เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 9 สิงหาคม 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,872
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,574
    ค่าพลัง:
    +26,418
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,872
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,574
    ค่าพลัง:
    +26,418
    วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๙ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ ในช่วงเช้ากระผม/อาตมภาพได้ไปรับตราตั้งพระวิปัสสนาจารย์ประจำสถาบันวิปัสสนาธุระ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ซึ่งจะว่าไปแล้วก็มีผู้ถามมาว่า อย่างพระอาจารย์ยังต้องมีตราตั้งพระวิปัสสนาจารย์ด้วยหรือ ?

    ก็ขอบอกว่า ความจริงแล้วในเรื่องของการสอนธรรมนำปฏิบัติ ซึ่งบางคนก็เรียกสั้น ๆ ว่าสอนวิปัสสนานั้น ถ้าหากว่าท่านมีความสามารถที่แท้จริง ก็สามารถที่จะสอนได้ในทุกที่ เพียงแต่ว่าการมีตราตั้งจากสถาบันที่เป็นมาตรฐานนั้น ก็เปรียบเหมือนอย่างกับญาติโยมที่จะขับรถยนต์ แล้วมีใบอนุญาตขับขี่ที่ถูกต้องตามกฎหมาย ถ้าอยู่ในลักษณะนี้ ก็เป็นที่สบายใจด้วยกันทุกฝ่ายว่า ตัวของกระผม/อาตมภาพสามารถที่จะสอนธรรมนำปฏิบัติได้ ในลักษณะที่เป็นที่ยอมรับอย่างเป็นสากลแล้ว

    เรื่องพวกนี้จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องที่ "กลืนไม่เข้า คายไม่ออก" เช่นกัน เพราะว่าในปัจจุบันนี้คนเราก็มักจะนิยมแค่กระดาษแผ่นเดียว ก็คือเป็นวุฒิบัตร เป็นเกียรติบัตร เป็นประกาศนียบัตร หรือว่าเป็นปริญญาบัตร เพื่อรับรองว่าท่านมีความรู้ความสามารถในด้านนั้น

    โดยที่บางทีบรรดาวุฒิบัตร เกียรติบัตร ปริญญาบัตรต่าง ๆ ทั้งหลายเหล่านั้น ก็อาจจะได้มาในลักษณะที่เป็นการให้โดยเห็นแก่หน้ากันก็มี เป็นการให้โดยที่ผ่านการทดสอบแบบ "คาบเส้น" ก็มี ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงไม่สามารถที่จะรับรองการปฏิบัติอย่างแท้จริงของท่านได้

    การปฏิบัติอย่างแท้จริงของท่านจะแสดงออกมาชัดเจนก็ต่อเมื่อ อันดับแรก ตนเองพัฒนา กาย วาจา ใจ ให้ปรากฏต่อสาธารณชนได้ในระดับไหน ? อันดับต่อไปก็คือ ท่านสามารถนำไปบอกต่อ สอนต่อให้คนอื่นทำตามได้แค่ไหน ? ถ้าหากว่าท่านมีพร้อมทั้ง ๒ ประการ ก็คือตนเองก็ปฏิบัติได้อย่างชนิดที่เรียกว่าดีงาม สามารถสอนคนอื่นปฏิบัติตามได้อีกด้วย ถ้าอย่างนั้นท่านก็จะสมกับการเป็นพระวิปัสสนาจารย์ที่แท้จริง


    หลังจากนั้นแล้ว ในช่วงบ่ายกระผม/อาตมภาพ ในฐานะประธานองค์กรพระอุปัชฌาย์รุ่นที่ ๕๑ ในเขตปกครองคณะสงฆ์หนกลาง ก็ได้เดินทางไปยังวัดชินวรารามวรวิหาร ตำบลบางขะแยง อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี เพื่อไปเป็นเจ้าภาพสวดพระอภิธรรมศพของคุณพ่อชะโอด พันธุ์หว้า ซึ่งเป็นโยมพ่อของท่านเจ้าคุณพระมงคลวโรปการ (ชำนาญ อุตฺตมปญฺโญ) เจ้าอาวาสวัดชินวรารามวรวิหาร ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี หรือที่ชาวบ้านเรียกกันทั่วไปว่า พระอาจารย์ชำนาญบ้าง หลวงพ่อชำนาญบ้าง
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,872
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,574
    ค่าพลัง:
    +26,418
    แต่เดิมท่านอยู่ที่วัดบางกุฎีทอง แล้วได้รับความไว้วางใจจากผู้บังคับบัญชา ให้มาเป็นเจ้าอาวาสพระอารามหลวงที่วัดชินวรารามวรวิหาร เมื่อท่านมาอยู่แค่ไม่กี่ปี ก็ได้ทำการพัฒนาวัดจนกระทั่งเห็นความต่างอย่างชัดเจน จากวัดวาอารามซึ่งสมัยก่อนค่อนข้างจะรก และขณะเดียวกัน เมื่อถึงหน้าน้ำก็มีน้ำท่วมขึ้นมายังพื้นที่วัดด้วย ปัจจุบันนี้ท่านพัฒนาจนกระทั่งสวยงามสะอาดตา แล้วในขณะเดียวกันก็ได้ปรับพื้นขึ้นมาจนพ้นจากระดับน้ำท่วมแล้ว

