เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 27 กุมภาพันธ์ 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,741
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,559
    ค่าพลัง:
    +26,399
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,741
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,559
    ค่าพลัง:
    +26,399
    วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๖ ถ้าเห็นกระผม/อาตมภาพดำปี๋ก็ไม่ต้องแปลกใจ เพราะว่าวันนี้ตอนไปงานเปิดสักการะพระแท่นดงรังประจำปี ๒๕๖๖ นั่งตากแดดอยู่คนเดียวเป็นชั่วโมง เพราะว่าพระทั้ง ๑๕ รูปที่นั่งอยู่ แดดลงที่กระผม/อาตมภาพอยู่คนเดียว ต้องบอกว่าอยู่ท่ามกลางแสงสป็อตไลท์เด่นจ๋าอยู่คนเดียว แล้วที่ต้องตากแดดอยู่เป็นชั่วโมง เพราะว่าประธานฝ่ายฆราวาสมาช้า..!

    เมื่อครู่นี้กระผม/อาตมภาพให้นาคที่มาช้ากลับไปรายหนึ่ง เพราะว่าเราตัดยอด ๖ โมงเย็น ไม่ฟังเหตุผลอะไรทั้งสิ้น..! ถ้ารู้ว่าช้าแปลว่าต้องเผื่อเวลาในการมาวัด ก็แปลว่าตอนนี้นาคทั้งหมดที่มีอยู่ รวมสามเณรด้วยก็ ๙ รูปพอดี จัดบวชได้ ๓ ชุด ให้ตั้งหน้าตั้งตาท่องคำขานนาคให้คล่องตัวเอาไว้ ไม่ใช่ว่าผ่านการตัดยอดเข้ามาแล้วจะรอด ถ้าขานนาคไม่คล่อง อยู่ในโบสถ์แล้วก็โดนไล่กลับบ้านได้เหมือนกัน..!

    เรื่องของการบวชเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ซึ่งกระผม/อาตมภาพขอใช้คำว่า "หาเรื่องลงนรก" เพราะว่าสิ่งที่เราทำในสมัยเป็นฆราวาสอาจจะมีโทษเพียงเล็กน้อย แต่ว่าพอทำในสมัยที่เป็นพระภิกษุสามเณร โทษลงอเวจีมหานรกที่เดียว..!

    ดังนั้น..ใครที่ตั้งใจจะบวชเข้ามาแปลว่าพร้อมแล้วที่จะลงนรก..! เนื่องเพราะว่าตรงกลางสำหรับนักบวชแล้วไม่มี เหลือแต่ไม่ชนะก็แพ้ ถ้าหากว่าชนะก็รอดนรกไปได้ ถ้าหากว่าแพ้เมื่อไรก็เตรียมตัวลงได้เลย ต่อให้สึกหาลาเพศไป โทษนั้นก็ยังติดตัวของเราอยู่ รอเวลาคิดบัญชีกันตอนตายทีเดียว..!

    เรื่องของการบวชจึงเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะว่าเมื่อบวชเข้ามาแล้วเราเป็นปูชนียบุคคล เป็นบุคคลที่เขาเคารพกราบไหว้ การที่คนอื่นจะมาเคารพกราบไหว้ เราต้องมีสิ่งที่ดีกว่า ลองคิดดูว่าวันแรกที่เราบวชเสร็จ พ่อแม่ก็กราบไหว้เรา ทั้ง ๆ ที่ท่านเป็นคนเลี้ยงดูเรามา ให้การศึกษาแก่เรา ไม่ว่าจะวัยวุฒิคุณวุฒิอะไรก็ตาม ท่านอยู่ในฐานะที่สูงกว่า แล้วทำไมถึงมากราบไหว้เราที่เป็นลูก ? ก็เพราะว่าเรานั้นได้เปลี่ยนเครื่องแต่งกาย เปลี่ยนกฎเกณฑ์กติกาในการดำเนินชีวิตไปแล้ว

