ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น จะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เราต้องไม่ไปใส่ใจ

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 3 กุมภาพันธ์ 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,741
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,559
    ค่าพลัง:
    +26,399
    05DF22FA-2B65-43C1-B1A2-A4822972E33B.jpeg

    ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น จะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เราต้องไม่ไปใส่ใจ ยกเว้นคำภาวนาและลมหายใจเข้าออก แต่คราวนี้คำภาวนาและลมหายใจเข้าออกนั้น เราต้องไม่บังคับลมหายใจของตนเอง ต้องปล่อยให้เป็นไปตามสภาพปกติที่ร่างกายต้องการ จะหายใจแรง หายใจเบา หายใจยาว หายใจสั้นก็ได้ ร่างกายต้องการแบบไหน เราแค่กำหนดใจตามรู้ไปเท่านั้น

    เมื่อถึงเวลา ถ้าหากว่าลมหายใจเบาลง เราก็กำหนดรู้ว่าลมหายใจเบาลง ลมหายใจหายไปหรือว่าคำภาวนาหายไป เราก็กำหนดรู้ว่าลมหายใจหายไป คำภาวนาหายไป ไม่ต้องพยายามทำให้เป็นเช่นนั้น และอย่าไปดิ้นรนออกจากสภาพอย่างนั้น มีหน้าที่ตามดูตามรู้ไปเฉย ๆ

    ถ้าสามารถวางกำลังใจได้ถูกต้อง สภาพจิตจะดิ่งลึกเข้าไปสู่สมาธิขั้นสูงได้อย่างรวดเร็ว เพราะว่านักปฏิบัติธรรมทั้งหมดนั้น ส่วนใหญ่ที่วางกำลังใจไม่ถูก เนื่องจากขาดอุเบกขา กำลังใจในสมาธิทุกระดับต้องมีอุเบกขา ถึงจะประสบความสำเร็จ

    คำว่า อุเบกขา ไม่ใช่วางเฉย ไม่ทำอะไรเลย แต่เป็นการปล่อยวางความอยากลงทั้งหมด ทำใจว่าเรามีหน้าที่ภาวนา ส่วนผลจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ถ้าวางกำลังใจผิด ก็จะเข้าถึงได้ยาก แต่ถ้าวางกำลังใจถูก ก็จะเข้าถึงได้ง่ายมาก

    เพราะว่าอารมณ์ของสมาธิ ตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป ต้องมีอุเบกขาประกอบอยู่ด้วย แต่พวกเราอาจจะแยกไม่ออก ก็คืออารมณ์ตั้งมั่นตัวสุดท้าย ที่ภาษาบาลีเรียกว่า เอกัคตารมณ์ ต้องประกอบไปด้วยอุเบกขา ถ้าไม่มีอุเบกขา ก็ไม่สามารถที่จะทรงอารมณ์นั้นได้

    ตราบใดที่เราปฏิบัติธรรมด้วยความอยาก โอกาสที่จะได้ก็มีน้อยมาก เหมือนอย่างตัวกระผม/อาตมภาพเอง แค่ปฐมฌานอย่างเดียว ศึกษาตำราจนทะลุปรุโปร่งแล้ว ก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึง ๓ ปีเต็ม ๆ ไม่ได้อะไรเลย..! เนื่องจากทำด้วยความอยากได้ วันแล้ววันเล่า ภาวนาไปก็ตามดูแต่ละขั้นตอน ตำราเขียนไว้อย่างนี้ นี่คือวิตก นี่คือวิจาร นี่คือปีติ นี่คือสุข แล้วก็หายเงียบ..!

    เนื่องเพราะว่าตัวอยากคือตัวอุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน ในเมื่อกำลังใจฟุ้งซ่าน ก็ย่อมไม่ทรงตัว ไม่สามารถที่จะเป็นสมาธิตามที่ต้องการได้ เมื่อ ๓ ปีผ่านไปแล้วไม่ได้อะไรเลย วันนั้นเกิดความเบื่อหน่ายขึ้นมาว่า ทำเท่าไรก็ไม่ได้สักที จะได้ไม่ได้ก็ช่างมัน เรามีหน้าที่ภาวนาก็แล้วกัน โป๊ะเดียว..ได้ตอนนั้นเลย..! ก็คือก่อนหน้านี้วางกำลังใจเกินความต้องการ พอลดกำลังใจลงมาว่า ได้ไม่ได้ก็ช่าง ตรงร่องพอดี..!

