เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 20 กุมภาพันธ์ 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,704
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,556
    ค่าพลัง:
    +26,395
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,704
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,556
    ค่าพลัง:
    +26,395
    วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๗ กระผม/อาตมภาพเดินทางไปถึงวัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) ยังไม่ทันจะ ๖ โมงเช้า เกือบ ๆ จะพร้อมกับหลวงพ่อเจ้าคุณแย้ม - พระเดชพระคุณพระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าคณะภาค ๑๔ เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า ช่วงบ่ายวันนี้กระผม/อาตมภาพต้องไปหาหมอตามนัด ถ้าหากว่าไม่ไปปรากฏตัวในที่อบรมบาลีก่อนสอบเลย บางทีลูกศิษย์ก็อาจจะหมดกำลังใจได้เช่นกัน

    เหตุที่กล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำอย่างนั้นก็เพราะว่า ในปัจจุบันนี้บรรดาพระสังฆาธิการก็ดี ระดับเลขานุการ หรือว่ากองงานเลขานุการ ตลอดจนกระทั่งพระวิทยากร ในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔ ก็ตาม ถ้าหากว่าไม่ใช่ลูกศิษย์ก็จะเป็นเพื่อนฝูงกันทั้งนั้น

    เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่ากระผม/อาตมภาพนั้น มีโอกาสสอนหนังสือ ทั้งที่วิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาศรีทวารวดี วัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) จังหวัดนครปฐม วิทยาลัยสงฆ์สุพรรณบุรีศรีสุวรรณภูมิ วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร จังหวัดสุพรรณบุรี และท้ายที่สุดวิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีศรีไพบูลย์ จังหวัดกาญจนบุรี เริ่มต้นสอนมาตั้งแต่ปี ๒๕๕๒ แล้วก็เพิ่งจะมาลาออกเมื่อปี ๒๕๖๕ นี่เอง

    แต่ขนาดนั้นก็ตาม ชื่อเสียงที่ได้ทำเอาไว้ ก็ทำให้บุคคลที่เคยเรียนอยู่มีความเคารพนับถืออย่างจริงใจ โดยเฉพาะบรรดานิสิตทั้งหลาย จะเห็นกระผม/อาตมภาพเป็นพระวิปัสสนาจารย์ ที่คุมการปฏิบัติธรรมแบบไม่ได้คุม ก็คือเมื่อถึงเวลาแล้ว ทุกคนเต็มอกเต็มใจมาเข้าปฏิบัติเอง

    ถึงขนาดพอผ่านไปได้ ๔ วัน ๕ วัน บรรดาพระสังฆาธิการที่มีอายุกาลพรรษามากกว่า มาขอกราบในฐานะครูบาอาจารย์ ออกปากว่า "ท่านอาจารย์ต้องมีอะไรดีแน่เลย โดยปกติพวกกระผมไม่เคยยอมลงให้กับใคร แต่นี่กลับยอมลงให้กับอาจารย์ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ดุด่าว่ากล่าวอะไรพวกผมเลยสักคำเดียว" กระผม/อาตมภาพก็ไม่รู้จะชี้แจงแสดงเหตุอย่างไร ห้ามปรามท่านที่พรรษามากกว่าไม่ให้กราบ ท่านก็ไม่ยอม บอกว่าขอกราบในฐานะพระอาจารย์..!

    บรรดารุ่นหลัง ๆ มา แม้ว่ากระผม/อาตมภาพจะไม่ได้สอนแล้วก็ตาม แต่ว่าชื่อเสียงเกียรติคุณตรงนี้ก็ยังคงอยู่ ดังนั้น..เมื่อได้ยินชื่อพระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. หรือว่าหลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุนมาถึง ทุกคนก็กระตือรือร้นมาต้อนรับ มาแนะนำตัว หรือว่ามากราบไหว้

    แม้กระทั่งบางท่าน อย่างเช่นพระครูสังฆกิจจารักษ์ วัดสิงห์ อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐมซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือในเรื่องหัวแข็ง ไม่ยอมลงให้ใคร แล้วในฐานะที่ท่านอายุมากกว่า แม้ว่าพรรษาน้อยกว่าก็ตาม ท่านก็ยังมากราบมาไหว้ทุกครั้ง จนทำเอาคนแปลกใจเป็นอย่างมาก
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,704
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,556
    ค่าพลัง:
    +26,395
    เรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่า ถ้าท่านทั้งหลายตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติอยู่ใน ศีล สมาธิ ปัญญา อย่างที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเราเอาไว้ ท้ายที่สุดบุคคลที่กุศลหนุนส่ง ก็จะเห็นดีเห็นงาม และคล้อยตามกันมาเอง ท่านพระครูสังฆกิจจารักษ์ที่กระผม/อาตมภาพเรียกติดปากว่า "พี่กวง" ออกปากว่า "ผมเองได้พี่เล็กเป็นตัวอย่าง ถึงได้กลับมาเป็นผู้เป็นคนอยู่ทุกวันนี้ ไม่อย่างนั้นก็เอาแต่ท้าตีท้าต่อยเขาอยู่ทั่วไป"

