คติธรรมที่แฝงใน "ผงพรายกุมาร" หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย คนมีกิเลส, 1 เมษายน 2009.

  1. คนมีกิเลส

    คนมีกิเลส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,973
    ค่าพลัง:
    +19,431
    [​IMG]

    เมื่อประมาณปี ๒๕๒๐
    ขณะนั้นเป็นเวลาบ่ายเย็น
    หลวงปู่ดู่ แห่งวัดสะแก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    ได้ออกมานั่งคุยกับศิษย์ที่บริเวณระเบียงกุฏิของท่าน
    เมื่อนั่งคุยกันชั่วครู่ใหญ่
    หลวงปู่ดู่และศิษย์เห็นรถยนต์คันหนึ่งวิ่งเข้ามาในวัดแล้วจอด
    มีชาย ๔ คนลงจากรถ และเดินตรงมาที่กุฏิของท่าน


    "เอ๊ะ..อ้ายพวกนี้มาแปลก..." หลวงปู่ดู่อุทาน
    "มันเอาผีมาด้วย"


    บรรดาศิษย์ของหลวงปู่ดู่ เมื่อได้ยินหลวงปู่พูดถึงผี
    ก็พากันชะเง้อดูคนทั้งสี่ "เอ...ผมมองไม่เห็นผี"
    ศิษย์คนหนึ่งบอกกับหลวงปู่
    "ผมไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ มีอะไรหรือครับหลวงปู่..."


    หลวงปู่ดู่หัวเราะกับศิษย์ และพูดกับศิษย์ว่า..
    "ฉันเห็นผีมันล้อมรอบพวกสี่คนที่กำลังเดินมาเต็มไปหมด"
    คนทั้งสี่ เมื่อเดินมาถึงหน้าบันได้กุฏิ ก็พากันถอดรองเท้า
    แล้วพากันขึ้นบนกุฏิ คลานเข้ามากราบหลวงปู่ดู่..

    "นี่...พวกเธอมาหาฉัน ทำไมจึงเอาผีมาด้วย"
    หลวงปู่ดู่ถามชายทั้งสี่ พร้อมกับหัวเราะด้วยอารมณ์ดี

    คนทั้งสี่มองหน้ากัน ตีหน้าเลิ่กลั่ก
    เมื่อได้ยินหลวงปู่ดู่บอกว่า พวกตนที่มาหา...พาผีมาด้วย

    "ผีที่ไหนครับหลวงปู่"
    นายเบิ้ม พบร่มเย็น หนึ่งในสี่คนที่มาหาหลวงปู่
    ถามขึ้นด้วยความสงสัย

    "ยังไม่รู้อีกเรอะ"
    หลวงปู่ดู่หัวเราะด้วยอารมณ์ดี
    "ผีมันออกมาจากพระที่แขวนอยู่ที่คอน่ะสิ"

    ทั้งสี่คนที่มาหาหลวงปู่ถึงบาง "อ้อ"

    คนทั้งสี่ที่มาหาหลวงปู่ดู่
    เป็นศิษย์ของ หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ จ.ระยอง

    [​IMG]

    และทุกคนมีพระเครื่องที่หลวงปู่ทิมสร้าง แขวนอยู่บนคอ
    เช่น พระพรายเพชร พรายบัว (พระสององค์ติดกัน)

    [​IMG]

    พระพิมพ์สี่เหลี่ยมหัวโต...หรือพระเล็กๆ แบบสามเหลี่ยมเรียกนางพญา
    และพระขุนแผนเล็กและใหญ่
    บรรดาพระเครื่องที่เอ่ยนามมานี้
    นอกจากจะมีผงพระพุทธคุณแล้ว
    ยังผสม "ผงผีพรายกุมาร" ที่ได้มาจากเด็กที่ตายทั้งกลม....

    คนทั้งสี่นำสร้อยคอที่แขวนพระที่มีส่วนผสมของผงพรายกุมาร
    ให้หลวงปู่ดู หลวงปู่นั่งหลับตาชั่วครู่ใหญ่บอกว่า
    "ของเขาแรงใช้ได้ดีทีเดียว แต่ดูเหมือนผู้สร้าง..ได้เสีย..เสียแล้ว"

    "ครับ...เป็นพระเครื่องของท่านหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ จ.ระยอง ที่ได้สร้างขึ้น
    และหลวงปู่ทิมได้มรณภาพมากว่า ๒ ปีแล้ว..."
    นายเบิ้ม พบร่มเย็น บอกแก่หลวงปู่ดู่...

