นิทาน เรื่อง "พญานาค"

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย คุรุวาโร, 31 ธันวาคม 2011.

  1. แจ๊กซ์69

    แจ๊กซ์69 ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    3,142
    ค่าพลัง:
    +1,962
    นี่ไำงกำลังหลักสำคัญมาแล้ว พี่ช่วยพาผมไปด้วยนะครับ มีพี่ไปด้วยโอกาส สำเร็จนี่เยอะขึ้นมากเลย
     
  2. EmzzA

    EmzzA Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2012
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +39
    -----------------------55555555555+ คิดได้อีก ....ผมมีรายชื่อ ผมยังคิดว่าผมไปไม่ได้เลย
     
  3. แจ๊กซ์69

    แจ๊กซ์69 ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    3,142
    ค่าพลัง:
    +1,962
    คาถาเปิดวิชา (ในกรณีที่มีคน - เทพ ปิดบังด้วยอาคม)
    นะระเบิด เปิดทาง เปิดฟ้า เปิดดิน เปิดสายสิญจ์ เปิดมหาสมุทร เปิดอินทร์ พรหม ยม ยักษ์ เทวดา เปิดว่านยา เปิดอัขระ มนตรัง ยันตรัง สันตรัง วิกรึงคะเร เปิดด้วยนะโมพุทายะ ยะธาพุทโมนะ



    ปล.คาถานี้ผมจะร่ายไว้ก่อนนอนอย่าลืมมารับผมด้วยนะครับทุกคนผมกะว่าจะกินยานอนหลับรอครับ







    คาถา เปิดตาที่ 3 ล.ป.คำเป็ง

    นะเปิดโลก เปิดตัง เปิดสรรพะชีวิต อะมะตัง อิมัง

    ทิพพะจักขุญานัง เอหิมะมะ

    (ใช้นิ้วชี้ จิ้มที่บริเวณตาที่ 3 แล้วว่า คาถา)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มกราคม 2012
  4. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    ถ้าใจเรามีความตั้งใจอยากไปจริงๆเราต้องไปได้สิ ยังไงก็ขอให้ได้ไปกันทุกท่านนะคะ รวมทั้งคุณแจ็คด้วย อย่าไปทานยานอนหลับเกินขนาดล่ะ .. ส่วนตัวเคยไปเที่ยวบางสถานที่มาบ้างแล้วค่ะ ไปคนเดียวเลยเกิดอาการกลัว และมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ท่านพญานาคพาไปเที่ยวทั้งคืน พอกลับมารุ่งเช้าตื่นแล้วจำอะไรไม่ได้เลย ร่างกายก็รู้สึกเพลียมากๆ รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่จำไม่ได้ ที่ตื่นขึ้นมาแล้วจำอะไรไม่ได้เพราะเขาทำให้เราจำอะไรไม่ได้
     
  5. EmzzA

    EmzzA Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2012
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +39
    แบบนี้นิเอง
     
  6. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    อรุณสวัสดิ์ค่ะ สมาชิกกระทู้ทุกๆท่าน วันพรุ่งนี้แล้วสินะคะ ที่จะเดินทางไกล...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มกราคม 2012
  7. ิWorakan

    ิWorakan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +72
    Good morning. Have a good time Friday during week!!!(All people.)
     
  8. ิWorakan

    ิWorakan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +72
    ขอเล่าเรื่องราวของ พญานาคราช ต่อเลยนะคะ....เดิมทีเดียวมีพระพรหมฤษีผู้เป็นประชาบดีของโลก (ผู้เป็นใหญ่ในบรรดาลูกหลาน หมายถึง ฤษีผู้มีบุตรมาก เป็นต้นตระกูลแห่งมนุษย์ อสูร เทวดา และสัตว์โลกทั้งหลาย) นามว่า พระกัศยป เป็นโอรสของพระฤษีมรีจิ ซึ่งเป็นโอรสของพระพรหมเทพบิดา

    พระกัศยปมุนีนั้นมีชายามากมายถึง 13 คน แต่ชายาที่โปรดปรานมากที่สุดได้แก่ 2 พี่น้อง นามผู้พี่ว่า นางวินตา และนางผู้น้องนามว่า กัทรู

    นางวินตานั้นได้ขอพรจากสามีให้มีลูก 2 คน ส่วนนางกัทรู ขอพรให้มีลูกเป็นงู หนึ่งพันตัว จำเนียกาลต่อมา นางกัทรูคลอดลูกเป็นไข่ หนึ่งพัน ฟอง ไข่เหล่านั้นแตกเป็นนาค หนึ่งพัน ตัว เป็นต้นตระกูลแห่งนาคราช ทั้งหลาย...

    ส่วนนางวินตาคลอดลูกเป็นไข่ สอง ฟอง เวลาผ่านไป 500 ปี นางใจร้อนจึงได้ทุบไข่แตกก่อนกำหนดหนึ่งฟอง ลูกชายในไข่ฟองนั้นเป็น เทพ มีร่างกายเพียงครึ่งเดียว มีนามว่า พระอรุณ ทำหน้าที่เป็นสารถีของพระสูรยะ พระอรุณโกรธมารดาวินตามากจึงได้สาปให้นางวินตาผู้มารดาตกเป็นทาสของนางกัทรูในภายหน้า คำสาปนั้นเกิดผลขึ้นในไม่ช้า...กล่าวคือ นางกัทรูท้าพนันกับนางวินตาว่า ม้าอุจไฉศรพที่เทียมรถพระอาทิตย์มีสีอะไร นางวินตาตอบว่า มีสีขาว แต่ นางกัทรูตอบว่าเป็นม้าสีดำ

    ทั้งสองคนนัดกันพิสูจน์ความจริงในตอนรุ่งเช้า ในเวลาราตรีนั้น นางกัทรูใช้ให้นาคทั้ง 1000 ตัว ที่เป็นลูกของนางไปพ่นพิษใส่ม้าอุจไฉศรพ ทำให้ม้านั้นกลายเป็นสีดำไปทั้งหมดทั้งตัว...ฉะนั้น ในตอนเช้า เมื่อไปดูม้าที่เทียมรถพระอาทิตย์นางวินตาจึงเห็นม้าเป็นสีดำ และทันใดนั้นนางวินตาก็เสียทีแก่น้องสาวจึงต้องตกเป็นทาสให้นางกัทรูและพวกนาคจิกหัวใช้ตามชอบใจ...นางวินตาทรมาทรกรรมมานานจนเวลาผ่านไป 1000 ปี ไข่ฟองที่สองของนางวินตานั้นได้แตกออกมาเป็นมหาวิหคทรงเดชมหิมา เรียกกันว่า ครุฑ อันครุฑนั้นแลเห็นมารดาวินตาต้องเป็นทาสนางกัทรูผู้เป็นน้าและพวกนาค ทำให้ได้รับความลำบากแสนเข็ญ ก็มีความสงสารมารดายิ่งนัก...ครุฑได้ผูกพยาบาทนาคทั้งหลาย ต่อมาครุฑได้ไปอ้อนวอนพวกนาคให้ปล่อยมารดาของตนเป็นอิสระ...และตนจะหาสิ่งที่นาคต้องการมาให้ บรรดานาคตอบว่าพวกตนต้องการกินน้ำทิพย์ซึ่งพระอินทร์เก็บไว้

