เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๖ กันยายน ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 6 กันยายน 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,759
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,561
    ค่าพลัง:
    +26,401
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๖ กันยายน ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,759
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,561
    ค่าพลัง:
    +26,401
    วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ กระผม/อาตมภาพไปเห็นคลิปโฆษณาอันหนึ่งที่พรรคพวกส่งมาให้ดูในกลุ่มไลน์ ปรากฏว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก แต่ว่าทางด้านผู้โฆษณาคงจะขาดความเข้าใจ ก็เลยให้พระที่อยู่ในโฆษณาแสดงอาการชัดเจนว่า สิ่งของที่ถวายสังฆทานมา ถ้าพระไม่ได้ใช้ อุทิศส่วนกุศลไป พ่อแม่ที่ล่วงลับไปแล้วก็ไม่ได้บุญ..!

    ตรงจุดนี้ต้องบอกว่าผิดจากความเป็นจริงอย่างมหาศาล คุณจะโฆษณาขายเสื่อก็เรื่องของคุณ แต่ว่ามาทำให้ความเป็นจริงผิดเพี้ยนไป แล้วคนส่วนหนึ่งก็เชื่ออย่างนั้นด้วย ถ้าไม่บอกกล่าวในสิ่งที่ถูกต้องเอาไว้ก็จะเชื่อกันผิด ๆ ต่อไป

    เราต้องไม่ลืมบาลีที่ว่า เจตนาหัง ภิกขเว ปุญญัง วทามิ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เจตนาก็เป็นบุญแล้ว

    ถ้าหากว่าดูตัวอย่างในธรรมบท ที่ชัดเจนที่สุดก็คือเรื่องของสาตกีเทพธิดา (เทพธิดาดอกบวบ) เธอเป็นคนยากจน ไม่มีสิ่งหนึ่งประการใดที่จะถวายบูชาพระรัตนตรัย ไปเจอดอกบวบขมสีเหลืองคล้ายจีวรพระแล้วนึกขึ้นมาได้ ก็เลยเด็ดเอาดอกบวบขมนั้นไป ตั้งใจจะถวายบูชาพระรัตนตรัย ปรากฏว่าระหว่างเดินทางไปโดนงูกัดตายเสียก่อน จึงไปเกิดเป็นเทพธิดา มีวิมานทองคำที่เกิดจากผลบุญตั้งใจบูชาพระรัตนตรัยด้วยดอกบวบขม ยังไม่ได้ทำการบูชาด้วย เพราะฉะนั้น..สิ่งหนึ่งประการใดที่ญาติโยมตั้งใจจะทำบุญ แค่คิดก็เป็นบุญแล้ว

    ดังนั้น..ในโฆษณาที่บอกว่า ถ้าหากสิ่งของนั้น พระภิกษุสามเณรไม่ได้ใช้ ผลบุญจะไม่ตกถึงผู้ที่ล่วงลับไปแล้วจึงไม่ใช่เรื่องจริง เป็นแค่ความเชื่อเท่านั้น และเป็นความเชื่อที่แฝงด้วยกิเลสในใจคนอย่างเต็ม ๆ ต้องบอกว่าถ้าใครเชื่อในลักษณะนั้น ทำบุญไปก็ได้บุญน้อย

    เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าหลักการทำบุญนั้น อันดับแรกเลยก็คือ วัตถุทานต้องบริสุทธิ์ ได้มาถูกต้องตามศีล ตามธรรม ไม่ได้ลักขโมยช่วงชิงหลอกลวงใครมา

    ข้อที่สอง เจตนาต้องบริสุทธิ์ ให้เพื่อเป็นการสงเคราะห์ หรือว่าให้เพื่อเป็นการตัดกิเลสในใจของตนเอง

    ข้อที่สาม ผู้ให้คือทายก เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ ดังนั้น เราจะเห็นว่าก่อนทำบุญทุกครั้ง โบราณเขากำหนดให้ว่าเราต้องรับศีลก่อน

    ข้อสุดท้าย ปฏิคาหกคือผู้รับ เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,759
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,561
    ค่าพลัง:
    +26,401
    ในเมื่อปฏิคาหก ผู้รับมีศีลบริสุทธิ์ ผู้ให้คือทายกมีศีลบริสุทธิ์ วัตถุทานบริสุทธิ์ เจตนาบริสุทธิ์ ครบทั้งสี่ส่วนนี้อานิสงส์เต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์