    ท่านเป็นเพื่อนพระอุปัชฌาย์รุ่นเดียวกัน ซึ่งจากข้อสัญญัติ หรือว่าข้อตกลงในการตั้งองค์กรพระอุปัชฌาย์ก็คือว่า อันดับแรกเลย ถ้าหากว่าเพื่อนพระอุปัชฌาย์มรณภาพลง พวกเราต้องไปช่วยงานกันในฐานะเพื่อนร่วมรุ่น แล้วขณะเดียวกัน ถ้าหากว่าบิดามารดาของพระอุปัชฌาย์ร่วมรุ่นได้เสียชีวิตลง ก็จะต้องไปเป็นเจ้าภาพด้วยเช่นกัน


    ข้อต่อไปก็คือ ต้องช่วยกันทำงานสาธารณะอย่างน้อยปีละ ๑ ชิ้น ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะมอบหมายให้แก่ท่านเจ้าภาพผู้ซึ่งรับประชุมองค์กรพระอุปัชฌาย์ในปีนั้น ๆ นำไปทำงานในส่วนที่ท่านเห็นว่าสมควร เหล่านี้เป็นต้น


    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ในฐานะประธานรุ่น กระผม/อาตมภาพจึงต้องเดินทางไปดำเนินการตามข้อสัญญัติของตน ซึ่งจะว่าไปแล้ว เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ก็ทำให้คนอื่นเห็นตัวตนว่า องค์กรพระอุปัชฌาย์รุ่นที่ ๕๑ นั้น ไม่ได้ตั้งขึ้นมาเปล่า ๆ หากแต่มีการทำงานจริง ทั้งการช่วยเหลือพรรคพวกเพื่อนฝูง และมีการช่วยเหลือในสิ่งที่เป็นสาธารณประโยชน์

    เมื่อเสร็จจากงานสวดอภิธรรมและลาท่านเจ้าคุณชำนาญแล้ว กระผม/อาตมภาพก็เดินทางเข้าสู่ที่พัก แล้วมาเข้าระบบ Zoom Meeting Online เพื่อที่จะเข้าร่วมการสัมมนาหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ซึ่งจะว่าไปแล้ว บรรดาวิทยากรไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบรรพชิต ซึ่งนำโดยพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณอาจารย์พระพรหมบัณฑิต, ศ.ดร. (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) กรรมการมหาเถรสมาคม ประธานฝ่ายเผยแผ่พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย หรือว่าวิทยากรฝ่ายฆราวาสก็ตาม ได้กล่าวถึงว่ามีการพัฒนาหลักสูตรสำหรับการเรียนการสอนในโรงเรียน ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาขึ้นมา

    ในขณะเดียวกัน ก็ได้กล่าวถึงส่วนราชการและพระภิกษุสามเณรของเรา ว่าจะต้องช่วยเหลือกัน อย่างเช่นว่าส่วนราชการจัดหางบประมาณมา แล้วก็กำหนดให้หลักสูตรทั้งหลายเหล่านี้เป็นวิชาบังคับที่จะต้องเรียนในสถานศึกษา ตั้งแต่ระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาขึ้นไป ในส่วนของพระภิกษุสามเณร ก็จำเป็นที่จะต้องปากเปียกปากแฉะ เทศน์สอนญาติโยมต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องของการทุจริตว่ามีโทษอย่างไรบ้าง ? การประกอบสุจริตนั้นมีคุณประโยชน์อย่างไรบ้าง ?
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,872
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,574
    ค่าพลัง:
    +26,418
    ในส่วนนี้ กระผม/อาตมภาพมีความเห็นว่ายังเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ การที่เราจะแก้สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ให้สำเร็จและปรากฏผล อันดับแรกเลย เจ้าภาพใหญ่ก็คือรัฐบาล จะต้องมีนโยบายที่ชัดเจนว่าเราจะต่อต้านการทุจริตในลักษณะอย่างไรบ้าง แล้วขณะเดียวกัน ก็ต้องเป็นผู้กำหนดให้หลักสูตรทั้งหลายเหล่านี้ จำเป็นที่จะต้องเรียนทั้งระดับประถม มัธยมและมหาวิทยาลัย