    ดังนั้น ครุฑก็ไปเอาน้ำทิพย์นั้นมาจนได้ ถึงแม้จะเสี่ยงอันตรายแทบจะเอาชีวิตไม่รอดก็ตาม ครั้งนั้นอินทราเทพ ยอมแพ้แก่ครุฑ ขอหม้อน้ำทิพย์คืน ครุฑจึงสัญญากับอินทราเทพว่า เมื่อตนวางหม้อน้ำทิพย์ลงบนพื้นดินแล้ว ให้อินทราเทพฉวยกลับคืนไปเสีย อย่าให้พวกนาคได้กินน้ำทิพย์ เมื่อสัญญากันแล้วครุฑ ก็นำหม้อน้ำทิพย์ไปมอบแก่พวกนาค และให้นาคไปอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดเสียก่อน...

    เมื่อนาคอาบน้ำเสร็จแล้วจะขึ้นมากินน้ำทิพย์นั้น องค์อินทราเทพก็ทรงรับฉวยเอาไปเสีย นาคแลเห็นน้ำค้างบนใบหญ้าคาคิดว่าน้ำทิพย์หกเรี่ยรายอยู่ก็เอาลิ้นเลียกิน หญ้าคาก็ได้บาดลิ้นนาคเป็นสองแฉก พวกนาคจึงมีลิ้นสองแฉกตั้งแต่นั้นมา...

    อย่างไรก็ดี ครุฑยังผูกใจเจ็บพวกนาคอยู่ เพราะแค้นที่พวกนาคนั้นใช้มารดาวินตาของตนเป็นทาส จึงได้ประกาศจองเวรกับนาคทุกตัว และไปขอพรจากพระวิษณุเป็นเจ้า และพระเป็นเจ้าก็ได้ประทานพรอนุญาตให้ตนกินนาคเป็นอาหารตามใจปรารถนาจำเดิมแต่นั้น...

    ครุฑก็จับนาคกินทุกวัน นาคส่วนใหญ่หนีไปอยู่ใต้มหาสมุทรซึ่งเรียกกันว่า สะดือทะเล แต่ครุฑก็ตามไปรังควานจนถึงที่นั่น โดยกวักปีกกระพือลมให้น้ำทะเลแยกออกจากกัน แลเห็นนาคยั้วเยี้ยอยู่บนทราย ครุฑก็โฉบลงมาจับนาคกินเสีย นาคคิดป้องกันตัวโดยกลืนก้อนหินลงไปตุงในท้องทำให้มีน้ำหนักมาก ครุฑจะได้เอาไปไม่ไหว แต่ก็คิดผิดถนัด เพราะครุฑนั้นมีเรี่ยวแรงมหาศาลนัก เมื่อครุฑกระพือปีกแหวกน้ำทะเลแล้วก็โผลงไปจับนาคตามเคย

    เมื่อรู้สึกว่ากลืนก้อนหินไว้ในท้อง ครุฑจึงเปลี่ยนท่าใหม่ โดยจับนาคทางหางทีละสองตัว ให้นาคห้อยหัวลง ครุฑก็กระตุกเขย่าเต็มแรง ทำให้ก้อนหินหล่นจากปากนาคห้อยหัวลง แล้วครุฑก็กระตุกเขย่าเต็มแรง ทำให้ก้อนหินหล่นจากปากนาคออกมา แล้วครุฑก็พานาคไปกินโดยสะดวกเช่นเคย

    การณ์เป็นดังนี้มาช้านาน จนนาคหมดอาลัยตายอยากในชีวิต เพราะไม่รู้ว่าวันตายจะมาถึงเมื่อใด...จะหนีไปทางไหนก็หนีไม่พ้น ในท่ามกลางแห่งมรณะภัยนี้เอง พญาวาสุกินาคราช ก็หาทางออกอย่างแยบยล โดยออกประกาศให้นาคทุกตัวมาจับฉลากเลือกวันตายของตัวเอง ใครจับได้ว่าจะต้องไปสังเวยตัวเองแก่ครุฑ ก็ให้ไปรออยู่ที่แท่นสังเวย อันเป็นลานหินเรียบริมฝั่งทะเลวันละตัว ๆ

    แล้วครุฑก็จะมาโฉบเอาไปกินทุกวัน โดยไม่ต้องไปรุกรานพวกนาคถึงสะดือทะเล วันนี้ถึงเวรที่นาคนามว่าศังขจูฑะ ผู้เป็นนาคบริวารของพญานาควาสุกรี ต้องมาสังเวยชีวิตแก่พญาครุฑ ที่แท่นสังเวยแห่งนี้ แต่ด้วยความช่วยเหลือจากพญาวิทยาธรผู้มีใจงามนามว่า ชีมูตวาหน ให้รอดพ้นจากการถูกครุฑจับกินในเวลาต่อมาด้วยการเสียสละชีวิตของตนให้ครุฑกินเนื้อตนเองแทนนาค...

    เมื่อพญาครุฑทราบความจริงก็อึ้ง...หัวใจเต็มตื้นด้วยความเวทนาจับจิต กล่าวด้วยความเสียใจว่า..."ชีมูตวาหน ท่านนี้เป็นมหาตมะโดยแท้ ท่านทำให้ข้าละอายใจยิ่งนัก ขอจงยกโทษให้แก่ข้าผู้เขลาผู้มืดมัวด้วยโทษะและโมหะเถิด"

    พญาวิทยาธรหนุ่มทอดสายตาดูผู้ทำลายชีวิตตน ด้วยสายตาอันเยือกเย็น เปี่ยมด้วยแววแห่งความเมตตากรุณา เผยอริมฝีปากขึ้นกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า..."เราให้อภัยต่อท่านพญาครุฑ" สิ้นเสียง ก็หลับตา ลมหายใจค่อยผ่อนเบาลง จนหยุดหายไปในที่สุด แน่นิ่งสิ้นลมปราณ ร่างอาบไปด้วยโลหิต เมื่อนาคศังขจูฑะ เห็น ก็ตกตะลึง...ด้วยความเสียสละนี้ พระเทวีพระอุมาไหมวตีได้ปรากฎองค์ขึ้น ณ ที่นั้น ทรงมีพระพักตร์อันแย้มยิ้ม ทอดพระเนตรดูทุกคนด้วยความเมตตา เนื่องด้วย วิทยาธรหนุ่มผู้นี้เป็นลูกเขยของพระองค์ที่แต่งกับเทวีมลยวดี ผู้เป็นพระธิดาของพระแม่เจ้านั่นเอง...

