น้องฟ้ามุ่ย..จ๊ะ พี่ก็เหมือนน้องเลย..ตอนนี้ งดเว้นการรับประทานเนื้อสัตว์ทุกชนิด ไม่ได้กินเจ..ไม่ได้กินมังสวิรัติ ไม่ได้เจตนา ไม่ได้ตั้งใจ แต่....ต้องเป็นไปอย่างนั้น รับประทานเนื้อสัตว์แล้วท้องเสียรุนแรงทันที แล้วก็แปลก..ความรู้สึกอยากก็ไม่มีด้วย ตอนนี้เลยต้องเขี่ยเนื้อสัตว์ทิ้ง ปี ๕๒ เคยเป็นครั้งนึงแล้ว เป็นเวลา ๕๐ วัน แน่ะ. ครั้งนี้เลยร่วมอนุโมทนาไปซัก ๑ เดือน เมื่อครบกำหนดแล้วค่อยว่ากันอีกที.. อาการเหมือนกันเลย..ฮ่าฮ่า นึกว่าเราจะประหลาดคนเดียว..นิ
มันเป็นขึ้นเองค่ะพี่ดาว ไม่ได้ตั้งใจจะกิน จู่ๆก็เบื่อเนื้อ ไม่อยากกินขึ้นมาเฉยๆจ้า แหม... ดีใจ มีพี่ดาวเป็นเพื่อน แต่ฟ้ามุ่ยก็ไม่รู้ว่าจะเบื่อ ไปได้อีกนานหรือเปล่า ช่วงนี้บางวันก็มังสวิรัติ วันละ 2 มื้อ บางวันก็ทั้งวันค่ะ
มุกมิกมัวแต่ไปเข้าฝันคนนู้นคนนี้จนไม่สบายดูแลสุขภาพด้วยนะจ๊ะ(f) วันนี้ท่านกวีเทพกับท่านประธานแท็คทีมกันเลยหนอช่างเอาอกเอาใจกันซะจริงๆเลย ได้อ่านโพสต์ของน้องแอ้มแล้วก็เห็นด้วยกับพี่รั้ง คุณครูดาว และอีกหลายท่านค่ะ โดยส่วนตัวจำอดีตไม่ได้ค่ะแต่คงเคยเกิดเป็นพญานาคมาหลายชาติ ก็ได้แต่ทำบุญแล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้หวังอยากให้ญาติที่เคยเกี่ยวข้อง ที่ยังอยู่ในภพนาคได้รับบุญแล้วเลื่อนไปภพอื่นที่ดีกว่านี้ค่ะ มีแต่ภพภูมิมนุษย์ที่สร้างกุศลได้มากที่สุดแม้แต่พญานาคก็ยังอยากมาทำบุญในภพมนุษย์ค่ะ กว่าจะได้เกิดเป็นมนุษย์นั้นแสนยากนะคะแล้วพ่อแม่ในชาติปัจจุบันล่ะคะ อยากให้น้องคิดถึงท่านให้มากท่านเป็นพระอรหันต์ของลูกนะคะ อดีตก็คืออดีต อนาคตก็ยังมาไม่ถึงอยู่กับปัจจุบันทำปัจจุบันให้ดีที่สุดดีกว่าค่ะ
สงสัยเหมือนกันเด๊ะ อิอิ พญานาค...มีอยู่ึครั้งหนึ่ง คนจะย้ายร้านแต่เค้าไม่ได้เอาพระบรมสาทิศลักษณ์ของ ร.5 กับ กรมหลวงชุมพรไปด้วย เราเลยขอมาบูชา คืนนั้นฝันเห็นพญานาคสีดำกับสีขาวสง่ามาก ..ป.ล. ร.5 ฉลองพระองค์สีขาว กรมหลวงชุมพรสีดำ คาฟ ..เล่าสู่กันฟัง:'(
จ้า..ผิดหรือถูกก็ไม่ได้หวังผลอะไร..จ้ะ แค่บอกความรู้สึก..เฉย.ๆ ...แต่รูปนี่ ครูก็งง..นิ แต่ชอบอ่ะ..เพราะเราเกิดปีขาล..อิอิ