    แล้วขณะเดียวกัน ในฐานะที่รัฐบาลได้ควบคุมดูแลองค์กรพระพุทธศาสนาอยู่ โดยมีสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นเครื่องไม้เครื่องมือ ท่านก็ต้องจัดสรรงบประมาณต่าง ๆ ลงมา เพื่อส่งต่อไปให้พระภิกษุสามเณรของเรา ได้ดำเนินการจัดการฝึกฝน อบรม ไม่ว่าจะเป็นค่ายคุณธรรมจริยธรรม ค่ายพุทธบุตร หรือว่าโครงการต่อต้านทุจริตต่าง ๆ ของส่วนราชการ

    ในแต่ละปีอาจจะต้องมีการกำหนดให้ชัดเจนว่า จะมีการจัดค่ายคุณธรรมจริยธรรม และค่ายพุทธบุตรสำหรับเด็ก ๆ ปีละกี่ครั้ง จะต้องจัดโครงการต้านทุจริตให้กับส่วนราชการ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกี่ครั้ง ซึ่งตรงจุดนี้ก็ยังไม่ใช่การแก้ไขที่เข้าถึงฐานราก หากแต่ว่ามีเจ้าภาพใหญ่ที่คอยสนับสนุนอย่างชัดเจนเท่านั้น

    การจะแก้ไขถึงฐานรากนั้นต้องมาจากในครอบครัว ก็คือพ่อแม่ต้องเห็นประโยชน์ในเรื่องนี้และจ้ำจี้จ้ำไชให้กับเด็ก ๆ ตั้งแต่เริ่มรู้ภาษา สอนให้เขารู้ว่ากายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริตนั้น มีโทษอย่างไร นำเขาทั้งหลายเหล่านั้นเข้าวัดวาอาราม เพื่อฟังคำสอนของหลวงปู่หลวงพ่อ เกี่ยวกับการประพฤติกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ว่ามีประโยชน์แก่ตนอย่างไร

    ตรงนี้ถ้าหากว่าพ่อแม่ไม่นำ ก็เป็นไปได้ยากอย่างยิ่งที่จะทำให้เด็ก ๆ ประสบความสำเร็จ เพราะกว่าที่เด็กจะเข้าไปเรียนหลักสูตรต้านทุจริตในระดับประถมศึกษา อย่างน้อยก็ต้องอายุ ๖ ปี ในช่วง ๖ ปีแรกนั้นเป็นช่วงเวลาของการวางรากฐานที่ดีที่สุด ที่จะให้เด็กทั้งหลายเหล่านั้นมีความละอายชั่วกลัวบาป ซึ่งการละอายชั่วกลัวบาปนั้น มีทั้งมาจากภายในจิตใจ ก็คือต้องปลูกฝังคุณธรรมทั้งหลายเหล่านี้ไว้ในจิตในใจของเด็กตั้งแต่เล็ก ๆ

    ขณะเดียวกัน ก็ต้องมาจากสังคมภายนอก ก็คือสรรเสริญผู้ประกอบกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ตำหนิติเตียนไม่ให้ผู้ที่ประกอบกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ได้มีโอกาสเชิดหน้าชูตาในสังคม
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,872
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,574
    ค่าพลัง:
    +26,418
    ถ้าหากว่าครอบครัว สังคม โรงเรียน วัดวาอาราม ส่วนราชการ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กระทำทุกสิ่งทุกอย่างไปในทางเดียวกัน ก็ยังไม่สามารถที่จะรับประกันได้ว่าจะประสบความสำเร็จ เพราะว่ามักจะมีบุคคลอยู่จำนวนหนึ่งที่จะนอกเหตุเหนือผลเสมอ อาจจะเป็นเพราะว่าเขาทั้งหลายเหล่านั้นประกอบอกุศลกรรมมาจนเคยชินในหลายชาติภพที่ผ่านมา หรือว่าอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่อำนวยช่วยก่อให้เกิดความสุจริตในด้านใดด้านหนึ่งขึ้นมา คนทั้งหลายเหล่านี้ก็ยังสามารถที่จะกระทำทุจริตต่อไปได้

    แต่ว่าถ้ากระทำทุจริตไปแล้ว ไม่มีที่ยืนอยู่ในสังคม ก็จะทำให้เขาทั้งหลายเหล่านั้นจำเป็นที่จะต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ ไม่ใช่ทำกันอย่างชนิดโจ่งแจ้ง รับทั้งบนโต๊ะ รับทั้งใต้โต๊ะ เหล่านี้เป็นต้น

    ดังนั้น...สถาบันครอบครัวจึงเป็นหลักใหญ่ในการที่จะเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ ความละอายชั่วกลัวบาปให้แก่บุตรหลานของตนเอง แล้วโรงเรียน ส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตลอดจนกระทั่งวัดวาอาราม ก็เข้ามาเป็นส่วนประกอบเติมเต็มสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ โดยมีรัฐบาลเป็นเจ้าภาพหลัก โอกาสที่การต่อต้านทุจริตจะประสบความสำเร็จ จึงจะมีขึ้นมาได้

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอังคารที่ ๙ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...