    พระเทวีทรงโปรยน้ำทิพย์จากขวดแก้วมณีลงบนร่างของชีมูตวาหน ทันใดนั้นเองพญาวิทยาธรหนุ่มก็ฟื้นคืนสติชีวิตขึ้นมา และพระองค์ขอให้พญาครุฑยุติการสังหารนาค มนุษย์ผู้บริสุทธิ์ว่า

    "คนผู้ทรงคุณธรรมเต็มเปี่ยมเช่นนี้ หยุดล้างผลาญชีวิตนาคทั้งหลายแต่บัดนี้ หากท่านเมตตาจริงแล้ว เราจะขอชีวิตของนาคทั้งหมดไว้ ด้วยพวกนาคนั้นไม่มีความผิดอะไร นาครุ่นแรกที่ก่อกรรมทำเข็ญต่อมารดาของท่านแต่ดึกดำบรรพ์นั่นต่างหากเป็นผู้ก่อกรรม เป็นคู่กรณีของท่านต่างหาก นาคเหล่านี้อีกหลายหมื่นหลายแสนชีวิตไม่มีส่วนรู้เห็นด้วย จงงดโทษแก่เขาเถิด ท่านเทพปักษิน ขอให้ท่านระลึกเสมอว่า ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ศานติสุขจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าเวรไม่ยุติ ข้าขอพรท่านเพียงข้อนี้ข้อเดียว โปรดอภัยแก่นาคทั้งหลายเถิด"

    เมื่อพญาครุฑได้ฟังเทวดำรัส ก้มกราบด้วยความนอบน้อม กล่าวสัญญาว่าจะเลิกการพยาบาทจองเวรแก่นาคทั้งหลายแล้ว ต่อมานาคศังขจูฑะก็ก้มกราบพระเทวีทีได้ช่วยชีวิตตนไว้ในครั้งนี้และวิทยาธรชีมูตวาหน และกลับลงไปสูนาคโลก และแจ้งคำประกาศของครุฑให้แก่นาคทั้งหลายได้รู้....จากนั้นพญาครุฑก็ถวายบังคมลาพระโลกมาตา แล้วโผทะยานสู้ท้องฟ้า แผ่ปีกทองอุไรอันวาววับจับแสงอาทิตย์ ยามใกล้อัสดง เป็นประกายเจิดจ้าในเวหา ค่อยลอยเลื่อนลับหายไปจากสายตา...

    จาก หนังสือ ภารตนิยาย ของ ศาสตราจารย์ ดร.ศักดิ์ศรี แย้มนัดดา...

    นาคนั้น มีด้วยกัน 4 พวกคือ 1. นาคสวรรค์ มีหน้าที่เฝ้าวิมานเทวดา 2. นาคกลางหาว มีหน้าที่ให้ลมให้ฝน 3. นาคโลกบาล มีหน้าที่รักษาแม่น้ำลำธาร 4. นาครักษาขุมทรัพย์

    จะว่าไปแล้วนั้น พญานาคเหมือนกับทำหน้าที่ของมังกร ทำให้เห็นว่า มังกรกับพญานาคนั้นเป็นสัตว์ตระกูลเดียวกัน ...ตามคัมภีร์พระพุทธศาสนา ได้แยกหน้าที่ของนาคไว้ ถึง 1,024 ชนิด...
     
  9. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    อรุณสวัสดิ์ค่ะ ตื่นเช้าจังเลย เมื่อคืนนอนหลับฝันดีมั้ยคะ
     
  10. ิWorakan

    ิWorakan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +72
    ถาม : ป่าหิมพานต์มีจริงหรือเปล่าครับ ?

    ตอบ : มีจริงๆ หิมะ แปลว่า หมอก วานะ คือ ป่า ป่าที่มีหมอกลง ป่าไหนที่มีหมอกลงถือว่าเป็นป่าหิมพานต์ทั้งนั้น

    ป่าหิมพานต์ในความหมายของเราก็คือป่าที่เชิงเขาพระสุเมรุ นั่นเป็นสถานที่กึ่งแดนเทวดา มีจริงๆ จ้ะ คือ คล้ายๆ กับว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจได้คล้ายๆ กับวนอุทยานของโลกมนุษย์เรานี่แหละ ประกอบไปด้วยสิ่งพิลึกพิลั่นอะไรต่างๆ ซึ่งเป็นทั้งเทวดาหรือว่าเป็นเดรัจฉานกึ่งทิพย์ก็มี

    พวกเดรัจฉานกึ่งทิพย์นี่เขาสร้างบุญใหญ่มา แต่ว่ากรรมหนักก็ยังมีอยู่เลยยังอยู่ในเขตของเทวดาจริงๆ ไม่ได้ เขาจะมีเขตเฉพาะของเขาอยู่ ถ้านับภพภูมิของเราแล้วก็เป็นภพภูมิของสัตว์เดรัจฉาน แต่ว่าเนื่องจากความเป็นทิพย์สามารถบิดเบือนแปลงกายอะไรก็ได้หลายอย่าง อย่างพวก ครุฑ พวกนาค เหล่านี้เป็นต้น บางทีของเราอยากเห็นอะไรพิลึกพิลั่นท่านก็แสดงให้เห็น

    ถาม : แล้วเดินไปได้ไหมครับ ?

    ตอบ : ได้อยู่ แต่ว่ามี ๒ อย่าง อย่างหนึ่งก็คือต้องหาคนนำทางที่พาไปได้ อย่างที่ ๒ ต้องได้อภิญญาห้า ถ้าได้ไม่ถึงก็เสร็จ

    ถาม : ถ้าได้ทั้ง ๒ อย่าง ?

    ตอบ : อย่างใดอย่างหนึ่งก็ไปได้แล้ว คือถ้าหากมีผู้นำทางก็เจ้าของถิ่น ไม่ต้องมากหรอกเอาแค่แถวๆ กลางเขาพระสุเมรุหรือยอดเขาก็ได้เขาพาเราไปได้แล้ว จะไปเอามักกะลีผลหรือ ? ถึงถามหาเขาหิมพานต์

    ถาม : คือพอดีผมฟังเรื่องพระเวสสันดรนะครับ ในเรื่องบอกว่าท่านเดินไปที่...