    กฎเกณฑ์กติการในการดำเนินชีวิตก็คือศีลที่มีมากกว่า มีถึง ๒๒๗ ข้อ หรือว่าศีล ๑๐ สำหรับสามเณร ส่วนพ่อแม่ถือแค่ศีล ๕ เท่านั้น ในทางธรรมแล้ว ผู้ใดมีคุณวุฒิ ไม่ว่าจะเป็นหลักการปฏิบัติหรือว่ากำลังใจที่สูงกว่า ก็ถือว่าเป็นผู้ใหญ่กว่า อย่างที่สุมนาเทวี ลูกสาวของอนาถปิณฑิกเศรษฐีสำเร็จพระสกทาคามี อนาถปิณฑิกเศรษฐีเป็นพระโสดาบัน ลูกสาวก็เลยเรียกพ่อตัวเองว่าน้องชาย แต่ด้วยความที่ตัวเองป่วย ก็เลยทำให้พ่อคิดว่าลูกจับไข้จนเพ้อไปแล้ว..!

    กฎเกณฑ์กติกาของเราที่มีมากกว่าเหมือนกับการลงทุนในชีวิต ฆราวาสทั่วไปลงทุน ๕ ล้านบาท แต่การบวชเป็นพระลงทุน ๒๒๗ ล้านบาท ถ้าพลาดขึ้นมาย่อมเจ๊งหมดตัวแน่นอน..! แต่ถ้าได้กำไรก็จะได้กำไรมากกว่าฆราวาสที่ลงทุนแค่ ๕ ล้านบาทหลายเท่าตัว
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,741
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,559
    ค่าพลัง:
    +26,399
    ในเมื่อเป็นดังนี้ กาย วาจา และใจของเรา จึงต้องได้รับการขัดเกลาให้เหมาะสมกับสถานภาพของปูชนียบุคคล ซึ่งกระผม/อาตมภาพบอกกับพวกเราบ่อย ๆ ว่าไม่ได้ต้องการอะไรมาก บวชพระภิกษุสามเณรมา ขอแค่ให้ชาวบ้านไหว้ได้เต็มมือก็พอแล้ว

    ดังนั้น..เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าหากว่าเราบวชตามประเพณี ไม่รู้เรื่องอะไรเลย แม้แต่คำขานนาคก็ต้องให้พระอุปัชฌาย์หรือว่าคู่สวดบอกให้ ถึงเวลาก็ทำผิดทำพลาดแล้วสึกหาลาเพศไป จากนั้นก็ตกนรกแต่โดยดี ถ้าลักษณะอย่างนั้นไม่มีปัญหา เราจะไม่เครียด เพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้นผิด

    แต่ที่วัดท่าขนุนนี่ พวกเรารู้ตั้งแต่แรกว่าบวชมาแล้วจะเจออะไรบ้าง ? เราจะเครียดมาก จึงเป็นเรื่องที่เราต้องมาฝึกฝนอบรม ทำตัวให้ใกล้เคียงกับพระหน่อย ก็คือการเป็นนาค ซึ่งนาคในที่นี้ ความหมายก็คือ ผู้ได้รับการฝึกดีแล้ว เพราะว่าบาลีคำว่า นาค นั้นแปลได้หลายความหมาย หมายถึง ผู้ประเสริฐสุดอย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้ หมายถึง ผู้เป็นใหญ่ในหมู่คน อย่างพระมหากษัตริย์ก็ได้ หมายถึง สัตว์ใหญ่ที่ได้รับการฝึกดีแล้ว อย่างช้างก็ได้ หรือแม้กระทั่งเดรัจฉานกึ่งทิพย์อย่างงูใหญ่ประเภทหนึ่งที่เรียกว่า พญานาคก็ได้

    ในเมื่อนาคในที่นี้คือผู้ที่ได้รับการฝึกดีแล้ว แปลว่าเราต้องฝึกหัดขัดเกลาตนเอง โดยเฉพาะการท่องคำขานนาคให้ได้ เพราะว่าการบวชนั้น เรานำเอาผ้ากาสาวพัสตร์เข้าไปร้องขอในท่ามกลางสงฆ์ ขอให้ยกเราเข้าสู่หมู่ ก็คือเป็นอุปสัมบัน ผู้มีศีลเสมอกัน เราเป็นผู้ไปร้องขอก็ต้องว่าด้วยตัวเอง ไม่ใช่ให้คนอื่นสอน ดังนั้น ที่นี่ถ้าว่าคำขานนาคไม่ได้ก็กลับไปฝึกหัดใหม่ ไม่มีการผ่อนผันใด ๆ ทั้งสิ้น ก็แปลว่าในเบื้องแรกของเราก็คือท่องขานนาคให้ได้