    คนทั้งสี่อัศจรรย์ใจที่หลวงปู่ดู่ท่านรู้ว่า
    ที่คอของพวกตน มีพระเครื่องที่ท่านหลวงปู่ทิม
    ใช้ผงพระพุทธคุณ และผงพรายกุมารผสมป่นลงไป
    แล้วปลุกเสกสร้างเป็นองค์พระขึ้น
    คนทั้งสี่ที่มาหาหลวงปู่ดู่ จึงเคารพหลวงปู่ดู่ยิ่ง
    ทั้งสี่คนนั่งคุยกับหลวงปู่ดู่ครู่ใหญ่

    ชินพร ศิษย์เอกของหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ถามหลวงปู่ดู่ว่า...
    "ท่านหลวงปู่ทิม อาจารย์ของผม
    เป็นพระเถระที่ยึดมั่นพระธรรม และพระวินัยของพระพุทธองค์อย่างเคร่งครัด
    ไม่ยินดียินร้ายในรูป รส กลิ่น เสียง และถือสันโดษ
    เป็นพระภิกษุที่มีศีลลาจริยาวัตรน่าเลื่อมใส
    หลวงปู่ทิมได้สร้างพระเครื่องโดยมีผงพรายกุมาร
    ที่ท่านทำมาจากเด็กตายทั้งกลมจากท้องมารดา
    การกระทำของหลวงปู่ทิม จะเป็นบาปหรือไม่"

    หลวงปู่ดู่ "ไม่บาป การที่ไม่บาปเป็นเพราะว่า
    เด็กที่อยู่ในท้องแม่ยังไม่เกิดเป็นตัวตน
    คือยังไม่มีธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ยังไม่มีวิญญาณ
    และแม่เด็กก็ได้ตายไปแล้ว
    ซึ่งแม่เด็กและเด็ก ก็จะกลับสู่สภาพเดิม
    คือ เป็นผงธุลีไป"

    หลวงปู่หยุดเล็กน้อย
    "การที่ถามว่า เอาหัวกระโหลกเด็กที่อยู่ในท้องของแม่
    ที่ตายทั้งกลมมาทำของ
    จะบาปไหม...เรื่องนี้มันคนละเรื่องกัน
    เด็กที่อยู่ในท้องของแม่ที่ตายทั้งกลมนั้น
    อยู่ในลักษณะที่ว่า ไม่มีตัวตน ไม่มีวิญญาณที่จะไปเกิด
    สภาพของเด็กที่อยู่ในท้องของแม่ที่ตายทั้งกลม
    จึงเหมือนกับก้อนเนื้อก้อนหนึ่ง
    และถ้านำเด็กที่อยู่ในท้องของแม่ที่ตายทั้งกลมมาปลุกเสกด้วยอาคม
    และปลุกเสกด้วยธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ
    ก็จะอยู่ในลักษณะหนึ่งที่ทางไสยศาสตร์เรียกว่า
    ภูติ หรือ มหาภูติ
    และถ้าเราเอาตัว ภูติ ที่ปลุกเสกด้วยอาคมและธาตุทั้งสี่มาทำของ
    ของนั้นก็จะมีอิทธิฤทธิ์ยิ่ง.."

    คำอธิบายของหลวงปู่ดู่
    ทำให้คุณชินพรและพวกหายข้องใจ
    ในเรื่องที่นำเด็กในท้องของแม่ที่ตายทั้งกลมมาปลุกเสก
    แล้วป่นทำเป็นผงนำไปผสมกับผงพระพุทธคุณ
    แล้วนำไปสร้างพระ...หรืออุดผงนี้ลงที่ด้ามมีดหมอ
    หรือนำผงนี้อุดที่องค์พระที่สร้างขึ้น
    บรรดาคนทั่วไป มักจะเรียกผงนี้ว่า ผงพรายกุมาร

    ก่อนจะกลับจากวัดสะแก
    คุณชินพรกับพวก ได้เช่าบูชาพระกับเครื่องรางหลายอย่าง
    แล้วนำไปให้หลวงปู่ดู่ท่านปลุกเสก

    "ของฉันดี"
    หลวงปู่ดู่พูดพร้อมกับหัวเราะ

    "ของที่ฉันสร้าง..แรง
    ถ้าไม่เชื่อ ก็ถามท่านอาจารย์คนนั้นดูสิ"