    ตอบ : นั่นเขาวงกต ไม่ใช่หิมพานต์ คนละที่กัน พระเวสสันดร ๑๓ กัณฑ์ จะมีอยู่ที่เขาวงกตเรียกมหาพน จุลพน คือ ป่าใหญ่กับป่าเล็ก จะบรรยายถึงสภาพป่าที่ท่านเข้าไปถือศีลปฏิบัติธรรม


    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกรกฏาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔
     
  11. ิWorakan

    ิWorakan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +72

    อรุณสวัสคะ เมื่อคืนหลับคาโน็ตบุ๊คเลยคะ ตื่นมาอีที่ตี5กว่าเกือบ6โมงแล้วคะ พี่ติงๆฝันอะไรไหมคะ
     
  12. ิWorakan

    ิWorakan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +72
    ทศชาติชาดก

    เรื่อง เนมิราช ผู้ยิ่งด้วยอธิษฐานบารมี ตอนที่ 5


    จากตอนที่แล้ว ท้าวสักกเทวราชทรงทราบความกังขาในพระหฤทัยของพระเจ้าเนมิราช จึงรีบเสด็จมายังห้องบรรทมของท้าวเธอ ทรงแผ่พระรัศมีประทับยืนอยู่ท่ามกลางอากาศ พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นท้าวสักกะก็ตกพระทัย ได้ตรัสถามว่า ท่านเป็นใคร มีประสงค์สิ่งใด


    ท้าวสักกะจึงทรงแนะนำให้รู้จักพระองค์และเปิดโอกาสให้ถามปัญหา พระเจ้าเนมิราชจึงได้ตรัสถามว่า หม่อมฉันมีความสงสัยว่า ระหว่างทานกับการรักษาศีลคือการประพฤติพรหมจรรย์ อย่างไหนจะมีผลมาก มีอานิสงส์มากกว่ากัน ขอพระองค์จงทรงชี้แจงให้กระจ่างด้วยเถิด

    ท้าวสักกจอมเทพจึงตรัสตอบว่า บุคคลย่อมบังเกิดในตระกูลกษัตริย์ เพราะประพฤติพรหมจรรย์อย่างต่ำ ย่อมบังเกิดในสวรรค์ เพราะพรหมจรรย์อย่างปานกลาง ย่อมบริสุทธิ์หลุดพ้น เพราะพรหมจรรย์อย่างสูงสุด พรหมจรรย์นั้นมีอานิสงส์มากกว่าทานหลายแสนเท่า

    จากนั้นจึงได้ตรัสเล่าเรื่องในอดีตว่า ครั้งหนึ่ง ได้มีฤษีจำนวนมากอาศัยอยู่ที่กาญจนบรรพต ในป่าหิมพานต์ คราวหนึ่งได้มีฤษีตนหนึ่งเหาะมาสู่กรุงพาราณสีเพื่อบิณฑบาต ปุโรหิตได้เห็นท่านแล้วก็เลื่อมใส จึงนิมนต์ท่านให้เข้ามานั่งฉันในเรือน ได้ซักถามพระฤษีว่า ท่านมาจากไหน มีความเป็นอยู่อย่างไร

    พระฤษีก็ตอบว่า เราอยู่ที่กาญจนบรรพต ที่นั่นมีฤษีอาศัยอยู่หลายหมื่นตน ล้วนทรงอภิญญา มีฤทธิ์มีเดช ปุโรหิตได้ฟังแล้วก็ยิ่งเลื่อมใส อยากจะบวชเป็นฤษีบ้าง จึงได้เรียนให้ท่านทราบ พระฤษีจึงห้ามว่า ท่านเป็นบุรุษของพระราชา เราบวชให้ท่านไม่ได้หรอก


    ปุโรหิตไม่ละความพยายามได้กล่าวต่อไปว่า “ถ้าเช่นนั้น ข้าพเจ้าจะทูลขออนุญาตพระราชาในวันนี้ ในวันพรุ่งนี้ขอพระผู้เป็นเจ้าโปรดมารับข้าพเจ้าในที่นี้เถิด”

    เมื่อพระฤษีนั้นรับคำของท่านปุโรหิตแล้ว ก็เหาะกลับไปยังป่าหิมพานต์ตามเดิม

    ส่วนปุโรหิตเมื่อบริโภคอาหารเช้าแล้ว ก็รีบเข้าเฝ้าพระราชา พร้อมทั้งทูลบอกถึงความประสงค์ในการเข้าเฝ้า พระราชาจึงตรัสถามว่า “ท่านอาจารย์ เพราะเหตุอะไรเล่า ท่านจึงคิดจะบวช”

    ปุโรหิตกราบทูลว่า “ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์เห็นโทษในกามทั้งหลาย และเห็นอานิสงส์แห่งเนกขัมมะ มองเห็นหนทางแห่งฆราวาสว่าเป็นที่คับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลีคือกิเลส ส่วนหนทางแห่งบรรพชานั้นปลอดโปร่งกว่า ด้วยเหตุนี้ ข้าพระองค์จึงประสงค์จะบวช พระเจ้าข้า”

    พระราชาทรงเห็นความตั้งใจจริงของท่านปุโรหิต จึงทรงอนุญาต และตรัสอนุโมทนาว่า “ถ้าเช่นนั้น ท่านอาจารย์ก็จงบวชเถิด และเมื่อท่านอาจารย์ได้บวชแล้ว ก็จงมาเยี่ยมเราบ้างนะ”

    ปุโรหิตรับพระดำรัสแล้ว ก็ถวายบังคมลากลับไปสู่เรือนของตน สอนบุตรและภรรยาให้ไม่ประมาทในการดำรงชีวิต ให้ตั้งมั่นในกุศลความดี จากนั้นก็ได้กล่าวมอบสมบัติทั้งหมดให้

    รุ่งขึ้นจึงได้ให้ภรรยาและบุตรจัดเตรียมภัตตาหารเอาไว้ต้อนรับพระฤษี ส่วนตนเองได้จัดเตรียมบริขารของบรรพชิต เสร็จแล้วก็ได้นั่งรอคอยการมาของพระฤษีอยู่


    เมื่อพระฤษีมาถึงเรือนแล้ว ปุโรหิตได้ถวายภิกษาหารให้พระฤษีได้ขบฉันด้วยความเคารพเหมือนเช่นที่ผ่านมา จากนั้น พระฤษีจึงนำทางท่านปุโรหิตเดินออกไปนอกเมือง เมื่อเห็นเป็นที่ปลอดจากผู้คนแล้ว จึงจับข้อมือของปุโรหิต พาเหาะไปป่าหิมพานต์ในทันที แล้วก็ได้จัดการบวชให้ปุโรหิตเป็นฤษีในวันนั้นนั่นเอง

