"...พิจารณาร่างกาย ที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่า ร่างกายของเรานี่ ประกอบไปด้วยธาตุ ๔ คือธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ หนัง เนื้อ กระดูก จัดว่าเป็นของแข็ง พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า 'ธาตุดิน' น้ำในร่างกายมีน้ำลาย ปัสสาวะ น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง เป็นต้น อย่างนี้เป็น 'ธาตุน้ำ' คือ ทำธาตุดินให้อิ่มเอิบชุ่มชื่นอยู่ตลอดเวลา อาการพัดไปในร่างกาย เรียกว่า 'ธาตุลม' ก็มีลมหายใจ เป็นต้น แล้วความอบอุ่นในร่างกาย เรียกว่า 'ธาตุไฟ' ที่ร่างกายของเรานี้ ประกอบไปด้วยธาตุ ๔ มันเข้ามาประชุมกันเป็นเรือนร่างชั่วคราว ที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำว่า ไอ้ร่างกายนี้ มันเป็นเพียงธาตุ ๔ มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ท่านบอกว่าการพิจารณาร่างกาย เห็นแต่เพียงว่ามันเป็นธาตุ ๔ โดยเฉพาะ ถ้าธาตุทั้ง ๔ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ มันยังสามัคคีกันเพียงใด ร่างกายของเราก็ถือว่าเป็นร่างกายที่มีความอุดมสมบูรณ์ มีความสุข ถ้าธาตุในร่างกายอย่างใดอย่างหนึ่งพร่องไป อาการป่วยไข้ไม่สบาย มันก็เกิดมีความทุกข์ เหมือนกับโต๊ะ ๔ ขา ถ้ามันสั้นไปเสียขาหนึ่ง วางแล้วมันก็ยังตั้งอยู่ได้ แต่มันโขยกเขยก มันไม่เรียบร้อย ข้อนี้มีอุปมาฉันใด ร่างกายเราก็เหมือนกัน ทีนี้เจ้าธาตุ ๔ นี่ มันจะทรงตัว มีกำลังสม่ำเสมอกันตลอดเวลาก็หาไม่ มันมีการเสื่อม บางวาระธาตุน้ำน้อยไป หายใจไม่สะดวก ความอึดอัดมันก็เกิดขึ้น สำหรับธาตุดิน ถ้าน้อยไปร่างกายก็ทรุดโทรมอย่างกับคนแก่ เด็ก คนหนุ่ม คนสาว ธาตุดินสมบูรณ์บริบูรณ์ มีเนื้อหนังเปล่งปลั่ง ดูสวยสดงดงาม ดูดีน่าชม แต่พออายุ ๓๐ ล่วงไปแล้ว ธาตุดินมันเสื่อมไป ทีนี้การพิจารณาร่างกาย ก็เป็นแต่เพียงร่างกาย ประกอบไปด้วยธาตุ ๔ คือ ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ อันนี้เป็น 'สมถภาวนา' ใน 'มหาสติปัฏฐานสูตร' พระพุทธเจ้าสอนทั้งสมถะและวิปัสสนาร่วมกันไป..." หลวงพ่อพระราชพรหมญาณ (พระมหาวีระ ถาวโร) วัดจันทาราม (ท่าซุง) จ.อุทัยธานี คัดลอกเนื้อหาบางส่วนมาจากหน้าที่ ๔๔-๔๕ ในนิตยสารธรรมปฏิบัติ 'ธัมมวิโมกข์' ปีที่ ๔๐ ฉบับที่ ๔๕๓ เดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ Credit: ขอขอบพระคุณที่มาจาก Facebook สายลมแห่งธรรม