    นายเบิ้ม พบร่มเย็น เป็นศิษย์ของ หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี
    หลวงปู่โต๊ะ มักจะใช้ให้นายเบิ้มเขียนเลขยันต์และอักขระคาถา
    ลงบนของที่ท่านจะปลุกเสกทำขึ้น
    และได้สอนวิปัสสนาและวิทยาคมแก่นายเบิ้ม
    นายเบิ้มเป็นคนมีนิสัยชอบนำพระเครื่อง
    หรือเครื่องรางที่ตนได้มา หรือของเพื่อนฝูง
    แล้วใช้จิตตรวจดูว่า พระเครื่องหรือเครื่องรางนั้น
    มีพระพุทธคุณและอานุภาพแรงขั้นไหน
    ถ้าเพื่อนฝูงหรือใคร ประสบโชคร้ายหรือเคราะห์ร้าย
    ก็จะทำน้ำมนต์อาบให้...

    ท่านผู้อ่านจะเห็นได้ว่า
    หลวงปู่ดู่แห่งวัดสะแก เป็นพระเถระที่จิตกล้าแข็ง
    สามารถที่จะล่วงรู้จิต และความเป็นมาของผู้อื่นได้

    (คัดจากหนังสือมหาโพธิ์ฉบับพิเศษ โดยใหญ่ท่าไม้)​

    http://www.watthummuangna.com/board/showthread.php?t=5297
    <!-- / message --><!-- sig -->
    <!-- / message --><!-- attachments -->​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. คนมีกิเลส

    คนมีกิเลส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,973
    ค่าพลัง:
    +19,431
    ขอให้ท่านกลับไปหาอ่านศึกษาประวัติของหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ เพิ่มเติม
    แล้วจะรู้ว่าท่านเป็นพระที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบผู้หนึ่ง
    ที่ทรงไว้ซึ่งสมถะมาก ในแง่ของการกินและการนอน ตลอดจนการพูด
    และท่านเป็นพระที่ปฏิบัติเอาจริงเอาจัง
    ในเรื่องของพระนิพพาน ความหลุดพ้น
    ผู้เขียนเสียดายว่า สมัยที่ท่านมีชีวิตอยู่ ไม่มีใครขอให้ท่านสอนธรรม
    มีแต่คนไปขอของขลังจากท่านเพียงอย่างเดียว
    แรกเริ่มเดิมที ท่านไม่ทำพระเครื่องและเครื่องรางแต่อย่างใด
    แต่มีผู้ไปขอท่านมากจริงๆ
    ขอให้ท่านสร้าง ท่านทำ และจะนำเงินไปสร้างวัดจน
    ท่านขัดศรัทธาไม่ได้จริงๆ จึงต้องทำ
    จนผ่านมาสักระยะหนึ่ง
    หลวงปู่ทิมแห่งวัดละหารไร่ ก็โด่งดังขึ้นมา
    ด้วยการเขียนของหนังสือต่างๆ มากมาย

    หลวงปู่ทิม มาระยะหลัง
    ท่านจะไม่ขัดศรัทธาในการสร้างพระเครื่องแต่อย่างใด
    เพราะท่านจะโปรดญาติโยม ลูกศิษย์ท่านในชาติก่อนและชาตินี้
    ด้วยการสร้างวัตถุมงคลไว้
    แต่ต้องเป็นของแท้จากท่านเท่านั้น
    จึงจะพบเจอจิตท่าน ที่ท่านสอนไว้ ทิ้งไว้ให้ลูกหลานนำไปปฏิบัติ

    ผงภูติ ผงพรายกุมารของจริงที่เราท่านเข้าใจกันในปัจจุบันนี้
    หลวงปู่ทิมสร้างด้วยวิชาพุทธคุณจริง
    ไม่ได้ทำด้วยมนต์ฝ่ายต่ำ เหมือนอย่างที่สำนักอื่นๆ เขาทำกัน
    ท่านสวดด้วยพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ
    อธิษฐานจิตบวชวิญญาณ และแผ่ส่วนกุศลให้วิญญาณ
    และนำแต่ตัวธาตุที่เหลือมาสร้าง ผสมผงพุทธคุณต่างๆ
    เป็นเคล็ดวิชา โดยใช้ ความรักจากแม่ที่มีต่อลูก เป็นตัวตั้งธาตุ

    "กระดูกที่มีค่ามากที่สุดคือ กระดูกพระอริยะพระอรหันต์
    หลวงปู่บอกว่า ของท่านสร้างกระดูกให้เกิดข้อคิดในธรรม
    แต่ของพระอริยะ พระอรหันต์นั้น
    ท่านทำให้เราสิ้นสงสัยในธรรม"