    ผ่านไป ๒ – ๓ วัน ฤษีใหม่ได้ทำอภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘ ให้บังเกิดขึ้น เที่ยวบิณฑบาตมาฉันเหมือนพระฤษีตนอื่นๆ

    กาลต่อมา พระฤษีอดีตปุโรหิตนึกถึงคำปฏิญญาที่ได้ถวายไว้แก่พระราชา จึงตั้งใจจะไปโปรดพระราชา เพื่อเปลื้องปฏิญญานั้น วันหนึ่ง ท่านจึงได้เหาะเข้าไปในเมืองพาราณสี พระราชาทอดพระเนตรเห็นพระฤษีเข้าก็ทรงจำได้ ทรงเกิดความปีติโสมนัส ตรัสนิมนต์ให้เข้าสู่พระราชนิเวศน์

    ทรงกระทำปฏิสันถารด้วยความปีติยินดี และจัดแจงถวายอาหารอันประณีต และทรงทำสักการะ พร้อมทั้งตรัสถามความเป็นอยู่ของฤษีผู้เป็นอาจารย์ ทราบความทั้งหมดแล้วจึงตรัสบอกถึงความประสงค์ที่พระองค์เองทรงอยากจะถวายภิกษาหารแก่พระฤษีทั้งหมด

    จึงทรงโปรดให้พระฤษีปุโรหิตเป็นธุระในการนิมนต์ฤษีทั้ง ๑๐,๐๐๐ ตน พระฤษีปุโรหิตทูลตอบว่า “เจริญพร มหาบพิตร ฤษีเหล่านั้น ไม่ยินดีในรสอาหารที่รู้ได้ด้วยลิ้น อาตมภาพจึงไม่อาจนำท่านเหล่านั้นมาในที่นี้ได้”

    พระเจ้ากรุงพาราณสีจึงตรัสว่า “ขอพระผู้เป็นเจ้าโปรดบอกอุบาย เพื่อจะทำให้ฤษีทั้งหมดมาเป็นเนื้อนาบุญ บริโภคอาหารของโยมด้วยเถิด”

    พระฤษีจึงทูลตอบว่า “มหาบพิตร ถ้าพระองค์ต้องการจะถวายทานแก่ฤษีเหล่านั้น จงเสด็จออกจากเมืองไปประทับอยู่ ณ ฝั่งแม่น้ำสีทา แล้วจงถวายทานแก่ท่านเหล่านั้น ณ ที่นั้นเถิด”


    พระราชาทรงรับคำ แล้วจึงเสด็จนำไพร่พลไปตั้งค่ายหลวง ณ ริมฝั่งแม่น้ำสีทา

    ส่วนพระฤษีปุโรหิต ได้ทูลเตือนพระราชาให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท จากนั้นก็ได้เหาะไปยังที่อยู่ของตน แล้วแจ้งแก่ฤษีทั้งหมดว่า พระเจ้าพาราณสีต้องการจะถวายภิกษาแก่ท่านทั้งหลาย จึงเสด็จมาพักอยู่ ณ ริมฝั่งแม่น้ำสีทา

    พระองค์อาราธนาท่านทั้งหลาย ขอท่านทั้งหลายจงไปยังค่ายหลวงรับภิกษาเพื่ออนุเคราะห์พระองค์เถิด ฤษีเหล่านั้นรับคำแล้ว รุ่งขึ้นจึงเหาะมายังค่ายหลวง พระราชาเสด็จต้อนรับฤษีเหล่านั้น ให้นั่ง ณ อาสนะที่ตกแต่งไว้อย่างดี แล้วก็ถวายภิกษาหารอันประณีต

    พระองค์ทรงเลื่อมใสในอิริยาบถและคุณวิเศษของฤษีเหล่านั้น จึงนิมนต์ให้ฉันในวันรุ่งขึ้นต่อๆไป และได้ประทับพักแรมอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำสีทานั้น ถวายภิกษาหารแด่พระฤษีทั้งหมดอยู่อย่างนี้ตลอดพระชนม์ชีพ เป็นเวลาถึง ๑๐,๐๐๐ ปี ส่วนว่า ท้าวสักกะเทวราชเมื่อตรัสเรื่องอันเป็นอุทาหรณ์นี้จบลงแล้ว จะทรงสรุปว่าอย่างไรนั้น โปรดติดตามตอนต่อไป


    พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
     
  13. ิWorakan

    ิWorakan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +72
    เรื่องนางกินรี

    นางมโนราห์เป็นธิดาองค์เล็กของท้างทุมราชผู้เป็นพระยากินนร นางมีพระพี่นางอีกหกองค์ล้วนมีหน้าตาเหมือน ๆ กัน งดงามยิ่งกว่านางมนุษย์ รูปร่างหน้าตาของพวกเขาเหมือนมนุษย์แต่มีปีกและหางที่ถอดออกได้ เมื่อใส่ปีกใส่หางแล้วกินนรก็สามารถบินไปยังที่ต่าง ๆ ได้ นางมโนราห์และพี่น้องทั้งหกได้ไปเล่นน้ำที่สระน้ำอโนดาต เจอพรานบุญที่ต้องการจับตัวนางกินรีเพราะเห็นว่านางงดงามคู่ควรแก่พระสุธน โอรสแห่งเมือง ปัญจาลนคร พรานบุญจึงไปยืมบ่วงนาคบาศจากท้าวชมพูจิต พญานาคราช ซึ่งได้ให้ยืมบ่วงนาคบาช เพราะพรานบุญเคยช่วยชีวิตเอาไว้และเห็นว่าพระสุธนกับนางมโนราห์เป็นเนื้อคู่กัน พรานบุญได้จับนางมโนราห์ไปถวายแค่พระสุธน พระสุธนเห็นเข้าก็เกิดหลงรักนางและพานางกลับเมือง และได้อภิเษกกัน ต่อมาปุโรหิตคนหนึ่งได้เกิดจิตอาฆาตแค้นแก่พระสุธนเพราะว่าพระสุธนไม่ให้ตำแหน่งแก่บุตรของตน เมื่อถึงคราวเกิดสงคราม พระสุธนออกไปรบ พระบิดาได้ทรงพระสุบิน ปุโรหิตได้ทำนายว่าจะเกิดภับพิบัติครั้งใหญ่ ให้นำนางมโนราห์ไปบูชายัญ ซึ่งท้าวอาทิตยวงศ์ได้ยินยอมตามนั้น นางมโนราห์รู้เข้าก็เกิดตกใจ จึงออกอุบาย ของปีกกับหางขอนางคืน เพื่อร่ายรำหน้ากองไฟก่อนจะตาย เมื่อนางได้ปีกกับหางแล้ว นางก็ร่ายรำได้สักพักก็บินหนีไป ไปเจอฤาษีก็ได้กล่าวกับฤาษีว่า หากพระสุธนตามมาให้บอกว่าไม่ต้องตามนางไป เพราะมีภยันอันตรายมากมาย และได้ฝากภูษาและธำมรงค์ให้พระสุธน เมื่อนางมโนราห์ได้กลับไปที่เมืองก็จะได้มีพิธีชำระล้างกลิ่นอายมนุษย์ ฝ่ายพระสุธนที่กลับจากสงครามได้ลงโทษปุโรหิต และติดตามหานางมโนราห์ เมื่อเจอพระฤาษี พระสุธนจะติดตามนางมโนราห์ต่อไป โดยมีพระฤาษีค่อยช่วยเหลือ เปนเพราะเวรกรรมแต่ชาติที่แล้วนั่นคือ นางมโนราห์คือ พระนางเมรี และพระสุธนคือ พระรถเสน ทำให้พระสุธนได้รับความลำบากมาก เมื่อพระสุธนมาถึงสระน้ำอโนดาต ได้แอบเอาพระธำมรงค์ใส่ลงในคณโฑของนางกินรีนางหนึ่ง ซึ่งนางกินรีได้นำน้ำนั้นไปสรงให้นางมโนราห์ พระธำมรงค์ได้ตกลงมาที่แหวนของนางพอดี ทำให้นางรู้ว่าพระสุธนมาหานาง นางจึงได้แจ้งแก่พระมารดา ซึ่งพระบิดาต้องการทราบว่าพระสุธนมีความรักจิงต่อนางมโนราห์หรือไม่ ได้รับพระสุธนมาที่เมืองและให้พระสุธนบอกว่านางไหนคือนางมโนราห์ ซึ่งนางมโนราห์และพี่ๆๆมีหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกัน ร้อนถึงองค์อินทร์ ต้องแปลงกายมาเป็นแมลงวันทอง จับที่ผมของนางมโนราห์ ทำให้นางมโนราห์และพระสุธนได้เคียงคู่อย่างมีความสุข
     
