เรื่องเด่น ธรรมะที่ทำให้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตามลำดับของการบรรลุ

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย Specialized, 31 ตุลาคม 2009.

  1. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,359
    ธรรมะที่ทำให้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตามลำดับของการบรรลุ

    mmexport1355884625675-1.jpg

    วันที่พระพุทธเจ้า ทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ตอนนั้นก็มีเรื่องอัศจรรย์ตอนที่พระพุทธเจ้าประทับตัดสินพระทัย ว่าจะต้องการบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณที่นี่ เป็นวันกลางเดือนหก เป็นฤดูฝน มาวันหนึ่งมีคนบอกว่ามีฝนตกลงมา พระยานาคมาขดตัวเป็นแท่น แล้วก็แผ่พังพานป้องกันฝนไม่ให้ถูกองค์สมเด็จพระทศพล คนเกิดวันเสาร์จึงทำพระนาคปรก แต่รู้สึกนาคจะมีหัวมากไปสักหน่อย เนื้อแท้จริง ๆ นาคมีหัวเดียวแผ่พังพานออกไม่ใช่แผ่ให้หัวงอกออกมาตั้งหลายหัว แบบนี้มันไม่ถูก ลูกที่นั่งฟังทั้งหมดจะสงสัยไหมว่า ถ้าสมมติว่าพระยานาคท่านนั้นไม่มาแผ่พังพานให้พระพุทธเจ้า ฝนตกลงมาพระพุทธเจ้าจะเปียกไหม อันนี้เราต้องไปคิดว่า พระโมคคัลลาน์ เวลาไม่ต้องการให้ฝนเปียก ท่านจะเปียกไหม มันก็ไม่เปียก ไม่ต้องการให้แดดถูกตัวท่าน แดดก็ไม่ถูก

    ตอนนี้เราก็มาดูพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นครูของพระโมคคัลลาน์ ในเมื่อลูกศิษย์ทำได้อาจารย์จะทำได้ไหม เพราะวิชาทั้งหลายเหล่านั้นไปจากอาจารย์ เป็นอันว่าเป็นความดีของพระยานาคที่ท่านสงเคราะห์ แต่บังเอิญถ้าพระยานาคท่านไม่สงเคราะห์ พระพุทธเจ้าท่านก็คงไม่เปียก เพราะว่าท่านจะมานั่งยอมเปียกอยู่ได้อย่างไร ท่านก็เป็นผู้ทรงอภิญญาใหม่ ซึ่งเป็นยอดอภิญญา เรียกว่า บรรดาสาวกทั้งหมดจะมีฤทธิ์มีเดชเกินพระพุทธเจ้าไม่มี เท่าก็ยังไม่มีเลย นี่เราพูดกันตามความเป็นจริง จะทำอะไรก็คิดถึงเหตุผลถึงผลสักนิดหนึ่ง

    เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว พระองค์ก็ทรงนั่งนึกต่อไปว่า คำว่าศาสดาแปลว่าครู การที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปฏิบัติมา ก็ไม่ใช่เพื่อต้องการความสุขส่วนตัว เป็นความต้องการที่ให้คนอื่นเขาสุขด้วยจึงเรียกว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นอันว่าท่านก็นั่งนึกว่า ใครหนอที่จะรับพระธรรมเทศนาที่เราบรรลุแล้วได้ เพราะธรรมที่ได้มาแล้วนี้ ลึกซึ้งคัมภีรภาพมาก ยากเหลือเกินที่คนจะปฏิบัติตามได้ นึกมานึกไปก็หวลนึกขึ้นมาได้ว่า โอหนอ ท่านอาจารย์ทั้งสองคือท่านอาฬารดาบส กับท่านอุทกดาบส สองท่านเป็นอาจารย์ที่สอนให้องค์สมเด็จพระจอมไตรได้สมาบัติ ๘ ฉะนั้นในเมื่อสอนให้ลูกศิษย์ได้สมาบัติ ๘ ได้ ตัวท่านก็ต้องได้สมาบัติ ๘ ด้วย การได้สมาบัติ ๘ คือรูปฌาน ๔ และอรูปฌาน ๔ จิตละเอียดมา ถ้ารับพระธรรมเทศนาจากองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเต้า แผล็บเดียวก็เป็น อรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ

    คำว่า “ปฏิสัมภิทาญาณ” หมายความว่า

    ๑. ฉลาด ถ้าเขาพูดมาโดยย่อ ก็สามารถอธิบายให้ละเอียด เข้าใจชัดได้
    ๒. ถ้าเขาพูดมายาว ๆ ก็สามารถย่อให้สั้นเข้า พอจำได้
    ๓. และก็มีความฉลาดในภาษา มีปัญญารอบรู้ทุกอย่าง มีฤทธิ์รอบด้วยประการทั้งปวง เป็นอันว่าอภิญญา ๖ และวิชชา ๓ มีอะไร ปฏิสัมภิทาญาณก็มีหมด สำหรับปฏิสัมภิทาญาณนี้ต้องทรงสมาบัติ ๘ ก่อน


    องค์สมเด็จพระชินวรทรงคิดว่า ถ้าอย่างนั้นเราจะไปเทศน์ให้ท่านอาจารย์ทั้งสองเพื่อจะได้บรรลุมรรคผล ก่อนที่องค์สมเด็จพระทศพลจะทรงทำอะไร พระพุทธเจ้าไม่ใช่พ่อ และพ่อก็ไม่ใช่พระพุทธเจ้า ฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านทำอะไร ท่านมีพระพุทธญาณเป็นเครื่องรู้ สมเด็จพระบรมครูจึงใช้ทิพยจักขุญาณดูว่าอาจารย์ทั้งสอบเวลานี้อยู่ที่ไหน ก็ทราบได้ว่าเวลานี้อาจารย์ทั้งสองตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นอรูปพรหม ไม่มีอายตนะ คือไม่มีเครื่องรับ เครื่องส่งของพระพุทธเจ้ามี เครื่องรับไม่มี ไม่มีตาจะรับ ไม่มีหูจะรับ มีแต่ตาไม่มีหู ตีใบ้ก็ยังใช้ได้ มีแต่หูไม่มีตา ใช้เสียงก็ยังดี นี่ไม่มีทั้งหูทั้งตา มีแต่จิตลอยเคว้งคว้างในอากาศ สมเด็จพระบรมโลกนาถก็ทรงปลงอนิจจังว่า โอหนอ น่าเสียดายอาจารย์ทั้งสอง ฉิบหายจากความดีเสียแล้ว เพราะว่าองค์สมเด็จพระประทีปแก้วไม่มีโอกาสจะสนองคุณท่านอาจารย์ทั้งสอง เพราะไม่มีอายตนะจะรับ ความจริงพราหมณ์เขาก็เก่งนะ เขามีการสอนกันถึงสมาบัติ ๘

    จากหนังสือเรื่องจริงอิงนิทาน (พิเศษ)
    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมญาณ (ฤาษีลิงดำ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 มกราคม 2019
  2. JETUAIM

    JETUAIM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2009
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +181
    สาธุครับ

    จริงอยู่ว่าการปฏิบัติธรรมตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จนั้นเป็นสิ่งที่ได้ทำได้ยาก

    แต่สิ่งที่ยากกว่าคือเมื่อไหร่เราจะเริ่มทำ
     

แชร์หน้านี้

Loading...