    ประการต่อไปสำคัญที่สุด ศึกษาศีล ๒๒๗ ข้อ ซึ่งเป็นสิ่งที่พระภิกษุเราต้องยึดถือและปฏิบัติให้ครบถ้วน ไปดูตำราว่ามีอะไรที่เราทำไม่ได้บ้าง ถ้ามั่นใจว่าทำไม่ได้แน่นอนก็อย่าบวชเลย เพราะว่าบวชไปก็ขาดทุนเปล่า มีแต่หานรกใส่ตัวเพิ่มขึ้นอยู่ทุกวัน

    เนื่องเพราะว่าบวชมา ญาติโยมเขาก็นึกว่าดี ให้ความเคารพ ให้การเลี้ยงดู ให้การอุปถัมภ์ค้ำชู โดยหวังบุญหวังกุศล แต่ตัวเรากลายเป็นนาดอน หว่านเมล็ดข้าวลงไปเท่าไรก็ไม่งอก ถึงงอกก็ไม่งาม บุญกุศลที่จะพึงมีพึงได้ของเขาไม่มี แต่ตัวเราเองอยู่กินในสถานภาพของปูชนียบุคคล โทษจึงหนักมาก อย่างที่ได้เปรียบเทียบไปแล้วว่า เราลงทุน ๒๒๗ ล้านบาท ถ้าเจ๊งก็แปลว่าหมดตัว..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,741
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,559
    ค่าพลัง:
    +26,399
    โดยเฉพาะให้ศึกษาให้เข้าใจว่า อาบัติหนักที่โดนแล้วขาดความเป็นพระเลยอย่างปาราชิก ๔ ข้อ ก็คือ

    เสพเมถุน ได้แก่ การมีเมีย

    ลักของคนอื่นเขา ถ้าได้ราคา ๕ มาสก ซึ่งบ้านเราตีราคา ๑ บาทขึ้นไป ขาดความเป็นพระ

    ฆ่าสัตว์ โดยเฉพาะฆ่ามนุษย์ให้ตาย ไม่ว่าจะฆ่าด้วยตนเองหรือสั่งให้คนอื่นฆ่า หรือวางแผนอุบายอะไรก็ตาม ถ้าเขาตายตามที่เราเจตนา เราขาดความเป็นพระทันที

    และข้อสุดท้าย อวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน ไม่ได้ฌาน ไม่ได้สมาบัติ ไม่ได้วิโมกข์ ไม่ได้วิมุติ ไม่ได้มรรค ไม่ได้ผล แล้วบอกว่าได้ ขาดความเป็นพระได้ง่ายมาก

    ปาราชิก ๔ ข้อนี้พลาดเมื่อไร บาลีเปรียบไว้ว่า เหมือนกับตาลยอดด้วน ไม่สามารถจะเจริญงอกงามในพระพุทธศาสนาได้ หรือเปรียบเสมือนถ้วยชามกระเบื้องแตกที่ปากบ่อ ไม่สามารถที่จะใช้งานต่อไปได้ ขืนบวชอยู่ก็มีแต่สร้างทุกข์สร้างโทษให้แก่ตนเองหนักขึ้นไปทุกวัน เพราะว่าไม่ใช่พระ แต่ไปทำตัวเป็นพระเป็นเณร

    เรื่องของอาบัติหนักหรือว่าอาบัติเบาก็ตาม พระเราทำเมื่อไรก็เกิดโทษทันที ไม่ใช่ต้องรอบอกคนอื่น ไม่ใช่ต้องรอให้ศาลมาตัดสินก่อน จึงเป็นเรื่องที่เราต้องสังวรให้มากเอาไว้

    และโดยเฉพาะสังฆาทิเสส ๑๓ ข้อ โดนแล้วขาดความเป็นพระเหมือนกัน แต่มีโอกาสแก้ตัว ก็คือถ้าหากว่าโดนมาก็ไปอยู่ปริวาสกรรมตามโทษานุโทษของตน โดนแล้วสารภาพเลยก็ไปอยู่ปริวาส ๖ วัน ๖ คืน ถ้าโดนแล้วปิดบังไว้นานเท่าไร ก็อยู่ชดใช้ไปแล้วบวกด้วย ๖ วัน ๖ คืน

