ พระใสให้เคลื่อนที่ไปได้ แม้ใช้เครื่องฉุดก็ไม่สามารถเช่นเดียวกัน ได้ทำการอ้อนวอนด้วยประการต่างๆ ก็ไม่เป็นผล จนในที่สุดเกวียนได้หักลง คราวนี้ได้หาเกวียนใหม่มาเป็นที่ประดิษฐาน แต่ก็อัศจรรย์อีกเพราะเกวียนไม่สามารถจะเคลื่อนที่ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงปรึกษากันว่าจะอัญเชิญหลวงพ่อพระใสประดิษฐานไว้ที่วัด โพธิ์ชัยแล้วก็ทำการอธิษฐานเป็นผลดังใจนึก พอเข้าหามไม่กี่คนเท่านั้นองค์ หลวงพ่อพระใส ก็ถูกยกขึ้นประดิษฐานไว้ในอุโบสถวัดโพธ์ชัยได้โดยง่ายให้พวกเราได้เคารพ สักการะเป็นการกุศลจวบจนถึงปัจจุบันนี้

 

ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 18 คน ( เป็นสมาชิก 9 คน และ บุคคลทั่วไป 9 คน )
nouk, mukmik, saekue20, นิวัตร์, โฟร์o, hastin, wanjai99, zaxc, แสงสุริยา

มีนิทานรอบดึกให้อ่านมั้ยคะ
น้องแต เมื่อคืนพี่ฝันถึงน้องแตด้วยนะ