เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 19 พฤศจิกายน 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,817
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,568
    ค่าพลัง:
    +26,408
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,817
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,568
    ค่าพลัง:
    +26,408
    วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ งานสำคัญของวันนี้ก็คือ กระผม/อาตมภาพไปร่วมกับคณะสงฆ์จังหวัดกาญจนบุรี นำโดยพระเดชพระคุณพระเทพปริยัติโสภณ, ดร. (ปัญญา วิสุทฺธิปญฺโญ ป.ธ.๙) เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ร่วมกันอัญเชิญศพพระเดชพระคุณพระราชรัตนวิมล (พยุง ฐิตสีโล ป.ธ.๔) อดีตเจ้าอาวาสวัดกาญจนบุรีเก่า อดีตที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ขึ้นสู่จิตกาธาน ณ บริเวณที่ตั้งเมรุชั่วคราว วัดกาญจนบุรีเก่า เพื่อเตรียมการพระราชทานเพลิงศพในวันพรุ่งนี้

    ส่วนหนึ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ ผู้ที่ไปร่วมงาน ไม่ว่าพระภิกษุสามเณรหรือว่าญาติโยมก็ตาม มีอยู่ส่วนหนึ่งที่ไม่สวมหน้ากากอนามัยกันเลย อยู่ในลักษณะที่ว่าเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ไม่น่าจะทำอันตรายอะไรตนเองได้ กระผม/อาตมภาพดูแล้วก็ได้แต่สะท้อนใจ เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ความประมาทแบบนี้แหละที่ทำให้เชื้อไวรัสโควิด ๑๙ แพร่ระบาดแล้วระบาดอีก ตายกันแล้วตายกันอีก..!

    เพียงแต่ว่าในระยะนี้ ข่าวคราวด้านนี้จะไม่นำเสนอออกอย่างเป็นทางการ เพราะว่าอยู่ในช่วงการประชุมเอเปค ซึ่งถ้าเสนอออกไปแล้ว อาจจะก่อให้เกิดภาพพจน์ที่ไม่ดีไม่งามแก่ประเทศชาติของเรา

    ตรงจุดนี้หลายท่านอาจจะคิดว่าเป็นเพียง "ผักชีโรยหน้า" ทำไมเราถึงไม่เสนอความจริงให้ชาวโลกได้ประจักษ์ ? ถ้าหากว่าคิดในลักษณะอย่างนั้น เราก็สามารถที่จะคิดได้ แต่ว่าเราต้องคิดดูว่า สิ่งหนึ่งประการใดที่เหมาะสมกับประเทศชาติของเราในระยะนี้ ?

    เนื่องเพราะว่าชาวต่างชาตินั้นไม่ได้มีความเกรงกลัวเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ มาตั้งแต่แรกแล้ว ในยุโรปและอเมริกาก็ล้วนแล้วแต่ประท้วงรัฐบาลของตนที่บังคับให้ฉีดวัคซีนหรือว่าใส่หน้ากากอนามัย เพราะมีความรู้สึกว่าการฉีดวัคซีนนั้นอันตรายต่อชีวิตมากกว่าเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ เสียอีก..!

    ในเมื่อชาวต่างชาติเขาไม่เกรงกลัว และประจวบเหมาะกับประเทศไทยของเรามี Soft Power หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นน้องลิซ่า (ลลิษา มโนบาล) หรือว่าน้องเทนนิส (พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ) ตลอดจนกระทั่งทีมวอลเล่ย์บอลหญิงไทย หรือว่ามวยไทย อาหารไทย รอยยิ้มสยาม

    สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เมื่อรวมกันแล้วเป็นปัจจัยสำคัญ ดึงนักท่องเที่ยวมาบ้านเราแบบถล่มทลาย แม้กระทั่งการประชุมเอเปคครั้งนี้ บางประเทศมีผู้ติดตามมาเป็นร้อย ๆ คน แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วก็คือมาเที่ยว มาสัมผัสชีวิตในบ้านเราเมืองเรา ปล่อยให้ผู้นำเข้าประชุมไปแค่คนสองคนเท่านั้น..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,817
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,568
    ค่าพลัง:
    +26,408
    ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่เขาไม่กลัวเกรง เราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องนำเสนอเพื่อให้ภาพพจน์ของตนเองเสื่อมเสีย เพราะว่าอย่างไรเสีย เขาก็ตั้งใจที่จะมาอยู่แล้ว และเขาก็รู้อยู่แล้วว่า ถ้ามีความเสี่ยงในด้านนี้ เขาจะต้องยอมรับอย่างไรบ้าง

    ดังนั้น..ในสิ่งที่บางคน บางคณะ ทำการประท้วงในช่วงนี้ ก็ต้องบอกว่าเป็นการหาเหตุ หรือว่าสร้างเหตุขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์แอบแฝงอย่างแน่นอน เนื่องเพราะว่าเวลาอื่นมีเวลาประท้วงมากมาย แต่ท่านทั้งหลายไม่ประท้วง ท่านทั้งหลายมาประท้วงในลักษณะที่ทำลายภาพพจน์ของประเทศเรา ไม่รู้จักช่วยกันรักษาหน้าตาของประเทศ อยู่ในลักษณะที่ทำไปเพื่อที่จะ "ดิสเครดิต" ทำให้บ้านเราเมืองเราเป็นที่เสื่อมศรัทธาของชาวโลกเขา

    ในส่วนนี้ก็ต้องบอกว่า ท่านทั้งหลายทำอะไรแบบไม่ถูกกาลเทศะ โดยเฉพาะบรรดาท่านที่สักแต่ว่าเป็น "ผ้าเหลืองห่มตอ" คณะสงฆ์ของเรา ตลอดจนกระทั่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็มีกฎระเบียบข้อบังคับเอาไว้ ถ้าท่านประกาศตัวว่าเป็นพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา แต่ท่านไม่ทำตามในสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงห้ามหรือว่าทรงอนุญาต แล้วอย่างนั้นท่านจะบอกว่าเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรสได้อย่างไร ?

    โดยเฉพาะองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสเอาไว้ชัดเจนแล้วว่า ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ราชูนํ อนุวตฺติตุํ เราขอให้คล้อยตามพระราชา คำว่า คล้อยตามพระราชา ในที่นี้ก็คือปฏิบัติตามกฎหมายบ้านเมือง เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าคำสั่งของพระราชาในอดีตก็คือกฎหมายนั่นเอง

    ในเมื่อบ้านเราเมืองเรายังไม่อนุญาตให้พระภิกษุสามเณรมีการแสดงออกทางการเมือง เพราะว่าไม่เหมาะสมแก่สมณสารูป ต่อให้ท่านทั้งหลายมีแนวคิดที่ก้าวหน้าขนาดไหนก็ตาม ท่านก็ต้องคำนึงถึงสมณสัญญา ความรู้สึกว่าตนเองเป็นนักบวช สมณสารูป การที่เราเป็นนักบวชแล้วต้องปฏิบัติอย่างไร จึงเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของประชาชน ต้องคำนึงถึงพระธรรมวินัย กฎหมายบ้านเมือง และจารีตประเพณีอีกด้วย