    เรื่องพวกนี้จะกล่าวไปแล้วก็เป็นความภูมิใจอย่างหนึ่ง แต่ว่าขอถวายความดีนี้ไปถึงครูบาอาจารย์ทุกรูปทุกนาม ที่ได้เมตตาอบรมสั่งสอนมา โดยเฉพาะพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ที่รู้จริง ท่านสอนมาทุกอย่าง ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เราสามารถนำมาใช้การได้ในปัจจุบัน
    ดังนั้น..การที่ไปปรากฏตัวแต่เช้ามืด และร่วมการทำวัตรสวดมนต์ด้วย บรรดาผู้เข้าอบรมจะขี้เกียจก็ไม่ได้แล้ว เนื่องเพราะว่าพระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. แกอยู่ถึงวัดท่าขนุน ห่างจากสถานที่นี้ ๒๔๐ กิโลเมตร ถ้าหากว่ารถไม่ติด ก็ใช้เวลา ๓ ชั่วโมงครึ่ง ถ้ารถติดก็อาจจะถึง ๔ ชั่วโมงเศษ แต่ท่านก็เดินทางมาทำวัตรด้วย

    บรรดาผู้เข้ารับการอบรมที่ค้างอยู่ที่วัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเจ้าคุณแย้ม ก็จัดรถรางวิ่งรับส่งหมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา จะมีข้ออ้างว่ามาทำวัตรไม่ทัน ก็มีหวังจะโดน "โบก" คว่ำไปเท่านั้น เพราะท่านจะให้เหตุผลว่า "ไอ้ท่าขนุนมันยังมาถึงแล้ว..!" กระผม/อาตมภาพเมื่อฉันเช้าร่วมกับพรรคพวกแล้ว ก็ไปเดินให้กำลังใจบรรดาผู้เข้ารับการอบรมบาลีก่อนสอบ จนได้เวลาพอสมควรจึงขอตัวเดินทางไปตามที่หมอนัด

    ส่วนเรื่องอื่นที่อยากจะกล่าวถึงวันนี้ก็คือ ช่วง ๒ - ๓ วันที่ผ่านมานั้น มีข่าวฮือฮาอยู่ในวงการสงฆ์ภาค ๑๔ เรื่องที่หลวงพี่น้ำฝน (พระครูปลัดสิทธิวัฒน์) เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม หัวหน้าคณะพระวินยาธิการประจำคณะสงฆ์ภาค ๑๔ เรียกง่าย ๆ ว่าหัวหน้าตำรวจพระ ในเขตภาค ๑๔ คือจังหวัดกาญจนบุรี สุพรรณบุรี นครปฐมและสมุทรสาคร ได้นำเอาพระวินยาธิการภายใต้สังกัดของท่าน บุกไปจับหลวงตา ๒ ราย ที่ไม่ยอมอยู่อาศัยตามวัด แต่ว่าไปอาศัยบ้านอยู่ และขับรถออกไปบิณฑบาต ทำให้ชาวบ้านที่พบเห็นเสื่อมศรัทธา คาดว่าน่าจะเป็นพระภิกษุปลอม..!