    ยกเว้นอยู่ประการเดียวคือสังฆทาน ซึ่งเป็นทานต่ออายุพระพุทธศาสนา เนื่องเพราะว่าถวายไปแล้ว พระหนุ่มเณรน้อยทั้งหมด มีสิทธิ์ร่วมกินร่วมใช้ในสิ่งของนั้น ๆ สังฆทานผู้รับเป็นเพียงตัวแทนของคณะสงฆ์เท่านั้น ต่อให้ต้องอาบัติปาราชิก ถ้าเขาตั้งใจถวายสงฆ์ อานิสงส์ยังคงได้เต็มเหมือนเดิม

    ในส่วนของการถวายสังฆทานในปัจจุบันนี้ พวกบรรดาร้านค้าต่าง ๆ ส่วนมากแล้วต้องการกำไรจนเกินงาม จึงนำเอาสิ่งของที่ไร้ราคาบ้าง บางทีก็เอาสิ่งของที่มีขนาดใหญ่ แต่ว่าไม่มีราคาใส่เอาไว้ก้นถัง หลายแห่งก็ใช้วิธีเอาถาดวางปิดปากถังไปเลย ก็แปลว่าในถังไม่มีอะไร ข้าวของส่วนน้อยจัดอยู่บนถาด ถ้าวางผิดจังหวะนิดเดียว ถังสังฆทานนั้นจะล้มหัวทิ่มพื้นไปเลย เพราะว่ามีน้ำหนักอยู่แต่ช่วงบน..!

    แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ถ้าเราตั้งใจทำบุญก็ยังมีอานิสงส์ สามารถอุทิศให้แก่ผู้ตายได้ เพียงแต่ว่าสิ่งที่เราถวายไปนั้นจัดเป็นสามีทาน คือดีกว่าที่เรากินเราใช้หรือเปล่า ? หรือเป็นสหายทาน เสมอกับที่เรากินเราใช้หรือเปล่า ? หรือเป็นทาสทาน ต่ำกว่าที่เรากินเราใช้ ? หรือว่าเหลือจากที่เรากินเราใช้แล้วหรือเปล่า ? แต่ไม่ว่าจะเป็นทานลักษณะไหน อานิสงส์ก็ได้ทั้งสิ้น

    ตัวกระผม/อาตมภาพเอง ในอดีตชาติที่แล้ว ๆ มา ด้วยความที่คิดจะทำบุญ ไม่ได้ใส่ใจว่าของดีหรือไม่ดี ของอยู่ใกล้มือเป็นอันว่าทำ ได้ถวายในส่วนของทาสทานไปเสียมาก มาชาตินี้ไม่ต้องกล่าวถึงอะไร แค่ใส่จีวรใหม่ไม่ได้..! ใส่เมื่อไรจีวรจะขาดทันที แม่ชีที่เย็บจีวรจะรู้ หลวงพ่อใส่จีวรใหม่ไม่ได้ เดี๋ยวก็ต้องมาเย็บแล้ว แล้วขาดเพราะอะไรก็ไม่รู้ด้วย ถ้าหากว่าขาดเพราะเครื่องซักผ้า แล้วทำไมผ้าคนอื่นไม่ขาด ตรงนี้ต้องบอกว่าขาดเพราะกรรมที่ทำเอาไว้..!

    คราวนี้ในส่วนของอานิสงส์ที่ได้จากสังฆทานนั้น บางทีก็ไม่ตรงตามความต้องการของผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านมีความสามารถพิเศษในด้านนี้ จึงได้สอบถามบรรดาผู้ที่ล่วงลับไปแล้วบ้าง ถามผี ถามเทวดาเป็นปกติ จนกระทั่งสรุปลงมาว่า สังฆทานนั้น อันดับแรกเลย ต้องมีข้าวปลาอาหาร จะเป็นอาหารสดก็ได้ อาหารแห้งก็ได้ อานิสงส์จะทำให้ผู้ตายนั้นอิ่มทิพย์
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,759
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,561
    ค่าพลัง:
    +26,401
    อันดับต่อไป ต้องมีผ้าไตรจีวร คำว่าผ้าไตรจีวรในพระพุทธศาสนา คือผ้าที่กว้างคืบยาวคืบขึ้นไป จะเป็นชิ้นเดียวหรือว่าครบไตรก็ได้ จะช่วยให้ผู้ตายมีเครื่องประดับเป็นทิพย์ ไม่ต้องแก้ผ้าเหมือนกับญาติของพระเจ้าพิมพิสาร..!