    ท่านทั้งหลายแสดงออกอยู่ในลักษณะที่ภาษาวัยรุ่นเรียกว่า "เวอร์วังเกินไป" ลักษณะแบบรับงานมาอย่างชัดเจน แบบนั้นต่อให้ใช้หัวแม่เท้าข้างซ้ายคิด เขาก็รู้อยู่แล้วว่า "มีงานแน่" สิ่งที่ท่านทั้งหลายทำจึงกลายเป็นว่า "ปืนด้าน" ไม่สามารถที่จะสร้างอารมณ์ร่วมให้เกิดขึ้นแก่ส่วนรวมได้ เพราะรู้อยู่แล้วว่า ถ้าหากว่าเต้นตามท่านทั้งหลายไป ก็เท่ากับว่าโดนจูงจมูกดี ๆ นี่เอง ถ้าพูดตามภาษาวัยรุ่นสมัยนี้ก็คือ "ไม่ได้กินหญ้า" เพราะฉะนั้น..อย่ามาจูงจมูกกัน เป็นต้น
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,817
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,568
    ค่าพลัง:
    +26,408
    เรื่องเหล่านี้องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบัญญัติพระธรรมวินัยเอาไว้ ถ้าเราทั้งหลายมีความเคร่งครัดเพียงพอ ความเสียหายต่าง ๆ ก็จะไม่เกิดขึ้นเลย เพราะว่าสิ่งที่พระองค์ท่านบัญญัติเอาไว้นั้น สมบูรณ์พอเพียงแล้ว แต่ว่าเป็นความสมบูรณ์พอเพียง สำหรับผู้ที่มีหิริ โอตัปปะ คือมีความละอายแก่ใจ ไม่กล้าทำชั่ว มีความเกรงกลัวผลของความชั่วนั้นจะกลับมาสนองตนเอง เป็นต้น

    กระผม/อาตมภาพนั้น ในระยะแรกโยมแม่ขอให้บวชทุกปี ต้องปฏิเสธแล้วปฏิเสธอีก ปฏิเสธกันอย่าง "สุดลิ่มทิ่มประตู" เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าก่อนอายุครบบวชก็บังเอิญได้ไปเห็นนรก และเห็นอย่างชัดเจนว่า นรกแต่ละขุมนั้นนักบวชลงไปจนแน่นขนัดไปหมด ถ้าถามว่าแน่นขนาดไหน ? คนรุ่นเก่าที่เคยใช้ไม้ขีด ถ้าเปิดกล่องไม้ขีดออกมา แล้วหัวไม้ขีดแน่นขนาดไหน นักบวชในนรกก็มากประมาณนั้น ทำให้กระผม/อาตมภาพกลัวมากว่า การบวชเข้าไปแล้ว ถ้าหากว่าเราไม่สามารถทรงความดีเอาไว้ได้ เราก็จะกลายเป็นเหยื่อของอบายภูมิแบบท่านทั้งหลายที่ลงไปให้เห็น..!

    ตรงจุดนั้นอรรถกถาจารย์ท่านกล่าวเอาไว้ว่า ปากทางลงสู่ขุมนรกนั้นมีการพาดราวเหล็กเอาไว้ สำหรับเป็นที่แขวนจีวรของบรรดานักบวชที่โดนนำตัวไปลงโทษ เพราะว่าประพฤติทุจริต คิดไม่ชอบด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ แล้วต้องรับโทษทัณฑ์ไปนั้น ราวเหล็กที่ว่านั้นมีขนาดใหญ่เท่าลำตาล

    เราลองนึกดูว่าใหญ่โตขนาดไหน ? ต้นตาลอย่างไม่มี ๆ เส้นผ่าศูนย์กลางอย่างน้อยก็ต้อง ๑ ฟุต แต่ท่านบอกไว้ว่า ราวเหล็กทั้งหลายเหล่านั้นรับน้ำหนักจีวรจนแอ่นแทบจะติดพื้น ก็เป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนว่า บรรดานักบวชของเรานิยมลงสู่อบายภูมิมากมายขนาดไหน..! กระผม/อาตมภาพจึงได้กลัวจนหัวหด ไม่กล้าที่จะรับปากโยมแม่ว่าบวชให้

    ผ่านไปปีแล้วปีเล่า จนอายุ ๒๗ ปี พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ถึงได้ปรารภว่า "เล็ก..ข้าต้องการพระบวชแก้บน ๓ องค์ แกบวชให้ข้าได้ไหม ?"

