เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 1 ตุลาคม 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,759
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,561
    ค่าพลัง:
    +26,401
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,759
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,561
    ค่าพลัง:
    +26,401
    วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ ภารกิจสำคัญวันนี้ ไม่ใช่การไปจ่ายเงินสนับสนุนสถาบันวิปัสสนาธุระ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย แล้วก็ไม่ใช่งานปลุกเสกวัตถุมงคลที่วัดสี่แยกเจริญพร แต่เป็นงานอบรมก่อนสอบนักธรรมชั้นตรีสนามหลวงที่วัดเขื่อนวชิราลงกรณ

    เรื่องของการอบรมก่อนสอบนั้น จะว่าไปแล้วก็คือการเขย่าขวดไม่ให้ตัวยานอนก้น แต่ว่าหลายท่านก็เข้าใจผิด การอบรมก่อนสอบ ถ้าเรียกกันสั้น ๆ คือ "การติว" ในภาษาอังกฤษ เป็นการทบทวนสิ่งที่เราศึกษามาแล้ว เพื่อให้จำขึ้นใจยิ่งขึ้น ถ้าหากว่านับกันตามหลักการฟังเทศน์ ก็คือ อัสสุตัง สุณาติ การได้ทบทวนของเก่า หรือถ้าหากว่าใครที่ศึกษาน้อย เรียนไม่ถึง ท่องไม่ถึง ก็จะเป็น สุตัง ปริโยทเปติ ก็คือ ได้ฟัง ได้ศึกษาของใหม่

    เพียงแต่ว่าสิ่งที่ทำไปนั้น บางทีอาจจะไม่คุ้มกับงบประมาณที่พระสังฆาธิการทั้งหลายร่วมกันบริจาคไป เพราะถึงหลายวัดจะให้ความสำคัญ แต่บุคคลที่เข้ารับการอบรมก็ไม่ค่อยได้ใส่ใจ ซึ่งเป็นเรื่องที่ "หัวเราะไม่ออก ร้องไห้ไม่ได้" อีกเช่นกัน

    แบบเดียวกับเมื่อไม่นานมานี้ ที่กระผม/อาตมภาพเข้ารับการอบรม ในโครงการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรนักเผยแผ่พระพุทธศาสนา พระเดชพระคุณพระเทพปฏิภาณกวี (บุญมา อาคมปุญโญ ป.ธ.๘) วัดประยุรวงศาวาส หรือที่กระผม/อาตมภาพเรียกง่าย ๆ ว่า "ท่านเจ้าคุณบุญมา" ท่านบอกว่า ในเขตปกครองของท่านนั้น เมื่อสำรวจจริงจังแล้ว มีพระภิกษุจำนวนมากที่ไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนอะไรเลย เพราะเห็นว่าทำให้เสียเวลา สู้ไปยืนบิณฑบาตในตลาดแล้วขายอาหารให้กับแม่ค้าขายกับข้าวไม่ได้ ได้เงินเร็วดี ฟังแล้ว "น้ำตาจิไหล" ..! นี่คือเรื่องที่แม้แต่เจ้าคณะปกครองในกรุงเทพฯ ยังพบ

    ส่วนทองผาภูมิของเรานั้น ท่านทั้งหลายก็รู้อยู่ว่า ถ้าพระภิกษุสามเณรจะศึกษาในระดับใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นระดับประกาศนียบัตร ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก กระผม/อาตมภาพส่งเรียนทั้งนั้น แต่ก็ยังมีบุคคลที่ตั้งใจเรียนแค่ไม่กี่รูป ส่วนใหญ่ก็จะมีข้ออ้างเพื่อที่จะไม่ไปเรียน อย่างเช่นว่า เดินทางไกล ไม่มีใครดูแลวัด ผมแก่แล้วเรียนไม่ไหว ไม่มีค่าเรียน สารพัดข้ออ้าง..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,759
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,561
    ค่าพลัง:
    +26,401
    ในเรื่องของการเรียนการศึกษานั้น ไม่ว่าจะทางโลกหรือทางธรรมก็สำคัญทั้งหมด เพราะว่าเป็นการเพิ่มวิสัยทัศน์ เพิ่มความชำนาญ เพิ่มความแตกฉานในวิชาการที่ตนศึกษา ถ้าหากว่าเราทั้งหลายไม่ได้สนใจ นานไปพระพุทธศาสนาก็จะอยู่ไม่ได้ เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าถ้าเราไม่ศึกษาปริยัติธรรม จะเน้นเอาการปฏิบัติธรรมอย่างเดียว ย่อมไปไม่รอด เหมือนอย่างกับคนที่เดินส่งเดช โดยไม่รู้ว่าหนทางที่จะไปนั้นเป็นอย่างไร