    ในเมื่อพวกเราทั้งหลายเห็นตัวอย่างตรงนี้ ก็น่าจะเข้าใจว่า ถ้าเราทำด้วยความอยาก ก็มีแต่จะเสียเวลาไปวันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วปีเล่า ทำอย่างไรที่เราอยาก แต่เมื่อถึงเวลาภาวนา ต้องทิ้งความอยากนั้นให้ได้ วางกำลังใจว่าเรามีหน้าที่ภาวนาอย่างเดียวเท่านั้น ผลจะเกิดหรือไม่เกิด จะเป็นหรือไม่เป็นก็ช่าง ไม่ไปใส่ใจตรงจุดนั้น

    ส่วนอีกหลายท่านที่ภาวนาไปจนกำลังใจทรงตัวแล้ว บางทีก็เกิดความฟุ้งซ่านขึ้นมาเฉย ๆ รัก โลภ โกรธ หลง ตีกลับมารุนแรงมาก ความจริงเรื่องพวกนี้ไม่ได้เกิดขึ้นมาเฉย ๆ แต่เกิดจากที่เราเผลอเราพลาด ไปเปิดโอกาสให้กับกิเลสเอง แต่ถ้าไม่ใช่คนช่างสังเกต ก็จะไม่รู้ว่าเราไปเปิดโอกาสให้กับกิเลสตอนไหน

    จะยกตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของอาตมภาพเองก็คือ เมื่อหลายสิบปีก่อนมีโอกาสไปที่วัดวังก์วิเวการามของหลวงพ่ออุตตมะ เพื่อไปกราบทำบุญกับท่าน เมื่อได้ทำบุญเสร็จสรรพเรียบร้อย ก็เดินหาซื้อของที่ระลึก ปรากฏว่าเจ้าของร้านน่าจะเหนื่อยมาก ก็เลยฟุบหลับอยู่กับโต๊ะในร้าน

    พอถามหาราคาสิ่งของ เธอก็เงยหน้าขึ้นมา อาตมภาพรู้สึกใจแกว่งวูบเลย ต้องรีบรั้งกำลังใจตนเองกลับมาพิจารณาว่าเป็นเพราะอะไร เพราะว่าเรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นเป็นเวลาที่นานมากแล้ว เจ้าของร้านที่เป็นผู้หญิงก็ไม่ใช่ความสวยประเภทที่ตนเองชอบ แต่อาการวูบของใจแบบนี้อันตรายมาก มองไปมองมาอยู่พักหนึ่งถึงได้เข้าใจว่า เหตุที่ใจเป็นเช่นนั้น เพราะเราไปคิดไว้ก่อนว่าเขาเป็นผู้หญิง...แค่นั้นเอง

    ในเมื่อคิดไว้ก่อนว่าเป็นผู้หญิง ก็ย่อมมีความคาดหวังว่า รูปร่างจะเป็นอย่างนั้น หน้าตาจะเป็นอย่างนั้น ใช่แบบที่เราชอบหรือไม่ชอบ ดังนั้น...ทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้นมา กำลังใจก็เลยแกว่ง ยังดีที่มีความถนัดและความชำนาญในการระงับตนเอง สามารถรักษากำลังใจเอาไว้ได้..ไม่ฟุ้งซ่านต่อ ไม่อย่างนั้นก็คงจะพังไปอีกนาน..!

    จากตัวอย่างที่ยกมา จะเห็นว่าเราเองเป็นคนไปเปิดให้กิเลสเข้ามาหา ถ้าสามารถสำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เอาไว้ได้ กิเลสเข้ามาไม่ได้แน่นอน แต่เราไปเปิดใจขึ้นมาก่อน ด้วยการไปคิดล่วงหน้าว่านั่นคือผู้หญิง ไม่ว่า คน สัตว์ วัตถุธาตุ สิ่งของ ถ้าเราสักแต่ว่าเห็นก็จบแล้ว แต่ถ้าเราเริ่มไปคิดว่านี่เป็นอะไร ก็พังแล้วเหมือนกัน เพราะเท่ากับว่าไปเปิดให้กิเลสเข้ามาในใจของตนเองได้

    คราวนี้หลายคนพอเปิดให้กิเลสเข้ามาในใจของตนเองแล้ว จัดการไม่ได้ ก็เกิดความฟุ้งซ่าน กรรมฐานพังไปเป็นเดือน ๆ ถ้าเป็นอย่างสมัยที่ฝึกใหม่ ๆ กระผม/อาตมภาพใช้วิธีวิ่งภาวนา บางทีก็วิ่งทั้งคืน ดูสิว่ามึงจะหายบ้าไหม..!? จนกระทั่งเหนื่อย หมดสภาพ นอนสลบไสลไปเลยก็มี ..!

    สำคัญตรงที่ว่า เราสู้จริงหรือเปล่า ? ถ้าเราสู้ไม่จริงก็แพ้กิเลส แต่ถ้าเราสู้จริง กิเลสจะแพ้เรา วิ่งภาวนาไปทั้งคืน จะได้เรื่องไม่ได้เรื่องอย่างไรก็ช่าง ถ้ายังฟุ้งซ่านกูไม่หยุด ท้ายสุดร่างกายก็เหนื่อย หมดสภาพ สลบไสล หลับไปเอง ฟุ้งซ่านไม่ไหว..!