    ท้ายที่สุดก็คือ ต้องมีพระพุทธรูปอย่างน้อยหน้าตัก ๕ นิ้ว เพราะมีบาลีกำกับไว้ว่า พุทธะปูชา มหาเตชะวันโต การบูชาพระพุทธเจ้าทำให้มีเดชมีอำนาจมาก

    คนตายเขาไม่ได้วัดกันด้วยทรัพย์สมบัติที่มี เขาวัดกันด้วยรัศมีกาย ใครสว่างมากก็แปลว่าศักดานุภาพมากกว่า ไม่ต้องเสียเวลาไปดูอย่างอื่นเลย เพราะว่าความรวยบางทีก็หลอกกันได้ คนรวยแต่งตัวปอน ๆ มีเยอะแยะไป

    ถ้าหากว่ามี ๓ อย่างนี้ แปลว่าสังฆทานนั้นพอแล้ว เพราะว่าพระพุทธรูปจะทำให้ผู้ตายมีรัศมีกายสว่างไสวมาก

    แต่คราวนี้หลวงปู่มหาอำพัน ท่านเจ้าคุณพระภาวนาปัญญาวิสุทธิ์ (อำพัน อาภรโณ บุญ-หลง) วัดเทพศิรินทราวาส ท่านอ่านในพระไตรปิฎกแล้วติดใจเรื่องที่พระโพธิสัตว์ไปปราบยักษ์ ซึ่งได้รับพรจากท้าวเวสสุวรรณว่า คนและสัตว์ที่เข้าไปใต้เงาไม้ที่ยักษ์ดูแลอยู่ เขาสามารถจับกินได้ ถ้าลักษณะนั้นแปลว่าคนและสัตว์นั้นต้องถึงฆาตแล้ว ก็คือต้องมีอุปฆาตกรรมมาตัดรอนหรือว่าหมดอายุขัยแล้ว ถึงได้เปะปะหลงเข้าไปในบริเวณนั้น ต้องบอกว่ากรรมพาไป

    ปรากฏว่ายักษ์ไปกินคนจนเดือดร้อนกันมาก พระราชาหาผู้ที่จะไปปราบ พระโพธิสัตว์ที่เป็นคนจนก็ขออาสาไปปราบ แต่ว่าขอพระราชทานรองเท้ากับร่ม พระราชาแม้ว่าจะสงสัยก็พระราชทานให้

    พระโพธิสัตว์เมื่อเดินเข้าไปในเงาไม้ ยักษ์จะมาจับ พระโพธิสัตว์ถามว่า "เอาอำนาจอะไรมาจับ ?" ยักษ์ก็บอกว่า "เจ้านายให้พรไว้ว่า ถ้าคนหรือสัตว์เข้ามาในเขตนี้ให้จับกินได้" พระโพธิสัตว์บอกว่า "ข้าพเจ้าไม่ได้ยืนอยู่ในเขตของท่าน" ว่าแล้วก็ยกเท้าให้ดูว่ายืนอยู่บนรองเท้าตัวเอง ยักษ์ก็บอกว่า "ต่อให้เข้ามาใต้ร่มเงาไม้นี้ เราก็มีสิทธิ์จับกิน" พระโพธิสัตว์ก็ยกร่มให้ดู บอกว่า "ข้าพเจ้าอยู่ใต้เงาร่มตัวเอง" ยักษ์พอเห็นพระโพธิสัตว์ว่ามีปัญญาขนาดนั้นก็เลยยอมตัวเป็นบริวาร
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,759
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,561
    ค่าพลัง:
    +26,401
    พระโพธิสัตว์ขอให้ยักษ์ถือศีล ๕ ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีกิน แล้วให้ไปทำหน้าที่เฝ้าประตูเมือง ขอให้พระราชาพระราชทานอาหารให้ทุกวัน ไม่ต้องเสียเวลาไปจับคนและสัตว์กิน เพียงแต่ขอว่า ถ้ามีข้าศึกมา ให้ช่วยทำลายกองทัพข้าศึกให้ด้วย แล้วข้าศึกที่ไหนจะมารบด้วย ? ช้างม้าวัวควายมาเท่าไร ยักษ์แค่โผล่หน้าไปก็แตกกระจายกันหมดแล้ว..!