    เมื่อไปจัดการตามวิธีการทุกอย่าง ทำการสอบสวนทวนความแล้ว มีอยู่รูปหนึ่งที่ไม่มีเอกสารยืนยันตัวตน น่าจะถือว่าปลอมบวชมา อีกรูปหนึ่งมีเอกสารยืนยันตัวตน แต่พอติดต่อไปทางต้นสังกัด ต้นสังกัดยืนยันว่าออกจากวัดไปหลายปีแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนั้น หลวงพี่น้ำฝนท่านจึงนำไปสึกเสียให้หมดเรื่องหมดราวไป
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,704
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,556
    ค่าพลัง:
    +26,395
    เรื่องนี้ไม่ปรากฏออกสื่อต่าง ๆ รู้กันเฉพาะในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔ เป็นสิ่งที่กระผม/อาตมภาพดีใจมาก ว่านโยบายของหลวงพ่อเจ้าคุณแย้ม เจ้าคณะภาค ๑๔ นั้น เดินมาถูกต้องแล้ว เพราะว่าท่านให้ทุกจังหวัด ไม่ว่าจะเป็นกาญจนบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม หรือว่าสมุทรสาคร คัดเอาพระวินยาธิการระดับปฏิบัติการ ที่มีความคล่องตัวมาก ๆ จังหวัดละ ๕ รูป ตั้งหัวหน้าคณะประจำจังหวัดของตน ทั้งหมดขึ้นตรงกับหลวงพี่น้ำฝน สถานที่ใดในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔ เกิดอธิกรณ์เรื่องราวเกี่ยวกับพระ เกี่ยวกับวัดขึ้นมา พระวินยาธิการกลุ่มนี้ต้องไปถึงทันที

    นโยบายที่หลวงพ่อเจ้าคุณแย้มกล่าวเอาไว้ก็คือ "ต้องไปถึงก่อนสื่อมวลชน จัดการเรื่องราวให้สงบเรียบร้อยลงเสียก่อนที่สื่อมวลชนจะเข้าถึง จะได้ไม่มีอะไรเสียหายให้เกิดกับพุทธศาสนาของเรา" ปรากฏว่าจากการดำเนินการช่วงที่ผ่านมา ในเขตปกครองคณะสงฆ์จังหวัดกาญจนบุรี ก็ระงับเรื่องราวให้เสร็จเรียบร้อยลงในเวลาอันรวดเร็ว

    ในส่วนของจังหวัดอื่น ๆ อย่างเช่นสุพรรณบุรีนั้น นอกจากคณะพระวินยาธิการ หรือว่าตำรวจพระแล้ว ท่านเจ้าคุณพระสุพรรณวชิรภรณ์ , ดร. (ประไพ ปุญฺญกาโม ป.ธ.๓) เจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นเพื่อนฝูงของกระผม/อาตมภาพ เรียนมาด้วยกันตั้งแต่ระดับประกาศนียบัตร ยันปริญญาโท ท่านยังเป็นบุคคลที่ตามงานด้วยตนเอง ในฐานะที่มีความแม่นยำในกฎระเบียบและกฎหมายบ้านเมือง จึงกำชับกำชาในการปฏิบัติของพระวินยาธิการ ให้เป็นไปตามพระธรรมวินัยและกฎหมายบ้านเมือง โดยเฉพาะอย่าให้เรื่องราวได้แพร่กระจายออกไป เพราะว่าแม้จะเป็นส่วนน้อยก็ตาม แต่อาจจะเกิดสภาพของ "ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นไปทั้งข้อง"..!

    ส่วนทางด้านจังหวัดสมุทรสาครนั้น ท่านเจ้าคุณดิเรก - พระมงคลพัฒนาภรณ์ (ดิเรก ปิติทานนฺโท) เจ้าคณะจังหวัดสมุทรสาคร ท่านกำชับกำชาทุกอย่างอยู่ในลักษณะ "ป้องปราม" อะไรที่จะเกิดขึ้น ท่านเองสั่งการป้องกันเอาไว้หมดแล้ว แม้กระทั่งสิ่งที่วัดวาอารามต่าง ๆ อาจจะผิดจะพลาดในข้อกฎหมาย อย่างเช่นว่า ห้ามสูบบุหรี่ ห้ามจำหน่ายสุรายาเสพติดภายในวัด ท่านก็สั่งการให้ทุกวัดติดป้าย ติดสติ๊กเกอร์ให้เห็นอย่างชัดเจน ว่าเป็นเขตปลอดบุหรี่ เป็นเขตปลอดยาเสพติด เป็นเขตห้ามจำหน่ายสุรา เป็นต้น