    บางทีไม่สามารถจะกำหนดภาพพระที่ตนเองถนัดได้ เพราะว่าใจคิดไปสารพัด ก็ไปนั่งอยู่หน้าพระประธาน แบบที่ท่านทั้งหลายกำลังนั่งอยู่ที่นี่ ไปนั่งมองพระ ทิพจักขุญาณกูก็ไม่เอา จุตูปปาตญาณ เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ อตีตังสญาณ อนาคตังสญาณ ยถากัมมุตาญาณ ไม่เอาทั้งนั้น กูเอาปัจจุปันนังสญาณ มองเห็นด้วยตานี่แหละ..ชัดดี..!

    มึงแน่จริงบังคับให้กูทำชั่วให้ได้สิ...! นี่คือความรู้สึกที่ต่อต้านกับกิเลสในช่วงนั้น มึงบังคับให้กูคิดได้ แต่มึงบังคับให้กูพูดไม่ได้..! มึงบังคับให้กูทำไม่ได้..! อย่างน้อย ๆ ช่องทางที่กิเลสจะทำร้ายเราได้แค่ ๑ ใน ๓ เท่านั้น อีก ๒ ส่วนเราชนะ..! ท่านทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุ สามเณร แม่ชี ฆราวาส เคยสู้มาขนาดนี้ไหม ?

    อีกส่วนหนึ่ง ถ้าขนาดนี้แล้วยังไม่ไหวจริง ๆ หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านให้คาถาไว้ภาวนา ท่านเรียกว่า คาถาเรียกจิต ถ้าหากว่าภาวนาคาถานี้ จะทำให้ใจที่ฟุ้งซ่านสงบลงได้เร็ว กระผม/อาตมภาพเคยลองทำมาแล้ว อย่างแย่ที่สุด ก็ไม่เกิน ๒๐ นาที กำลังใจสามารถทรงตัว กลับมาทรงฌานได้อย่างเดิม คาถาว่า อิติ สัมมาสัมพุทธัสสะ มะมะ จิตตัง

    ถ้าใครที่บูชามีดลูกพราหมณ์พรหมพิทักษ์ไป จะรู้ว่านี่เป็นคาถาที่ท่านปู่ท้าวสหัมบดีพรหม ให้ใช้ในการอาราธนามีดหมอ โดยที่ท่านให้เหตุผลว่า การรักษาใจรักษายากที่สุด การใช้มีดหมอของท่านรักษาโรคอื่น ถ้ารักษาใจได้ ก็รักษาได้ทุกโรค..!

    ดังนั้น...ถ้าหากว่าทุกคนไม่ไหวจริง ๆ ก็ให้ภาวนาคาถานี้แทน หยุดจากกองกรรมฐานอื่น ๆ ทั้งหมด หันมาภาวนา อิติ สัมมาสัมพุทธัสสะ มะมะ จิตตัง แทน ไม่นาน..พอใจสงบ เราก็กลับไปหากองกรรมฐานตามเดิม

    วันนี้ที่กล่าวขึ้นมาเพราะว่า ส่วนใหญ่ปัญหาที่ท่านสุธรรมส่งมาให้นั้น ต้องบอกว่าเป็นการปฏิบัติในระดับอนุบาลทั้งนั้น..! แล้วก็เป็นอนุบาล ๑ ด้วย ไม่ใช่อนุบาล ๒ อนุบาล ๓ ก็เลยทำให้เห็นว่า จริง ๆ แล้ว ในเรื่องของการปฏิบัติธรรม ถ้าเราตั้งหน้าตั้งตาทำไป จะได้คำตอบเองอยู่ในตัวอยู่แล้ว แต่ว่าท่านทั้งหลายที่ถามมานั้น ไม่มีความเพียรพยายามที่จะทำ เอาแต่ถามอย่างเดียว ซึ่งจะเป็นโทษมากกว่าเป็นประโยชน์

    ถ้าเราทำ ติดขัดแล้วมาถาม จะช่วยให้สามารถแก้ไขข้อข้องขัดตรงนั้น..ก้าวพ้นไปได้ แต่ถ้าเราถามแล้วค่อยไปทำ จะเกิดความฟุ้งซ่านขึ้นมาแทน เพราะคอยแต่จะดูว่า เราทำแล้วจะเป็นอย่างที่หลวงพ่อท่านบอกไหม ? จะเป็นอย่างที่พระอาจารย์ท่านบอกไหม ? ก็จะเสียผลการปฏิบัติไปนานแบบที่ได้ยกตัวอย่างไว้ข้างต้น

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอังคารที่ ๓ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
    ที่มา : www.watthakhanun.com

    #พระครูวิลาศกาญจนธรรม #หลวงพ่อเล็ก
    #ชุมชนคุณธรรม #วัดท่าขนุน
    #ชุมชนคุณธรรมวัดท่าขนุน
    #ชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงขับเคลื่อนด้วยพลังบวร
    #พระพุทธศาสนา #watthakhanun
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...