    นี่คือพระธรรมจากพระเครื่องของหลวงปู่ทิม
    ขอให้ท่านตั้งใจปฏิบัติภาวนา
    ระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ให้มากแล้ว
    อะไรๆ จะดีขึ้นเอง
    ทำให้จริงเท่านั้น แล้วทุกอย่างจะสำเร็จ

    สำหรับอีกเรื่องหนึ่งที่จะนำมาเล่านี้
    ก็ฝากให้ท่านผู้อ่านคิดและพิจารณาใช้ปัญญาให้มาก
    ถึงการใช้วัตถุเครื่องราง และวัตถุมงคลในรูปแบบต่างๆ
    สิ่งที่เราคิดว่าจะให้คุณ อาจให้โทษก็ได้
    ดังเรื่องต่อไปนี้.......
    ........................................ ------>
    ประมาณปี ๒๕๒๙-๒๕๓๐ ที่ผ่านมา
    ในระยะนั้น ทีมงานของผู้เขียนทั้งชุด

    ประเภทบ่ายร่ม ลมยังไม่โชย ก็เริ่มเข้าห้องแอร์กันแล้ว
    แต่ละคนรับศีลข้อสุราเป็นระยะๆ ทั้งนั้น
    ตลอดจนตัวผู้เขียนเอง
    ยอมรับสภาพในระยะนั้นว่าเรื่องสุรานั้นขาดไม่ได้
    อีกเรื่อง...ใครมีอาจารย์ดีที่ไหนละก็ คันเนื้อคันตัว
    ขอให้ได้ไปพบ ได้ไปเจอ
    ประเภทต้องฟังคุณภาพก่อน แล้วถึงต้องไปพิสูจน์ด้วยตากันเลยทีเดียว
    จนกระทั่งเจอดีเข้าจนได้ เมื่อเพื่อนรักร่วมก๊วนไปพบอาจารย์ดีเข้า
    เป็นพระเขมรรูปหนึ่งแถวๆ ชายแดนไทยด้านเขมร
    รู้สึกว่าจะชื่อ หลวงตาศรี เป็นพระเขมรผิวดำ
    สักเต็มตัว ดวงตามีอำนาจ ท่าทางน่าเกรงขาม
    พูดภาษาไทยสำเนียงเขมรแปร่งๆ
    วัดติดแม่น้ำปราจีนบุรี

    เขาว่าทุกวันขึ้น ๑๕ ค่ำ
    หลวงตาศรีจะลงไปในแม่น้ำ
    เพื่อปล่อยของออกจากตัวตามหลักของมนต์ดำ...

    วัตร บางไผ่ อยู่ปราจีนบุรี
    ทำสวนผลไม้มานานก็ยังไม่รู้จัก แต่ก็บอกว่า
    เพื่อนเป็นลูกศิษย์ลูกหาของอาจารย์เขมรรูปนั้น
    ได้พาไปพบท่านเข้าครั้งแรกจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
    ก็ยอมรับว่า ท่านเก่งกล้าสามารถในเรื่องไสยดำมาก
    เรียกว่าหาตัวจับท่านได้ยากเลยก็ว่าได้

    วันนั้นได้ไปหาท่านด้วยกัน ๔-๕ คน ก็เป็นเวลาเย็นแล้ว
    ได้พบปะพูดคุยกับท่านไว้เยอะ พวกเราเรียกว่า หลวงตา
    แปลกอยู่อย่าง ท่านชอบรดน้ำมนต์ตอนกลางคืน
    ท่านบอกว่า สมาธิดี
    และท่านก็เลี้ยงหมีไว้ตัวหนึ่ง เป็นหมีควายตัวใหญ่มาก

    คืนนั้น ทุกคนที่ไป รดน้ำมนต์กันทุกคน
    ท่านยังโปรดลูกศิษย์คณะนี้ทุกคน
    บอกใครอยากได้ของดีสุดยอดของท่านละก็
    ให้หาแผ่นทองคำหรือเงินก็ได้ มาคนละแผ่น ขนาด ๒ นิ้วฟุต
    พวกเราต่างก็ตื่นเต้น หาแผ่นเงินแผ่นทองไปให้ท่านลงกัน
    พอได้แล้ว ท่านก็สั่งว่า หลังเพ็ญ ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ถึงมารับของได้
    เพราะการทำของท่านแปลกกว่าคนอื่น