นำเรื่องราวดีๆ มาฝากค่ะ บทความเรื่องความต่างที่ดูไม่ออก น้ำ 2 แก้วถูกวางอยู่บนโต๊ะ แก้วทั้งสองใบมีลักษณะเหมือนกัน และน้ำที่ถูกบรรจุก็ยังมีปริมาตรที่เท่ากัน ความใสของมันยากที่เราจะแยกแยะด้วยตาเปล่าออก น้ำสองแก้วถูกวางเปรียบเทียบกันเพื่อหาความแตกต่าง ระหว่างกัน แน่นอนหากไม่มีเครื่องมือเข้าช่วยเราจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าน้ำทั้งสองแก้ว มีความแตกต่างกันอย่างไร น้ำแก้วแรกถูกนำมาจากแหล่งน้ำบริสุทธิ์บนยอดเขาอันแสนไกล และยากที่จะสามาถนำกลับมาได้ในเวลาเพียง 1-2 วัน ส่วนแก้วที่ 2 ซื้อมาจากร้านค้าข้างบ้าน..... แค่แหล่งที่นำมาก็เพียงพอที่จะบอกถึงความแตกต่างของน้ำทั้งสองแก้วนี้ได้ แต่ถ้าให้เราลองพิสูจน์ดื่มน้ำทั้งสองแก้วนี้ดู สมมุติว่าเรากำลังกระหายน้ำมากและในขณะนั้นมีน้ำวางอยู่สองแก้ว เราไม่รู้เลยว่าทำไมต้องมีน้ำวางอยู่สองแก้ว และทั้งสองแก้วมันไม่เหมือนกันยังไง เราอาจจะยกมันขึ้นมาดูตะกอน เพื่อให้แน่ใจว่าสะอาด แต่แล้วเราคิดว่ายังไง เราก็ต้องยกมันขึ้นมาดื่ม หนึ่งในแก้วใบใดก็ใบนึง ที่เราคิดว่าสะอาดที่สุด และยากมากที่เราจะรู้ว่าน้ำแก้วไหนดีที่สุด คราวนี้ลองใหม่ ลองเอาน้ำที่ซื้อจากข้างบ้านใส่ลงไปในบรรจุภัณฑ์หรูหรา ดูแล้วสะอาดน่าดื่ม และน้ำที่หายากที่สุด นำมาใส่ในแก้วใสเก่าๆแทน แล้วนำไปวางไว้ที่เดิม เราหิวน้ำ เดินมาเจอ....แน่นอนว่าน้ำถูกๆ ในภาชนะสวยหรูย่อมเป็นที่ดึงดูดก่อน และยิ่งเราไม่เห็นตระกอน และสิ่งแปลกปลอมด้วยแล้วนั้น น้ำในแก้วใบนี้ย่อมต้องถูกเลือกเป็นธรรมดา แต่น้ำที่ดี และหายากที่สุดกลับถูกมองข้ามไป....... แต่ยังไงน้ำก็คือน้ำ ประโยชน์ของมันเท่ากัน แต่ถ้าเปลี่ยนจาก”น้ำ”เป็น”คน”ล่ะ เราจะตัดสินเขาอย่างไร.................... หรือจะตัดสิน”อะไร”หรือ”ใคร”ในครั้งแรกที่เราพบ
จ๊ะเอ๋..!! ไม่เงียบแระ... แต่พี่ต้องไปประชุมกับคณะกรรมการสร้างศาลและหล่อพระบรมรูปพระเจ้าตาก..ที่วัดแจ้ง...ซะแล้ว ไปก่อนละ....พี่ดาว*
ทรงสอนโดยคำนึงถึงความแตกต่างฯ พระพุทธเจ้าทรงแบ่งบุคคลที่สอนได้ และสอนไม่ได้ออกเป็น 4 จำพวก คือ 1. อุคฆติตัญญู ผู้ที่รู้ธรรมได้เร็ว เพียงสอนแต่หัวข้อ ก็เข้าใจรายละเอียดได้ทันที 2. วิปัญจิตัญญู ผู้ที่รู้ธรรมได้ต่อเมื่อ อธิบายรายละเอียด ของหัวข้อที่สอนอย่างกระจ่างแจ้ง 3. เนยยะ ผู้ที่พอแนะนำสั่งสอนได้ คือต้องแนะนำ และสั่งสอนอยู่บ่อยๆ จึงจะรู้และเข้าใจ 4. ปทปรมะ ผู้ที่สอนให้รู้ธรรมไม่ได้ คือ เป็นพวกที่โง่มาก หรือปัญญาอ่อน บุคคล 3 จำพวกข้างต้นเป็นผู้ที่สอนได้ จำพวกที่ 4 เป็นผู้ที่สอนไม่ได้ ที่ว่าสอนไม่ได้นั้นหมายถึง สอนพระพุทธศาสนา ไม่ใช่วิชาสามัญ บุคคลที่สอนได้พระพุทธเจ้าทรงจำแนกออกเป็น 6 ประเภท ตามพื้นฐานของจิตใจ ซึ่งเรียกว่า "จริต" คือ 1. ราคจริต ผู้ที่มีความรัก ความใคร่เป็นพื้นฐานของจิตใจ 2. โทสจริต ผู้ที่มีความโกรธ ความหงุดหงิด ความพยาบาท เป็นพื้นฐานของจิตใจ 3. โมหจริต ผู้ที่มีความหลง ความงมงาย ความโง่ เป็นพื้นฐานของจิตใจ 4. สัทธาจริต ผู้ที่มีความเชื่อง่าย หูเบา ตื่นข่าว เป็นพื้นฐานของจิตใจ 5. พุทธิจริต ผู้ที่ชอบการศึกษาหาความรู้ ชอบค้นคว้าทดลอง มีความอยากรู้ อยากเห็น เป็นพื้นฐานของจิตใจ 6. วิตกจริต ผู้ที่ชอบคิดหาเหตุผล ไม่ยอมเชื่ออะไรง่ายๆ เป็นพื้นฐานของจิตใจ
พระพุทธเจ้าทรงสอน ให้เหมาะแก่จริตของคนแต่ละคน โดยวิธีหนามยอกเอาหนามบ่ง ตังอย่างเช่น พระนันทะพุทธอนุชา เป็นผู้มีราคจริต หลงใหลในความงาม ของนางชนบทกัลยาณีคู่หมั้นเดิม เมื่อได้บวชแล้วก็ครุ่นคิดถึงแต่นาง ไม่เป็นอันบำเพ็ญสมณธรรม พระพุทธเจ้าได้พาพระนันทะไปในที่ต่างๆ ให้เห็นนางงาม ที่งามยิ่งกว่านางชนบทกัลยาณีเสียอีก แล้วพาไปดูนางลิงซึ่งมีหูขาด หางขาด นั่งจับเจ่าอยู่บนตอไม้ พระพุทธเจ้าทรงถามว่า "นันทะนางชนบทกัลยาณี กับนางงามต่างๆ นั้นใครจะงามกว่ากัน" พระนันทะทูลตอบว่า "นางงามเหล่านั้นงามกว่า นางชนบทกัลยาณีไม่ต่างจากนางลิงเลย" ในที่สุดพระนันทะได้สติ พิจารณาเห็นความไม่เที่ยงแท้แน่นอน ในทำนองว่า "ยศศักดิ์ เหมือนความฝัน รูปโฉมโนมพรรณเหมือนดอกไม้ ชีวิตเหมือนฟ้าแลบ" เกิดความเบื่อ หน่ายในนางชนบทกัลยาณี ตั้งใจบำเพ็ญสมณธรรม จนได้บรรลุอรหัตตผล นี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่ง ของการสอนให้เหมาะกับจริตของคน ความจริงการที่พระพุทธเจ้า ทรงจำแนกคนเป็น 6 ประเภท ตามจริตนั้น เป็นการจำแนกอย่างกว้างๆ เมื่อทรงสอนจริงๆ ทรงคำนึงถึงผู้ฟังแต่ละคนว่าผู้นั้นเป็นใคร มีความรู้เพียงใด เคยนับถือศาสนาอะไร อยู่ใน ท้องถิ่นไหน มีอาชีพอะไร สภาพครอบครัวเป็นอย่างไร เป็นต้น แล้วทรงสอนให้เหมาะสมกับ บุคคลนั้นๆ
ขอขอบคุณ...ทุกคำอวยพร ทุกคำกำลังใจนะคะ...สงสัยคงเป็นผลพวงจาก ยาทะลวงไส้น่ะค่ะ จึงทำได้โรคกะเพาะกำเริบ ^-^