    การเรียนเหมือนกับการศึกษาแผนที่ก่อนเดินทาง คือ อย่างน้อยก็รู้คร่าว ๆ ว่าต้องมุ่งไปทางไหน สภาพเส้นทางเป็นอย่างไร ส่วนของจริงของแท้นั่นก็คือ ต้องลงมือปฏิบัติตามที่ตนเองศึกษามา จนกระทั่งเกิดผลลัพธ์ให้เราได้ใช้ในการดำเนินชีวิต หรือปรับปรุงพัฒนาสภาพ กาย วาจา ใจ ของเรา จากต่ำสุดจนสูงสุด

    หลายท่านไม่ได้สนใจในเรื่องของการเรียนต่อ ศึกษาต่อ ทั้ง ๆ ที่โอกาสอย่างนี้มีน้อยมาก อย่างเช่นสมัยก่อนบางท่านโอดครวญกับกระผม/อาตมภาพเมื่อบอกให้ไปเรียนว่า "ที่มาบวชก็เพราะเบื่อเรียนครับ..!" ฟังแล้วก็ "น้ำตาจิไหล" เหมือนกัน

    สำหรับคนอื่นเป็นอย่างไรไม่ทราบ แต่สำหรับกระผม/อาตมภาพเอง เวลาเรียนก็คือเวลาพักผ่อน เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าเวลาเรียน กระผม/อาตมภาพเรียนจริง ๆ ท่านที่อยู่ทันจะเห็นว่า ตั้งแต่เรียนระดับประกาศนียบัตรบริหารกิจการคณะสงฆ์ กระผม/อาตมภาพลาออกจากการเป็นเจ้าคณะตำบลเลย แม้จะโดนพระผู้ใหญ่ทักท้วงว่า "ให้เลขานุการทำหน้าที่แทนก็ได้" แต่กระผม/อาตมภาพไม่ใช่คนแบบนั้น เพราะว่าเลขานุการทำหน้าที่แทน ถ้าหากว่าผิดพลาดแล้วผู้ใดรับผิดชอบ ? ก็ต้องเจ้าของตำแหน่ง ไม่ใช่เลขานุการรับผิดชอบ

    เรื่องของการศึกษาเป็นการเพิ่มวิสัยทัศน์ พระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ (นิยม ฐานิสฺสโร ป.ธ.๙) อดีตเจ้าคณะใหญ่หนกลาง อดีตเจ้าอาวาสวัดชนะสงครามกล่าวเอาไว้ว่า นกไม่มีขน คนไม่มีความรู้ ขึ้นสู่ที่สูงไม่ได้ กระผม/อาตมภาพอยากจะบอกเพิ่มไปว่า "ถึงขึ้นไปได้ก็อยู่ไม่นาน" เพราะความรู้ไม่พอกับตำแหน่งที่ตนเองดำรงอยู่

    เพียงแต่ว่าถ้าท่านทั้งหลายจะศึกษา สิ่งหนึ่งที่ลืมไม่ได้เลยก็คือเรื่องของการภาวนา การภาวนาในที่นี้ กระผม/อาตมภาพเน้นแค่สมาธิ คือสมถกรรมฐาน ไม่ต้องไปถึงวิปัสสนากรรมฐาน เพราะว่าถ้าสมาธิของเราทรงตัว การเรียนทุกอย่างจะง่ายไปหมด ถ้าสมาธิไม่ทรงตัว มีแต่จะท้อถอย แล้วท้ายที่สุดก็เลิกไปเอง ก็แปลว่าในเรื่องของสมาธินั้น เกื้อหนุนทั้งในทางโลกและในทางธรรม
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,759
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,561
    ค่าพลัง:
    +26,401
    บุคคลที่สมาธิทรงตัว นอกจากเรียนง่ายแล้วยังจำแม่น ยังจำได้นาน อย่างที่กระผม/อาตมภาพเคยบอกเอาไว้ว่า สิ่งที่ตัวเองเรียนมาตั้งแต่ชั้นประถมปีที่ ๑ จนถึงปริญญาเอก ต้องการฟังตรงไหนก็ให้บอกมา กระผม/อาตมภาพสามารถท่องให้ฟังได้ แม้กระทั่งชื่อ-นามสกุลของครูบาอาจารย์ที่สอนมาก็ยังจำได้แม่น บรรดาครูประจำชั้นตั้งแต่ชั้นประถมปีที่ ๑ มา ชื่อนามสกุลก็ยังอยู่ในใจกระผม/อาตมภาพมาตลอด