  14. ิWorakan

    ิWorakan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +72
    :: Eden: สวนสวรรค์ยุคบรรพกาล ::.
    เรื่องเกี่ยวกับกำเนิดของอาดัมและอีฟ และการถูกอัปเปหิออกจากแดนสวรรค์ที่พระเจ้าเนรมิตขึ้นให้อาศัยอยู่ ตามที่เล่าในคัมภีร์ไบเบิลเล่มปฐมกาลนั้นนะครับ กล่าวได้ว่าเป็นใจความสำคัญอย่างหนึ่งของศาสนาคริสต์ ยูดาย เลยทีเดียว ความคิดเรื่องสวนสวรรค์อีเดน ติดตรึงอยู่ในจินตนาการสร้างสรรค์ของศิลปินและนักประพันธ์มาหลายยุคหลายสมัย สืบเนื่องกันมานานหลายศตวรรษแล้ว

    อาดัมกับอีฟที่ถูกมารร้ายลวงล่อให้กินผลไม้แห่งความรู้
    แต่ทราบกันไหมครับว่า เรื่องราวของเอเดนนั้น มาจากจารึกตำนานของชาวสุเมเรียน ซึ่งกล่าวถึงดินแดนแห่งพระเจ้า Eridu ที่พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาจากที่นั่น ตำนานของชาวอินคาก็มีเรื่องราวที่คล้ายๆกัน ว่าด้วยการสร้างมนุษย์โดยเทพจากห้วงเวหาวิราโคชา ที่ทะเลสาบติติคาคาในปัจจุบัน ซึ่งรายละเอียดส่วนนี้ผมเคยเล่าไปหลายรอบแล้ว และคงจะมาขยายรายละเอียดอีกทีใน Ancient Astronaut ภาค Revisited ซึ่งกำลังเรียบเรียงอยู่ ตอนนี้เอาเป็นว่า ผมจะพาท่านมารู้จักกับสวนสวรรค์เอเดนสักนิดละกันนะครับ ว่าตามความเชื่อของคริสตศาสนิกชน ตามไบเบิลฉบับปฐมกาล และตามเรื่องราวของชาวยิวโบราณหรือฮีบรูว์นั้น กล่าวถึงสวนสวรรค์เอเดนกันว่าอย่างไร ถือเป็นการปูพื้นพอหอมปากหอมคอ หลายๆท่านจะได้ไม่สงสัยไงครับ เวลาผมกล่าวอ้างถึงสวนสวรรค์เอเดน (โดยเฉพาะใน"ไบเบิ้ลกับพระเจ้าจากอวกาศ" ที่นายโซนิคดองเอาไว้นานแสนนาน ช่วงหลังจะกล่าวถึงรายละเอียดของเอเดนกับน้ำท่วมโลกแทบทั้งหมดเลย - - แบบว่า กำลังมีโปรเจ็คจะปัดฝุ่นเอามาทำต่อน่ะครับ รอกันนานจนลืมกันไปแล้วหรือยังเอ่ย)
    เอาล่ะเรามาต่อกันดีกว่า สวนสวรรค์เอเดนซึ่งมีชื่อเสียงที่สุดในโลกแห่งนี้ สุขสงบสวยงามอุดมไปด้วยน้ำ อาหารการกิน อาดัมกับอีฟมีเพื่อนเป็น"!ทุกตัวในท้องทุ่งและนกทุกตัวในอากาศ" ที่คอยให้ความเพลิดเพลิน ต้นไม้ไพรพฤกษ์แผ่เงาร่มเย็น แม่น้ำเป็นประกายระยับไหลผ่านอุทยาน และเมื่อไหลพ้นแดนสวรรค์ก็แยกเป็นสายธารสี่สายคือ พิโชน กริโฮน ไทกริสและยูเฟรติส (โปรดสังเกตสองแม่น้ำด้านหลังครับ แม่น้ำสายสำคัญของอารยธรรมเมโสโปเตเมีย... รายละเอียดของสิ่งแวดล้อมที่บันทึกไว้ในไบเบิลมีเพียงเท่านี้ ส่วนที่เหลือคงแล้วแต่คนรุ่นหลังจะตีความ ต้นไม้ที่มีอยู่จริงแท้แน่นอนในสวนนี้ที่กล่าวถึงคือต้นมะเดื่อ แม้เรื่องเล่าภายหลังจะบอกว่าต้นอินทผลัมเป็นต้นไม้แห่งชีวิต และต้นกล้วยคือต้นไม้แห่งความรู้ก็ตามที (คิดถึงต้นไม้แห่งชีวิตของชาวสุเมเรียนขึ้นมาตะหงิดๆแฮะ)