    หลังจากนั้น พอท่านนัดให้ไปรับของได้
    ก็พร้อมใจกันไปรับของท่าน
    แต่...ท่านมีข้อห้ามแยะ
    ประการสำคัญที่สุดคือ ตะกรุดของท่านนั้น
    เวลาถ่ายทุกข์หนักเบา ต้องอมไว้ในปาก
    หากอยู่ที่อื่นภายในตัวแล้ว ของจะเสื่อมทันที
    ครูอาจารย์สั่งก็ทำตามกัน
    เว้นแต่ตัวผู้เขียนและเพื่อนอีกคนหนึ่งที่ยังลังเลอยู่
    จนกระทั่งเหตุการณ์นั้น ผ่านไปได้หลายเดือน
    ผู้เขียนก็ได้เอาใส่ไว้ในกระเป๋าเจมส์บอนด์
    เพราะอาจจะดวงดี หรือว่ากรรมดีก็ได้
    เพื่อนผู้เขียนที่ได้ของด้วยกันนั้น
    พอกลับบ้านคืนนั้น ก็นอนฝันแปลกๆ
    ก็ตกใจ ... รุ่งขึ้นก็ไปวัดสะแก จังหวัดอยุธยาทันที

    ท่านผู้อ่านคงทราบแล้วนะครับว่าไปหาใคร...
    ถ้าหากไม่ทราบก็ขอบอกเลยว่า
    หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ครูบาอาจารย์

    พอขึ้นกุฏิเท่านั้นก็ได้เรื่องเลย
    ท่านถามว่า...............................


    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  3. คนมีกิเลส

    คนมีกิเลส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,973
    ค่าพลัง:
    +19,431
    แกเอาอะไรมาด้วย
    ไม่เข้าเรื่อง !


    เพื่อนผู้เขียน อาจารย์มานิต เขียวดารา
    ปัจจุบันสอนอยู่ที่โรงเรียนสาธิตรามคำแหง
    ตกใจบอกท่านว่า ไปได้ของมาจากต่างจังหวัด
    เล่าถึงกรรมวิธีต่างๆ ในการใช้

    หลวงปู่ท่านเมตตาบอกว่า
    เอาไปลอยน้ำซะ
    แล้วไปบอกพวกๆ ของแก
    อย่าอมตะกรุดเชียวนะแก

    พอทราบเท่านั้น เพื่อนผู้เขียนก็รีบบึ่งรถมาหาทันที
    ระยะก่อนที่จะไปพบหลวงปู่ดู่นั้น
    ได้เจอลูกศิษย์ลูกหาของท่านที่ฝึกได้สมาธิจิตคนหนึ่ง เป็นฆราวาส
    ก็เอาตะกรุดอวด พอพี่ทิดจับดูเท่านั้น
    เป็นอย่างไรก็ไม่รู้...ปรากฎว่าเห็นแต่ความมืด
    แต่พลังที่แผ่ออกมาแรงมาก
    ยังไม่เชื่อ...ไปเจอลุกศิษย์ท่านที่เป็นพระรูปหนึ่ง
    พอควักตะกรุดจะถามท่านๆ บอกเอาอะไรมานะ อย่าใช้เลย
    ถ้าแกจะใช้ ก็ไปถามหลวงลุงอีกที
    เท่านั้น พอไปหาหลวงปู่ ก็เลยต้องอาราธนาตะกรุดดอกนั้น
    ลงท่าน้ำหน้าวัดแล้วมาหาผู้เขียน
    ได้มาปรึกษากันว่า จะบอกเพื่อนอย่างไรดี แต่ละคนศรัทธาแรง
    ผู้เขียนก็คิดว่า น้ำเชี่ยวอย่าขวางเรือดีกว่า
    ปล่อยอีกนิด แล้วค่อยกระซิบบอกคงไม่สาย...