    ในเมื่อเรื่องนี้จบลงด้วยดี หลวงปู่มหาอำพันท่านอ่านแล้วประทับใจ ดังนั้น...สังฆทานของท่านจึงได้เพิ่มรองเท้ากับร่มเข้าไปด้วย

    เพียงแต่ว่าพวกเราทั้งหลาย ถ้าจะถวายสังฆทาน วิธีที่ดีที่สุดก็คือจัดหาเอง สมัยนี้ร้านสะดวกซื้อมีมากมาย เราก็ไปดูสบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน มีดโกนหนวด หรือสิ่งของประการใดที่พระท่านจะต้องใช้ จัดลงในสังฆทาน

    แต่อย่าลืมว่าอันดับแรกเลย พระพุทธรูปหน้าตักไม่ต่ำกว่า ๕ นิ้ว อันดับที่สอง ผ้าไตรจีวร จะเป็นสบงผืนหนึ่ง ผ้าอาบผืนหนึ่งก็ได้ หรือถ้ามีปัจจัยมาก ถวายผ้าครบไตรได้ยิ่งดี ข้อสุดท้ายก็คือสิ่งที่เป็นอาหาร จะเป็นอาหารสดหรืออาหารแห้งก็ได้

    เมื่อถวายไป บรรดาญาติพี่น้องทั้งหลายที่ล่วงลับไปแล้วจะได้รับอานิสงส์ตรงนี้ มีความอิ่มทิพย์ ไม่ต้องเดือดร้อนไปแสวงหาอีก มีเครื่องประดับเป็นทิพย์ อวดคนเขาได้ มีรัศมีกายสว่างมาก ประกอบด้วยศักดานุภาพมาก ส่วนอื่นก็แล้วแต่อานิสงส์ที่จะได้ในของสิ่งนั้น ๆ เพียงแต่ว่าถ้าท่านทั้งหลาย สมมติว่าตั้งใจจะถวายสังฆทาน กำลังจัดสังฆทานอยู่ เป็นลมตายพอดี อานิสงส์สังฆทานได้เต็มไปแล้ว เพียงแต่ว่าพระขาดทุน ยังไม่ได้รับอะไรเลย..!!
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,759
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,561
    ค่าพลัง:
    +26,401
    ดังนั้น...โฆษณาเรื่องนี้ ถ้าแพร่กระจายออกไป คนอีกส่วนหนึ่งก็จะเชื่อว่าเป็นจริงตามนั้น ก็คือเชื่อว่าถ้าพระไม่ได้ฉันไม่ได้ใช้ข้าวของนั้น บุญจะไม่ถึงญาติตัวเอง เรื่องนี้ขอยืนยันว่าไม่จริง

    ส่วนบรรดาบุคคลที่ทำแท้ง แล้วจะส่งบุญให้กับลูกตัวเอง ก็ไม่ต้องถวายผ้าอ้อม ถวายขวดนมมา อย่างไรพระก็ไม่ได้
    ใช้อยู่แล้ว ให้ถวายตามที่กระผม/อาตมภาพได้บอกไปแล้วในเบื้องต้น

    ผู้ที่ตายไปแล้ว จะด้วยเจตนาไม่เจตนาก็ตาม ต่อให้เป็นเด็กทารกอย่างไร ถ้าหากว่าตายไปก็จะเป็นผู้ใหญ่ เพราะว่าไปเกิดใหม่ในลักษณะโอปปาติกะ คืออุบัติขึ้นโดยทันที จะมีสภาพร่างกายเป็นผู้ใหญ่เลย

    เพียงแต่ว่าถ้าบุคคลที่มีทิพจักขุญาณติดต่อด้วย เขาจะแสดงภาพตอนเด็ก หรือว่าตอนก่อนตายให้เห็น จึงเหมือนอย่างกับว่าเขามีอายุมากน้อยต่างกัน มีแก่ มีเด็ก แต่ความจริงแล้ว รูปร่างจะอยู่ในลักษณะของหนุ่มสาวเหมือน ๆ กันหมด ยกเว้นว่าถ้าหากว่าอยู่ในเขตแดนที่เป็นทิพย์ ใกล้จะจุติแล้ว สภาพร่างกายก็เศร้าหมองลง มีรอยเหี่ยวบ้างปรากฏขึ้น ลักษณะอย่างนั้น ๗ วันต้องจุติไปอย่างแน่นอน

    วันนี้จึงขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมให้เข้าใจถูกต้องแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอังคารที่ ๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...