    ปกติแล้วที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านถาม ได้ต้องตอบว่า "ได้" ไม่ได้ก็ต้องตอบว่า "ไม่ได้" แต่ว่างานนี้กระผม/อาตมภาพกลับบอกว่า "ขออนุญาตคิดดูก่อนครับ" ท่านก็หัวเราะแล้วบอกว่า "ไม่เป็นไร รอพ่อกลับจากนิวซีแลนด์ก่อนค่อยให้คำตอบก็ได้"
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,817
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,568
    ค่าพลัง:
    +26,408
    เมื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านกลับจากนิวซีแลนด์ในวันที่ ๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๒๙ กระผม/อาตมภาพไปรับท่านที่สนามบินนานาชาติดอนเมือง เมื่อกราบเสร็จเรียบร้อย ก็กราบเรียนถวายท่านว่า "ผมยินดีบวชขอรับ จะให้ไปอยู่วัดวันไหนขอรับ ?" พระเดชพระคุณหลวงพ่อบอกว่า "ถ้าพร้อมก็ไปได้เลย" กระผม/อาตมภาพจึงกระโดดขึ้นรถตู้ของทางวัดท่าซุง ไปวัดเดี๋ยวนั้นเลย..!

    โดยมีโยมแม่ซึ่งรู้ใจลูกที่สุด เพราะว่ากระผม/อาตมภาพนั้น ปกติถ้าวัดมีงาน ก็จะไปก่อนงาน ๒ วัน เพื่อช่วยเตรียมงาน และจะกลับหลังงาน ๑ วัน เพื่อช่วยเก็บงาน แต่ว่าครั้งนี้ไปเป็นอาทิตย์แล้วยังไม่กลับบ้าน โยมแม่ก็หอบเอาอัฐบริขารไปถวายพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง กราบเรียนว่า "ดิฉันขอบวชลูกชายเจ้าค่ะ"

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อบอกว่า "โยม..ตั้งใจเสียใหม่ งานนี้เป็นการอุปสมบทหมู่ ตอนนี้สมัครมา ๓๐ กว่าคนแล้ว ขอให้โยมตั้งใจว่า ขอเป็นเจ้าภาพบวชพระรุ่นนี้ทุกรูป" โยมแม่จึงตั้งใจใหม่ และนำบริขารถวายพระเดชพระคุณหลวงพ่อไป

    กระผม/อาตมภาพบวชตั้งแต่วันนั้นมาจนถึงวันนี้ได้เพราะรู้สึกว่า ในสมัยพุทธกาลศีลทุกข้อสมบูรณ์บริบูรณ์ ยังมีพระสามารถไปพระนิพพานกันได้มากมายขนาดนั้น ตัวเรามาบวชในยุคนี้ มีกำไรมากมายมหาศาล

    ศีลเกี่ยวกับการสร้างสิ่งของ อย่างเช่นว่าหล่อสันถัด หรือว่าเย็บผ้าไตรจีวร ตลอดจนกระทั่งทำข้าวของเครื่องใช้ และศีลที่เกี่ยวกับนางภิกษุณีนั้น ปัจจุบันนี้ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติแล้ว เพราะว่าข้าวของเครื่องใช้ ส่วนใหญ่ญาติโยมก็ถวายมาเหลือเฟือ นางภิกษุณีก็ไม่มี ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เรามีกำไรตั้งมากมายขนาดนี้ ถ้าไม่สามารถที่จะไปพระนิพพานได้ก็ยอมลงนรกไปเถอะ..! แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาบวชปฏิบัติธรรมมาจนถึงทุกวันนี้


    ดังนั้น..ในส่วนที่ท่านทั้งหลายมีการแสดงออกที่น่าเกลียดน่าชัง โดยเฉพาะในส่วนของนักบวชที่ห่มจีวร ประกาศตนเป็นพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ไม่ว่าท่านจะหลงผิด โดนคนกล่อมเกลาให้หลงเชื่อก็ดี หรือว่ารับงานมาก็ตาม ขอให้ท่านได้ทราบว่า สิ่งที่ท่านกระทำนั้น ถึงเวลาก็ย่อมส่งผลต่อท่านเอง กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่เวทนา มองดูอยู่ไกล ๆ ไม่สามารถที่จะช่วยเหลือได้ด้วยประการทั้งปวง ใครทำใครได้ ไม่สามารถที่จะรับแทนกันได้เสียด้วย..!

    วันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันเสาร์ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...