    นั่นเป็นความผิดพลาดอย่างแรง !
    เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เกิดความเสียหายต่างๆ ที่ตามมา
    ท่านผู้อ่านอาจจะไม่เชื่อว่า
    พอผู้เขียนไม่ใช้ของตามเจ้าของที่ทำให้
    เพื่อนฝูงเริ่มห่างเหินกันแบบพบก็พูด...ไม่พบก็แล้วกันไป
    จากคนที่นั่งร่วมก๊งกันทุกวันจากบ่ายยันดึก
    เผลอๆ บางงานก็มากกว่านั้น

    หลังจากนั้น เหตุการณ์ต่างๆ มาแบบเหลือเชื่อ
    ต่อมา เพื่อนก็ได้สัมปทานป่าไม้แห่งหนึ่ง
    ก็ได้ให้ลูกชายไปช่วยเหลือในด้านการควบคุมและติดต่อทั่วไป
    ตามธรรมดาของวัยรุ่นไฟแรง
    เห็นเฟอร์นิเจอร์ของพ่อสวยๆ งามๆ ก็นำไปใช้อย่างวิสาสะ
    โดยที่เจ้าตัวไม่ทราบถึงโทษที่พ่อได้นำไปลงของไว้ใช้ส่วนตัว

    หลังจากนำไปใช้ไม่เท่าไร เหตุมันก็เกิดขึ้น
    ขณะขับรถจากป่า จะไปยังเขตป่าไม้
    ได้เกิดอุบัติเหตุถึงแก่ชีวิตทันที
    โดยขับรถลงเขาประสานงากับรถโดยสาร
    ทั้งตัวไม่มีแผล แต่คอหัก
    พอนำศพกลับกรุงเทพฯ แล้ว
    ผู้เขียนนั่งคิด นอนคิดว่าจะบอกดี ไม่บอกดี

    แต่เมื่อเหตุการณ์มาถึงขั้นนี้แล้วควรจะบอก
    พอเสร็จงานแล้ว ผู้เขียนหาโอกาสปลอดคน
    แล้วได้บอกเล่าถึงเรื่องราวต่างๆ ข้างต้น
    เพื่อนผู้นั้นก็เชื่อครึ่ง ไม่เชื่อครึ่ง เพราะคิดว่าไม่น่าเป็นไปได้
    ระยะก่อนเกิดเหตุนั้น เพื่อนผู้เขียนฝังหัว
    ตลอดจนเชื่อมั่นความศักดิ์สิทธิ์ในพระอาจารย์องค์นั้น
    ขณะที่คุยกันนั้น บุตรชายคนเล็กก็บอกพ่อ
    อยากจะบวชให้พี่ชายๆ จะได้ๆ บุญมากๆ
    เพื่อนผู้เขียนได้หันมาปรึกษาและได้บอกว่า
    อยากได้บุญมากๆ ก็ต้องบวชที่วัดสะแก
    เพราะเป็นวัดที่ปฏิบัติอยู่แล้ว
    อีกทั้งครูบาอาจารย์ท่านก็ยังอยู่ที่นี่ การคมนาคมก็สะดวกทุกประการ

    หลังจากนั้น ก็ได้บวชให้กับพี่ชายที่วัดสะแก
    แต่สำหรับตัวเพื่อนผู้เขียน ยังไม่ค่อยเชื่อเรื่องคำบอกเล่านัก
    เพราะตะกรุดดอกนั้นพิเศษกว่าดอกอื่นๆ

    ท่านเจ้าของตะกรุดเข้าห้องน้ำห้องท่า
    ก็ต้องอมตลอดเวลา โดยเจ้าตัวไม่รู้ว่า
    ภายในตะกรุดมีสีผึ้ง.....สีผึ้งนั้นคือ น้ำมันพราย.....

    ด้วยความที่เจ้าตัวต้องการให้ใครเห็นแล้ว
    เมตตามหานิยมอะไรประเภทนั้น

    อีกอย่างคนเราเมื่อเกิดความเชื่อแล้ว
    การที่จะดึงกลับนั้น ก็เหมือนกับการตกปลา
    ต้องค่อยๆ ดึง ค่อยๆ ผ่อนตามสภาวะของความหนักเบาของอารมณ์
    ท่านผู้อ่านก็ลองพิจารณาดูกันเอาเองว่า
    ตะกรุดที่ใส่สีผึ้งเข้าไว้ แล้วอมตลอด
    ทั้งซึมเข้าทางผิวหนัง ซึมจากการอม อะไรจะเกิดขึ้น
    บางครั้ง ขณะนั่งคุยกัน ระหว่างนั่งกินเหล้าอยู่
    บอกมาลอยๆ ว่าคิดถึงอาจารย์ ไปเที่ยวหากัน
    และไปหาเหล้ากินกันดีกว่า
    ส่วนมากก็ทีมเขาละครับ สามสี่พระหน่อ
    ยกเว้นผู้เขียน ที่หาข้ออ้างไม่ยอมไปท่าเดียว