    ชั้น ป.๑ คือ ครูพิส ถิ่นญวน (พิสตัวนี้ใช้ พ.พาน สระอิ ส.เสือ สะกด)

    ครูชั้น ป.๒ คือ ครูเสงี่ยม หรั่งนิ่ม

    ครูชั้น ป.๓ คือ ครูวรวรรณ บุญญกานนท์

    ครูชั้น ป.๔ คือ ครูวิริยะ มีศรีสุข

    ครูชั้น ป.๕ คือ ครูพรพรรณ โฉมวงศ์

    ครูชั้น ป.๖ คือ ครูปิ่นอนงค์ พิบูลย์แถว

    ครูชั้น ป.๗ คือ ครูกัลญา สว่างสุข

    ครูชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ก็คือ ครูชาญ ตุ้มภู่

    ครูชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ คือ ครูเพียงพร หงสะมัต

    ครูชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ คือ ครูทัศนีย์ ถิ่นญวน

    พวกท่านจำได้ไหม ? ยังดีว่ากระผม/อาตมภาพเรียนในเบื้องต้นแค่นี้ ไม่อย่างนั้นแล้วก็คงจะมีคุณครูให้เป็นที่จดจำอีกเป็นจำนวนมาก..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,759
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,561
    ค่าพลัง:
    +26,401
    เพียงแต่ว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้นั้น ถ้าหากว่าสมาธิของเราไม่ดี ความจำจะไม่แม่น สมัยก่อนอ่านตำรา เขาบอกว่า "บางคนมีความจำเหมือนกับภาพถ่าย" คือ สามารถที่จะล้วงควักเอารายละเอียดอะไร ก็แค่ดูภาพถ่ายใหม่อีกครั้งเท่านั้น กระผม/อาตมภาพไม่เข้าใจว่าความจำของตนเองเป็นในลักษณะนั้นหรือเปล่า ? แต่ว่าวิชาที่เรียนไป ไม่ลืมจริง ๆ อย่างที่หลายท่านเห็นก็คือ สามารถท่องไวยากรณ์บาลีแข่งกับพวกท่านที่เพิ่งเรียนใหม่ ๆ ได้

    เรื่องของสมาธิ เมื่อพัฒนาไป นอกจากที่จะช่วยในการศึกษาทั้งทางโลกและทางธรรมแล้ว ยังสามารถที่จะค้ำจุนสภาพร่างกายนี้เอาไว้ได้ ก็คือต่อให้ร่างกายไปต่อไม่ไหว ก็ยังสามารถที่จะลากสังขารไปจนกว่างานจะเสร็จ หรือกว่าที่จะไปถึงเป้าหมายของตัวเอง

    ดังนั้น..เรื่องของสมาธิจึงเกื้อกูลการศึกษาได้ดีที่สุด ที่กระผม/อาตมภาพย้ำกับหลายท่านที่เป็นวิทยากรอบรมค่ายพุทธบุตรว่า ในเมื่อเด็กเข้าวัดมา ก็อย่าให้เสียเปล่า อย่างน้อยต้องรู้วิธีการฝึกสมาธิกลับไป เพราะว่าถ้าเขารู้จักนำไปต่อยอด ก็จะช่วยการศึกษาของเขาได้ดีมาก

    ส่วนของพวกเรา ต้องมาอยู่ในระดับของการปรับไปใช้ในเรื่องของวิปัสสนาภาวนา ก็คือใช้ปัญญาในการพินิจพิจารณา จนกว่าจะเห็นความเป็นจริงของร่างกายนี้ เห็นความเป็นจริงของโลกนี้ ซึ่งก็คือไม่มีอะไรเที่ยง ไม่มีอะไรเป็นความสุขอย่างแท้จริง ท้ายที่สุด ไม่มีอะไรให้ยึดถือมั่นหมายได้ แล้วเราก็จะเกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ถอนใจของตนเองออกมาจากการยึดเกาะ ซึ่งจะได้มากน้อยเท่าไร ก็ขึ้นกับวาสนาบารมีที่สร้างสมมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้

    สำหรับวันนี้
    ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันเสาร์ที่ ๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...