    ขอยืนยันว่าการจัดปริวาสในปัจจุบันนี้ผิดไปจากเจตนารมณ์ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ไว้ เพราะใช้คำว่า สุทธันตปริวาส จัด ๙ วัน ๙ คืนแล้วจบ เราบริสุทธิ์ สงฆ์สวดรับแล้วคืนสู่หมู่ได้ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าถ้าเราบวชเป็นพรรษาแล้วปิดอาบัติเอาไว้ทั้งพรรษา หรือว่าบวชมาหลายปี ปิดอาบัติมาไว้หลายปี อยู่ปริวาสแค่ ๙ วันแล้วบอกว่าจบ ใช้หัวแม่เท้าข้างไหนคิดดูก็รู้ว่าไม่ใช่..! แต่ส่วนใหญ่แล้วเขามักจะอ้างว่าสุทธันตปริวาส ๙ วัน ๙ คืน ก็เพียงพอแล้ว บริสุทธิ์แล้ว อันนั้นให้เขาเข้าใจของเขาไป
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,741
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,559
    ค่าพลัง:
    +26,399
    แต่ขอให้เข้าใจว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า ปิดบังไว้เท่าไร ต้องชดใช้เท่านั้น ถ้าเป็นกระผม/อาตมภาพนี่ก็โดนเกือบ ๔๐ ปี..! ก็คือถ้าหากว่าจำไม่ได้ว่าปิดบังไว้เท่าไร ท่านบอกว่าให้ชดใช้เท่าเวลาที่เราบวช แล้วยังบวกอีก ๖ วัน ๖ คืน จึงเป็นเรื่องที่นาคทั้งหลายจะต้องพิจารณาให้ดี ถ้าไม่มั่นใจก็อย่าบวชเข้ามา เพราะว่าเรากำลังหานรกใส่ตัว..!

    ถ้าบวชเข้ามาแล้ว มีอย่างเดียวคือแลกกันด้วยชีวิต ถ้าเอาดีไม่ได้ก็ยอมลงอเวจีมหานรกไปเลย ถ้ากำลังใจของเราอยู่ในลักษณะนี้แล้วค่อยบวชเข้ามา ไม่อย่างนั้นแล้วก็มีแต่จะสร้างความเสียหายให้แก่พระพุทธศาสนา เพราะว่าครูบาอาจารย์สมัยนี้เข้าใจผิดบ้าง ตีความพระธรรมวินัยตามใจตนเองบ้าง จึงทำให้พระศาสนาของเราบอบช้ำมากขึ้นเรื่อย ๆ

    ในการสอนหนังสือที่วิทยาลัยสงฆ์ กระผม/อาตมภาพย้ำอยู่เสมอว่า พวกเราทั้งหลายเป็นพระภิกษุสามเณรเสียส่วนใหญ่ ถ้าสร้างความเจริญให้กับพระพุทธศาสนาไม่ได้ ก็อย่าทำให้พระพุทธศาสนานี้เสียหายหรือพังลงไปด้วยมือของเรา

    ดังนั้น..เรื่องวันนี้จงอย่าคิดว่าเป็นการบอกกล่าวแค่นาคทั้งหลายเท่านั้น แต่ขอให้เข้าใจว่า พระภิกษุสงฆ์ สามเณร แม่ชี หรือฆราวาสหญิงชาย ถ้าเราหวังดีปรารถนาดีต่อพระพุทธศาสนา มีวิธีเดียวก็คือฝึกฝนปฏิบัติ กาย วาจา ใจ ของตนเอง ให้เข้าถึงธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างน้อยที่พระโสดาบัน เราจึงสามารถที่จะยืนยันได้ว่าพระพุทธศาสนานี้ดีอย่างไร แล้วขณะเดียวกัน ถ้ามีใครมากล่าวตู่ เราก็เป็นทนายแก้ต่างให้กับพระพุทธศาสนาได้

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันจันทร์ ๒๗ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...