    อีกอย่าง พวกก็ไม่ค่อยอยากชวนอยู่แล้วก็เป็นได้
    และขณะนั้น ทางด้านงานก็รุดหน้าดี
    แต่ทางครอบครัวมักจะวุ่นๆ
    พอลูกชายคนเล็กบวช ก็เริ่มปฏิบัติตามสายของ
    หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

    วันหนึ่ง ลูกชายโทรศัพท์มาที่บ้าน
    บอกกับโยมแม่ ให้บอกกับโยมพ่อว่า มีธุระด่วน
    ซึ่งในขณะนั้น โยมพ่อพักอยู่ที่พิจิตร
    ในคืนนั้น เป็นคืนวันขึ้น ๑๔ ค่ำ หรือวันโกน
    เหตุที่จำได้แม่น เพราะได้รับคำบอกย้ำแล้วย้ำอีก
    จากเพื่อนทุกครั้งที่คุยกัน
    บอกว่าคืนนั้น ประมาณเกือบตีหนึ่งได้ฝันประหลาดมาก
    ได้เกิดต่อสู้กับหมีตัวใหญ่ จะเข้ามาตะปป จนตกใจตื่น
    พอนอนต่อพอเคลิ้มๆ จะหลับ
    ได้ยินเสียงเหมือนกับอะไรมาตะกุยอยู่หน้าประตู
    แต่ตอนนั้น ใจคิดอย่างเดียว
    นึกถึงหลวงปู่ดู่ และหลวงพี่ที่วัดสะแกตลอดเวลา

    รุ่งเช้า เพื่อนได้มาบอกทางบ้านให้กลับด่วน
    และเณรให้ไปหาที่วัดสะแก
    พอทราบเรื่อง ก็รีบมาขึ้นเครื่องที่พิษณุโลก
    พอมาถึงดอนเมือง ภรรยาได้นำรถมาจอดคอยเรียบร้อยแล้ว
    ก็ขับรถออกจากสนามบินเพื่อจะไปอยุธยา
    ท่านผู้อ่านจะเชื่อหรือไม่ว่า
    พอออกพ้นสนามบินมาถึงถนนวิภาวดีได้หน่อยเดียว
    รถพอจะตั้งลำได้นิดเดียว ก็เผอิญมีรถวิ่งมาชนอย่างแรง
    กว่าจะเคลียร์กันได้ พอเสร็จสรรพก็เปลี่ยนรถเดินทางไปวัดสะแก
    พอถึง...ก็ไปหาเณรก่อน เสร็จแล้วเณรก็ให้ไปพบหลวงปู่
    หลวงปู่ท่านก็ไม่ว่าอะไร
    เรียกกินน้ำชาของท่าน...................
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  4. คนมีกิเลส

    คนมีกิเลส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,973
    ค่าพลัง:
    +19,431
    หลวงปู่ท่านก็ไม่ว่าอะไร
    เรียกกินน้ำชา
    ซึ่งน้ำชาของท่านนั้น ก็คือ น้ำมนต์เราดีๆ นั่นเอง
    เพราะท่านได้อธิษฐานเอาไว้

    พอเพื่อนผู้เขียนกินน้ำชาของท่าน
    เค้าเล่าให้ฟังว่า มีความรู้สึกเหมือนกลิ่นน้ำเหลือง
    ลอยออกขึ้นมาจากน้ำชา แต่ก็กลั้นใจดื่มจนหมดถ้วย
    พอออกพ้นกุฏิหลวงปู่ ก็อ้วกจนหมด
    และพอย้อนมาหาเณรอีก ก็นั่งคุยกับท่านอาจารย์ ศิษย์เอกของหลวงปู่
    ท่านก็บอกว่า ให้กินกาแฟ
    พอขณะที่อธิษฐานจิตจะดื่มกาแฟนั้น
    เณรลูกชายก็นั่งสมาธิขอบารมีครูบาอาจารย์ดู
    เห็นเป็นควันสีดำลอยออกมาจากจมูกพ่อมากมาย
    ส่วนเจ้าตัวบอกว่า กาแฟเหม็นเหมือนน้ำเหลืองผี (ยกตัวอย่างเพียงเท่านี้)
    (คัดจากประสบการณ์ตรงของคุณวัตร บางไผ่ และพี่ดำบางลำพู
    จากหนังสือเลียบสนามพระและมหัศจรรย์)