    ส่วนในจังหวัดนครปฐมนั้น พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณแย้มเองเป็นเจ้าของสถานที่ จึงไม่ต้องกล่าวถึง เพราะว่าเรื่องของความเข้มงวดต่าง ๆ นั้น มีมาตั้งแต่สมัยพระเดชพระคุณหลวงปู่ชุ้น - หลวงปู่พระธรรมเสนานี (ชุณห์ กิตฺติวณฺโณ) อดีตเจ้าอาวาสวัดวังตะกู อดีตที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดนครปฐม ท่านเป็นเจ้าคณะจังหวัดนครปฐมอยู่หลายสิบปี ชื่อเสียงในความโหดของท่านเป็นที่เลื่องลือ ขนาดมีชื่อว่า "เสือแห่งวังตะกู..!"
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,704
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,556
    ค่าพลัง:
    +26,395
    ในช่วงที่ท่านเป็นเจ้าคณะจังหวัดอยู่ บรรดาพระภิกษุสามเณรที่นอกรีต นอกลู่ นอกทาง ไม่มีใครที่อยากจะเข้าไปในเขตนครปฐม เพราะรู้เลยว่าถ้าหากว่าถึงมือหลวงปู่ชุ้นเมื่อไร ท่านเองมีกฎหมายอยู่แค่ ๒ มาตรา ก็คือมาตรา ๕ บน หรือว่ามาตรา ๕ ล่าง ทันตบเป็นตบ ทันเตะเป็นเตะ..!

    กระผม/อาตมภาพยังเรียนถามท่านว่า "หลวงปู่..อายุก็มากแล้ว ไปตบไปเตะมัน เกิดมันสู้ขึ้นมาจะทำอย่างไร ?" ท่านบอกว่า "อันดับแรก ข้าไม่ได้ไปคนเดียว อันดับที่สอง คนชั่วกำลังใจมันสู้ข้าไม่ได้อยู่แล้ว ในเมื่อกำลังใจมันสู้ไม่ได้ โดนผัวะเดียวร่วงลงไป มันก็หมดกำลังใจที่จะสู้ สารภาพแต่โดยดีทุกคน"

    ตรงจุดนี้กระผม/อาตมภาพก็เชื่อ เนื่องเพราะว่าพวกเรากล่าวขานกันว่าหลวงปู่ชุ้นท่านมี "นะหน้าเสือ" ความจริงตรงนี้ก็น่าจะเป็นประเภทคาถา "นะจังงัง" หรือ "ตวาดป่าหิมพานต์" เหล่านั้น เพียงแต่ว่าหลวงปู่ชุ้นท่านมีฉายาว่าเสือแห่งวังตะกู ก็เลยกลายเป็น "นะหน้าเสือ" ไปโดยปริยาย ในเมื่อกำลังใจของท่าน นอกจากจะปฏิบัติกรรมฐานอย่างเคร่งครัดแล้ว ความแม่นยำในเรื่องวินัยและกฎหมายต่าง ๆ ของท่านยังเป็นที่เลื่องลือ ความเข้มงวดของท่านเป็นที่รู้กันไปหมด จึงทำให้คนอื่นนั้นไม่มีทางเลยที่จะมีกำลังใจสู้ท่านได้

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงกลายเป็นเรื่อง "ปาปมุต" ก็คือเรื่องนี้หลวงปู่ชุ้น ท่านสามารถใช้มาตราทั้ง ๕ ล่าง และ ๕ บนได้ แต่คนอื่นใช้ไม่ได้ รับประกันว่าใช้เมื่อไร ก็มี "ดราม่า" ออกโซเชียลเมื่อนั้น แต่สมัยหลวงปู่ชุ้นท่านใช้จนกระทั่งทุกคน ทั้งพระภิกษุสามเณรและฆราวาส เห็นเป็นเรื่องปกติ ประมาณว่า "ถ้ามึงเข้ามาทำเลวในเขตนครปฐม ก็สมควรแล้วที่จะโดนอย่างนี้..!"

    ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ในปัจจุบันคณะสงฆ์ภาค ๑๔ ของเราจึงค่อนข้างที่จะสงบเรียบร้อย และกลายเป็น "ขี้ปาก" ของบรรดาเจ้าคณะภาคอื่น ๆ ที่สนิทสนมกับหลวงพ่อเจ้าคุณแย้ม ถึงขนาดสะกิดกันถามว่า "ภาค ๑๔ มึงจะอยู่เฉย ๆ บ้างไม่ได้หรือ ? พวกข้าเหนื่อยว่ะ..!" แต่ว่าเรื่องพวกนี้ ก็ต้องให้พระผู้ใหญ่ท่านคุยกันไป

    กระผม/อาตมภาพเห็นสิ่งที่เจ้านายท่านทำและวางนโยบายเอาไว้ เมื่อปรากฏผลออกมาอย่างเด่นชัด ทั้ง ๆ ที่เราฮือฮากันทั้งภาค แต่ว่าทางโซเชียลอื่นไม่มีเลย ก็แปลว่าเป็นสิ่งที่ท่านสั่งให้ทำนั้น เกิดผลดีแก่คณะสงฆ์อย่างแน่นอน

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอังคารที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...