    พอพูดถึงเอเดนคนมักจะคิดไปถึงสวนที่มีรั้วรอบขอบชิด อาจเป็นเพราะคำภาษากรีกว่า ปาราดิซอส(paradisos) ซึ่งหมายถึงสวนสวรรค์เอเดนนั้นแปลว่า "ที่ดินซึ่งปิดล้อมเอาไว้" จากต้นตอที่แทบไม่ได้บอกอะไรเอาไว้เหล่านี้ เหล่ากวี จิตกร นักโบราณคดี นักศาสนวิทยา จึงพากันตีความวาดภาพสวนสวรรค์เอเดน โดยใช้ข่าวลือเกร็ดเสริมจากแหล่งต่างๆตามความสามารถในการตีความของตน เรียกว่า ไม่มีใครทราบสภาพความเป็นไปอันแท้จริงของสวนสวรรค์นี้เลยก็ว่าได้ครับ
    เรื่องเล่าเก่าแก่ที่สุดของสวรรค์บนดินอาจย้อนรอยสืบไปจนถึงประมาณ 2000 BC. ดินแดนที่เรียกว่า Dilmun ของชาวสุเมเรียนซึ่งตั้งอยู่ ณ ตำแหน่งของอาทิตย์อุทัยคือที่สถิตย์แห่งปวงเทพเจ้า เป็นสถานที่ซึ่งปราศจากความเศร้าโศก โรคภัย หรือแม้แต่ความแก่ชรา และเป็นที่ซึ่ง "ไม่มีใครได้ยินเสียงการ้อง" มีคำอ้างอิงที่แน่ชัดกว่าเกี่ยวกับสวนนี้ในมหากาพย์กิลกาเมชของชาวสุเมเรียน แม้ว่าจะดูคล้ายกับ"อุทยานของพระเจ้า" ในคัมภีร์ของ Ezekeil มากกว่าสวนสวรรค์เอเดนในบท Genesis ของไบเบิลก็ตามที ในมหากาพย์นี้กิลกาเมชตัวเอกของเรื่องเดินทางไปสู่ยอดเขา"อุทยานของพระเจ้า" ที่ต้นไม้มีอัญมณีประดับระยิบระยับออกผลเป็นโกเมน และมีใบเป็นหินลาพิซ ลาซูรี สีน้ำเงินเข้ม



    คำพรรณนาเกี่ยวกับแดนสวรรค์ที่ไม่ได้มาจากพระคัมภีร์ไบเบิล แต่มีอิทธิพลอย่างมากต่อมโนความคิดของชาวคริสต์สมัยต่อมา เป็นคำพรรณนาของกวียุคคลาสสิคในสมัย 800 BC. โฮเมอร์มหากวีชาวกรีกกล่าวถึงดินแดน Elisium ซึ่งตั้งอยู่สุดปลายโลก ในเอลิเซียมนั้นหิมะไม่ตก มี้พียงสายลมแผ่วเบาชื่นใจ เฮซิออตผู้เป็นกวีร่วมสมัยเดียวกับโฮเมอร์บรรยายถึงเรื่องราวที่แตกต่างออกไป โดยพุ่งความสนใจไปที่สภาพความเป็นอยู่ที่สุขสงบมากกว่าจะพูดถึงตัวสถานที่เอง ชวนให้ผู้คนหวนรำลึกถึงยุคทองที่สงบสุขแห่งอดีต ผู้คนที่ไม่มีวันแก่เฒ่า ใช้ชีวิตโดยไม่ต้องทำงานหนัก อาศัยผลิตผลอันอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดินเป็นอาหารเช่นเดียวกับอาดัมและอีฟ ก่อนที่พวกเขาจะถูกขับออกมาจากสวนสวรรค์แห่งพระเจ้า... เอเดน
    ทั้งโฮเมอร์และเฮซิออต ตลอดจนกวีรุ่นหลังชาวโรมันคือเวอร์จิลและโอวิดมีอิทธิพลใหญ่หลวงต่อการสร้างมโนภาพสวนสวรรค์เอเดน นับแต่ยุคคริสเตียนระยะแรกๆมาจนถึงยุคเรอเนอซองส์และยุคต่อจากนั้น จอห์น มิลตัน กวีชาวอังกฤษพรรณนาถึงสวนสวรรค์เอเดนอย่างละเอียดและมีสีสรรค์ ในมหากาพย์เรื่อง Paradise Lost หรือสวรรค์ล่ม สวรรค์ของมิลตันตั้งอยู่บนที่ราบสูงชัน มีกำแพงล้อมรอบ บนภูเขาปกคลุมด้วยต้นไม้สูงส่งกลิ่นหอมตลบไปทั่ว เต็มไปด้วยเสียงนกนานาชนิด ตามลำธารและอน้ำมีน้ำเหลือเฟือ ความเป็นอัจฉริยะของมิลตันนั้น อยู่การนำเนื้อหาจากทั้งในพระคัมภีร์ไบเบิลและที่อื่นมาผสมผสานกันอย่างแยบคาย บ่อน้ำที่ไม่มีวันเหือดแห้งซึ่งหล่อเลี้ยงสวนนี้กับพื้นดินอันอุดมสมบูรณ์ มีที่มาจากเรื่องราวของเอลิเซียมในสมัยคลาสสิคอย่างไม่ต้องสงสัย
    สวนสวรรค์อันพูนพร้อมด้วยรูป รส กลิ่น เสียง นั้น เป็นลักษณะสวรรค์ของชาวมุสลิมที่อยู่บนสววรค์ชั้นฟ้ามากกว่าจะอยู่บนโลก ในคัมภีร์โกหร่านบอกว่ามุสลิมที่เคร่งครัดจะได้ขึ้นสวรรค์หลังจากตายไป และขึ้นไปอยู่ในอุทยานที่มีบ่อน้ำพุพรูพรั่งมีบ่อน้ำหอมหวานไหลริน ต้นปาล์มและทับทิมร่มรื่นเต็มสวน มีที่นอนอันอ่อนนุ่มให้เอนนอน คนที่ได้ขึ้นสวรรค์จะแต่งตัวในชุดผ้าไหมสีเขียว มีสาวพรหมจารีย์ที่งามราวกับทับทิมและปะการังมาปรนนิบัติด้วยอาหารในจานสีเงิน (โอ๊ะ ^^! ชอบ...
    ในขณะที่ชาวมุสลิมมุ่งเนรมิตสวรรค์บนโลกโดยการสร้างอุทยานอันสงบสุข ชาวคริสเตียนตั้งแต่ยุคแรกจนถึงยุคกลางก็มุ่งมั่นแต่จะค้นหาสวนสวรรค์เอเดน บางคนเชื่อว่าเอเดนถูกทำลายไปแล้วเมื่อครั้งน้ำท่วมโลก บ้างก็เชื่อว่าเอเดนอยู่บนภูเขาสูงไม่ได้รับผลกระทบจากมหาภัยครั้งกระนู้น ทว่าคนส่วนใหญ่มีความเห็นว่าเอเดนตั้งอยู่บนเกาะทางตะวันออก หลายคนก็สรุปว่าคือศรีลังกา(เรอะ... เมื่อคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส อนุมานว่าโลกมันไม่ได้แบนแต่กลมเหมือนลูกแพร์ ทำให้หลายคนสรุปว่าอุทยานแห่งนี้ตั้งอยู่บนส่วน"ก้าน"ของลูกแพร์ครับ ว่ากันไปโน่นเลย