    ผู้คนสมัยนี้ที่ชอบใช้เครื่องรางวัตถุอาถรรพณ์
    ที่ชอบใช้ให้ได้ผลทางเสน่ห์ เมตตาเร็วๆ
    เจ้าชู้ มากเมีย มากผัว หรือต้องการให้ได้ผลในแบบเร็วๆ
    จึงต้องไปพึ่งพาอาศัยมนต์ดำ ไสยศาสตร์ ผงภูติ ผีพราย น้ำมันพราย
    วิชาเหล่านี้ เขาทำกันด้วยของต่ำ
    มีที่ไปคือ นรก และความทุกข์
    ทุกข์จากเงินทองที่เสียไป
    ทุกข์จากความต้องการ ความอยากที่ไม่มีที่สิ้นสุด
    ทุกข์จากอำนาจผีพรายที่กระทำ...

    วิญญาณเหล่านี้ถูกมนต์สะกดให้ทำตามคำสั่ง
    ไม่ได้ไปผุดไปเกิด
    ที่สุดแห่งหนทางวิชามนต์ดำไสยศาสตร์นี้คือ นรก

    ฝากถึงท่านผู้สร้างสายวิชานี้ด้วย
    ถ้ารักลูกหลาน หรือมีความเป็นมนุษย์อยู่
    โปรดอย่าทำของ (วัตถุมงคล) ด้วยส่วนผสมผงผีนี้อีกเลย
    เพราะที่สุดผู้สร้างจะต้องไปเกิดเป็นเปรตที่มีชื่อว่า มหิตถิกเปรต

    ระวัง ! สำนักต่างๆ ที่นำผงกระดูกผงผีของคนตายทั่วไป
    ๗ ป่าช้า ๑๐๘ ป่าช้ามาสร้างเป็นวัตถุมงคล
    เพราะหากขาดการอธิษฐานจิตที่ดี
    โดยพระอริยเจ้า หรือขาดการกระทำที่ถูกต้องแล้ว
    แทนที่จะเป็นมงคล จะเป็นอาถรรพณ์แทน

    ถ้าชอบ...แนะนำให้เป็นของพระที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ
    เช่น อังคารธาตุ อัฐิธาตุ ของพระอริยเจ้าต่างๆ
    ส่วนใหญ่กลายเป็นพระธาตุให้ผู้คนกราบไหว้กันทั่ว
    พระธาตุของพระอริยเจ้าจะมีเทวดารักษาอยู่
    แล้วเราควรสำรวมระวัง หากกระทำสิ่งที่ไม่สมควร
    เทวดาที่ดูแลรักษาก็อาจลงโทษเราได้

    คุณพระดีที่สุด
    คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
    คุณบิดา มารดา
    คุณครูบาอาจารย์ นี่แหละ
    ไม่เคยทำลายใคร
    เชื่อในคุณศีล คุณธรรมนี่ละ
    หลวงปู่ดู่ท่านบอกไว้ว่า ดีที่สุด ปลอดภัย
    มีที่ไปคือ สวรรค์ และพรหม
    ที่สุดคือ พระนิพพาน.....

    ข้าพเจ้าขออนุโมทนาบุญกุศลทั้งหมดทั้งมวล
    แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์
    พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์
    และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย
    หลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ หลวงตาม้า
    ผู้สวดบทมหาจักรพรรดิทั่วทั้งสามแดนโลกธาตุ
    นับตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน จนถึงอนาคตเทอญ

    ขอขอบคุณข้อมูลจากหนังสือ บารมีพระ
    เรียบเรียงโดยคุณรักปู่
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  5. คนมีกิเลส

    คนมีกิเลส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,973
    ค่าพลัง:
    +19,431
    ข้อมูลทั้งหมดข้างต้น คัดมาจาก

    http://www.watthummuangna.com/board/showthread.php?t=5297

    ขออนุโมทนากับท่านเจ้าของบทความครับ
    สาธุ
    สาธุ
    สาธุ

    เป็นบทความที่ให้ความกระจ่างได้ดีมากครับ
    เราเป็นผู้โง่เขลาอยู่เสียนาน
     
  6. คนมีกิเลส

    คนมีกิเลส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,973
    ค่าพลัง:
    +19,431
    อันนี้นำมาฝากครับ จำไม่ได้ว่า save มาจากเวปไหน

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. แบงก์จ้า

    แบงก์จ้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2008
    โพสต์:
    665
    ค่าพลัง:
    +1,520
    แล้วตกลงว่า ผงพรายกุมาร ของหลวงปู่ทิม นี่ติดตัวไว้ ดีหรือไม่ดียังไงครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...