    ร่องรอยของสวนสวรรค์เอเดนนั้นอยู่หนใด เมโสโปเตเมีย?
    เมื่อโลกสมัยหลังเจริญขึ้น มีการสำรวจมีการบันทึกถึงดินแดนต่างๆมากขึ้น ไม่มีใครสืบสาวราวร่องได้ว่าสวนสวรรค์เอเดนตั้งอยู่ที่ตรงไหน นักปราชญ์จึงย้อนกลับไปหาบท Genesis อีกครั้งเพื่อค้นหาสิ่งที่บอกร่องรอยที่ตั้งของสวนสวรรค์นี้ ดินแดนเมโสโปเตเมียหรือประเทศอิรัคในปัจจุบันนี้ ดูจะเป็นสิ่งที่เข้าเค้าและน่าค้นหามากที่สุด ทั้งนี้ก็เพราะแม่น้ำไทกริสและยูเฟรติสที่ปรากฏในพระคัมภีร์ไหลผ่านบริเวณนี้นั่นเอง ถึงกระนั้นก็เถอะครับ ดินแดนเมโสโปเตเมียมันไม่ใช่เล็กๆ และแม่น้ำอีกสองสายในพระคัมภีร์คือพิโชนและกิโฮนก็ไม่ได้ปรากฎอยู่ จึงไม่อาจบ่งบอกตำแหน่งของสวนสวรรค์เอเดนได้ มีคนโยงเมืองเยรูซาเล็มกับกอลกอธาเข้ากับเอเดน เนื่องจากเกี่ยวข้องกับพระเยซูเป็นอย่างมาก และพระเยซูมักถูกขนานนามว่าอาดัมคนที่สอง จึงน่าจะสมเหตุสมผลที่โยงสวรรค์เอเดนเข้ากับเมืองเหล่านี้ แต่หลักฐานอ่อนมากๆครับจึงตกไป ปมปัญหาจึงน่าจะอยู่ที่บันทึกของสุเมเรียน อันกล่าวถึงเอเดนหรือ Eridu เป็นแหล่งแรกในโลก แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีใครสาวร่องรอยนี้พบ
    และการที่ไม่มีใครค้นหาเอเดนพบนี่เอง ชาวคริสต์ในสมัยหลังๆ จึงตามรอยชาวมุสลิมคือพยายามมโนภาพและสร้างเอเดนให้เป็นสวนหรืออทุยานที่อยู่บนสวรรค์ บนดินแดนแห่งพระเจ้า โดยอาศัยข้อมูลจากไบเบิลและงานเขียนในยุคคลาสสิค (ของมุสลิมใช้โกหร่านเป็นแหล่งข้อมูลครับ)
    ความสำคัญของเอเดนในสายตาของหล่าสาวกทฤษฎีพระเจ้าจากอวกาศนั้น คือเป็นแล็บของพระเจ้าในการสร้างและทดลองถ่ายเทพันธุกรรมมนุษย์ ซึ่งหลายคนก็มีทฤษฎีที่ตั้งของสวนสวรรค์แห่งนี้ มีรายละเอียดที่ชี้นำไว้น่ารับฟังมาก เอาไว้ว่างๆจะแกะมาเล่าให้ฟังละกันนะครับ มาเล่าตรงนี้ดูจะผิดที่ผิดทางไปหน่อย
    เขียนโดย KingNong ที่ 18:49
     
  15. ิWorakan

    ิWorakan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +72
    ไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนนะคะสายแล้ว เพลินไปหน่อย ขอให้สนุกในการอ่านนะคะทุกๆๆคน
     
  16. jets-one

    jets-one เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    460
    ค่าพลัง:
    +737
    :':)':)'( อันนี้ผมเป็นประจำครับ ตื่นขึ้นมาจำอะไรไม่ได้เลย ก็โทษ ตัวเอง ว่าไม่ฝัน ปฏิบัติก็ไม่ไปไหนเลย แท้จริงแล้ว จิตเราไม่ละเอียดและเข้มแข็งพอ จึงจำอะไรไม่ได้ ก็ต้องให้พี่ๆที่พาไปมาเล่าให้ฟัง

    งานนี้ขอยืมแรงคนสอดแนมช่วยนำทางไปด้วยได้ไหมครับ แบบว่าช่วยมาเรียกให้ไปด้วย ดูสิว่าจะจำอะไรไม่ได้อีกไหม :cool::cool::cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มกราคม 2012
  17. noinid0209

    noinid0209 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    742
    ค่าพลัง:
    +570
    งั้นผมขอรอฟังนิทานจาก พี่จิโป แล้วกันครับ :cool:
     
  18. คะรุทา

    คะรุทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,243
    ค่าพลัง:
    +3,477
    หนับหนุนๆๆๆๆ...พานู๋ไปด้วยยยยยยยย...
     
  19. คะรุทา

    คะรุทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,243
    ค่าพลัง:
    +3,477
    ********..อืม..คะรุทาชักงง..
    เราเดินทางกันคืนนี้ ..วันศุกร์(เช้าวันเสาร์ ) 4 ทุ่มเหรอคะ
    คะรุทาเข้าใจว่าเราเดินทางคืน วันเสาร์ 4 ทุ่ม (เช้าวันอาทิตย์)...
    แง แง...กลัวตกรถเครนน่ะคะ...จะได้เตรียมตัวถูก...อิอิ
     
  20. mukmik

    mukmik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    4,143
    ค่าพลัง:
    +10,382
    งั้นเราก็เข้าใจผิดด้วยเหมือนกันสิเนี่ย (สงสัยจะผิดพลาดที่เราตั้งแต่ต้นแหงๆ) วานท่านคุรุวาโรมาเฉลยหน่อยคร้า (กลัวตกรถเหมือนกัน :'()
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มกราคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...